ธารทิพย์ บทที่ 45

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 44 http://pantip.com/topic/33423681

            แสงอสุรกายวูบสาบเคลื่อนไหวอยู่ด้านในสุดของวิหารโบราณ มันเคลื่อนที่ช้าๆมายังด้านหน้าอันดูเหมือนเคยเป็นประตูใหญ่ของวิหาร โจประทับปืนเตรียมพร้อมเล็งปากกระบอกปืนไปยังประตูวิหาร เขากำพระที่ห้อยคอเพื่อเป็นขวัญแล้วใส่ปากอมไว้

                “คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วย” ชายหนุ่มพูดแผ่วเสียงพูดไม่ชัด

                เจ้าอสูรที่ยังไม่เห็นรูปร่างหยุดการเคลื่อนไหวเมื่อใกล้จะถึงประตูทางออก โจพร้อมแล้วที่จะระเบิดหัวกระสุนใส่มัน เขาภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้อาวุธในมือมีอานุภาพพอที่จะต่อกรกับมันได้

                แสงอสูรวูบดับลงทันใดเหมือนมันเองก็สำเหนียกถึงศัตรูที่ดักรออยู่ ทุกสิ่งภายในวิหารกลับเงียบงันหยุดนิ่งชวนขนลุกอีกครั้ง การหยุดเคลื่อนที่แล้วดับแสงลงของมันเหมือนจงใจกดดันให้ทั้งสามคนยิ่งตึงเครียดขึ้นอีกหลายเท่า มันหายไป มันซ่อนตัว หรือมันเปลี่ยนสถานะแล้วออกมาอยู่ข้างๆพวกเขาแล้ว นั่นคือคำถามที่ทั้งสามคนที่อยู่ภายนอกต้องเหลียวไปรอบตัวอย่างหวาดระแวง

                เวลาหลายนาทีที่คุมเชิงกันเงียบอยู่อย่างนั้น ยาวนานเหลือเกินสำหรับความเครียดและการกลั้นหายใจของมนุษย์ในสภาวะเช่นนี้ แล้วเสียงการเคลื่อนไหวของอสูรก็เกิดขึ้นอีก แต่ครั้งนี้ไม่มีแสงวูบวาบของมันเพื่อเผยตัว

                “มันเอาเราแน่” โจกระซิบแล้วหรี่ตาลงหาศูนย์เล็ง นิ้วพร้อมอยู่ในโก่งไกปืน

                โจเล็งไปยังพื้นหน้าประตูวิหารที่มีเสียงลากตัวบนพื้นใกล้ถึงทางออก

                “ไอ้โจ เหมียว” เสียงผู้ชายดังเรียกชื่อมา

                เสียงนั้นกระตุกให้สามคนเปลี่ยนความรู้สึกอย่างพลิกกลับทันใดในเสี้ยววินาที โจยกปากกระบอกปืนเงยขึ้นเลิกคิ้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นดีใจสุดขีด เหมียวก็เช่นกัน สร้อยแก้วนั้นดีใจจนลืมทุกสิ่ง เธอลืมแม้กระทั่งขาของตัวเองที่ยังบาดเจ็บอยู่ลุกพรวดขึ้นถลันจะวิ่งเข้าไปหาแต่เหมียวตะปบข้อมือกระชากให้หยุดไว้ก่อน

                “ท่านพี่” สร้อยแก้วตะโกนเรียกสุดเสียง

                “เดี๋ยวสร้อยแก้ว” เหมียวห้ามน้องสาวเพราะยังไม่เห็นตัวพี

                “ไอ้พี นั่นเอ็งใช่มั้ย” โจตะโกนถาม

                “เออกูเอง อย่ายิงนะกูจะลุกขึ้นเดินออกไป” เสียงพีตะโกนบอกมา

                “เออ กูยกปืนแล้ว เอ็งเดินออกมาให้เห็นก่อน” โจตะโกนกลับไป

                แสงสว่างภายในวิหารติดขึ้นอีกครั้ง ร่างของพีอีกหนึ่งชีวิตของครอบครัวลุกขึ้นจากพื้นวิหารแล้วเดินออกมา สภาพร่างกายไม่ต่างจากอสุรกาย เนื้อตัวเปื้อนโคลนมอมแมมตั้งแต่หัวจรดเท้า

                “สร้อยแก้ว” พีเรียกชื่อหญิงสาว

                “ท่านพี่” สร้อยแก้วสะบัดมือพี่สาววิ่งกะเผลกเข้าไปหาแล้วล้มลง

                “เหมียว ไอ้โจ” พีเรียกเสียงดังแล้ววิ่งสวนมาหา

                ทั้งสี่คนมาหยุดคุกเข่ากอดกันไปมาตรงที่สร้อยแก้วล้มลง

                “ไอ้พี” “พี่พี” โจกับเหมียวเรียกชื่อพร้อมกัน ดีใจเป็นที่สุด

                “ไอ้โจ เหมียว สร้อยแก้วเป็นยังไงบ้าง” พีเรียกชื่อแล้วก้มลงไปหาสร้อยแก้ว

                “สร้อยแก้วบาดเจ็บที่น่องเหมือนถูกธนูยิง” โจบอก

                “ไปเราไปที่กองไฟกันก่อนดีกว่า” โจพูดแล้วช่วยพีพยุงแขนสร้อยแก้วกลับมา

                “เอ็งไปอยู่ในนั้นได้ยังไงวะ” โจถามทันทีที่พยุงให้สร้อยแก้วนั่งลง

                “ไม่รู้เดี๋ยวค่อยพูดกัน แล้วที่นี่ที่ไหน” พีถาม

                “ข้าก็ไม่รู้” โจตอบ

                “คุณลุงกับพี่โละล่ะ” พีถามอีก

                “ก็ยังไม่รู้อีกเหมือนกัน ข้ากับเหมียวได้สติที่ริมน้ำตรงนี้เมื่อสักเที่ยงวันประมาณนะ” โจชี้ที่ริมลำธารเริ่มเล่า

                “พอก่อไฟจัดการข้าวของเสร็จช่วงบ่ายแก่ๆข้าก็เริ่มยิงปืนส่งสัญญาณ” โจเล่า

                “สร้อยแก้วยินเสียงปืนแล้วตามมาจ้ะ” สร้อยแก้วพูด

                “ก็เกือบเย็นแล้วล่ะที่เจอกัน แล้วก็มาเอ็งนี่ล่ะที่โผล่ออกมาจากในนั้น นี่ดีนะที่เอ็งส่งเสียงมาก่อน” โจพูด

                “เออ ข้าก็รู้สึกตัวในนั้น พอปีนขึ้นมาข้างบนก็คลำทางออกมา เห็นกองไฟเลยหยุด” พีเล่า

                “ไม่รู้ว่าใครก่อเอาไว้ก็ปิดฉายหมอบดูอยู่ พอเอากล้องส่องเห็นเสื้อผ้าที่เอ็งผึ่งไว้ข้างกองไฟก็เลยว่าใช่เอ็งแน่ แต่ต้องส่งเสียงถามออกมาก่อน” พีเล่าความเคลื่อนไหวของเขา

                “แล้วทำไมไม่อยู่ข้างกองไฟวะ” พีถาม

                “ยิ้ม ตกลงเอ็งเปิดไฟฉายนี่เอง” โจพูดแล้วหันไปหัวเราะหึหึกับสองสาว

                “หัวใจกูสามคนแทบจะวาย”

                “มองจากข้างนอกนี่ยังกับอสุรกายอยู่ข้างใน ข้าก็พาสองสาวนี่ถอยไปข้างต้นไม้โน่น” โจพูดชี้มือไป

                “คุมเชิงอยู่ กะว่าอะไรออกมากูยิงหมดแม็กล่ะ” เขาพูดแล้วตบไหล่เพื่อนจับไว้

                “เออ พระคุ้มครองว่ะที่ไม่ผลีผลามทั้งสองทาง กูก็กะยิงหมดแม็กเหมือนกันถ้าไม่รู้จัก” พีพูดหัวเราะด้วย

                “เมื่อกี้นี้พี่พีบอกว่าปีนขึ้นมา พี่รู้สึกตัวที่ไหนคะ” เหมียวถาม

                พีขมวดคิ้วคิดทบทวนความจำเมื่อเหมียวถาม

                “เรื่องมันแปลกนะเหมียว ผมเหมือนขาดใจในน้ำที่โดดลงมา แล้วมันก็หมุนเคว้งคว้าง” เขาเริ่มเล่า

                “มีผู้หญิง แก่มาก เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งกวักมือเรียก ผมควบคุมอะไรไม่ได้แต่ก็ล่องลอยตามไป”

                “ผมเห็นภาพวังโบราณ วิหาร คนสู้รบกัน เสียงผู้หญิงกรีดร้อง แล้วผมก็รู้สึกตัวตื่น” พีมองในกองไฟทบทวน

                “ที่ไหนคะ” เสียงเหมียวถาม

                “ผมว่าพอก่อนเถอะเหมียว” โจพูดเมื่อเห็นเพื่อนรักเริ่มตึงเครียด

                “เอ็งคงหิวน่าดู โคลนเต็มไปหมด เอ็งล้างหน้าล้างมือกินปลาย่างนี่ก่อนดีกว่า” โจบอกเพื่อน

                “มีปลาย่างกินด้วยเหรอ หิวไส้จะขาดอยู่แล้ว” พีพูดแล้วหันไปมองปลาเสียบไม้ที่โจถือมาให้

                “เอ็งไปล้างหน้าล้างมือก่อนเถอะ” โจพูดย้ำ
    
            พีลุกขึ้นเดินไปริมลำธาร เขาถอดเสื้อเดินป่าออกวางกับพื้นดิน วักน้ำขึ้นล้างแขนล้างหน้าหลังไหล่อยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินกลับมานั่งกินปลาที่โจส่งให้ด้วยความหิวไม่พูดไม่จา

                “มันมืดมากเลย น่ากลัวมากตอนผมตื่น” พีเริ่มเล่าต่อกินปลาย่างไปด้วย

                “รู้แต่ว่ามันเฉอะแฉะไปหมดรอบตัว ล้วงเอาไฟฉายในเป้ออกมาได้ก็ส่องดูรอบๆ”

                “เป็นโพรงน้ำใต้ดิน ผมก็เสี่ยงเอาทางนึงเดินย่ำโคลนมาเรื่อยแทบหมดแรงตายอยู่ในนั้น”

                “แล้วก็มาเจอปล่องเหนือหัวมีอากาศเข้ามา”

                “ผมพยายามปีนอยู่นานมากเลยกว่าจะขึ้นมาข้างบนได้ แล้วก็มาเจอกันนี่ล่ะ” พีเล่าจบ

                “ในวิหารนั่นมีบ่อน้ำ แล้วในนั้นมีอะไรอีกคะพี่พี” เหมียวถาม

                “ผมยังไม่ได้สำรวจหรอกเหมียว ขึ้นมาได้ก็โซเซออกมา” พีตอบ

                พีหันไปหาสร้อยแก้วที่นั่งจ้องหน้าเขาอยู่ โอบแขนกอดแล้วเอ่ยถาม

                “แล้วสร้อยแก้วล่ะ แผลไปโดนธนูที่ไหนมา” พีถาม

                “สร้อยแก้วมิรู้ดอกจ้ะ ตื่นมาขาก็เจ็บแล้วจ้ะ” สร้อยแก้วบอกพี

                “นี่ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เราค่อยเข้าไปสำรวจกันดู” โจพูดตัดบท

                “เดี๋ยวเอ็งกินเสร็จก็ไปอาบน้ำอาบท่ากันก่อน ข้าก็ยังไม่ได้อาบเลยเหมือนกัน”

                “แล้วค่อยมาคุยกันอีกทีดีมั้ย” โจพูด

                “ดี ข้าเละหมดทั้งตัวแล้ว” พีพูด

                สองหนุ่มนั่งแช่ในลำธารทำความสะอาดเนื้อตัวอยู่ด้วยกัน เหมียวกับสร้อยแก้วก็นั่งหันหลังพูดคุยกันอยู่เบาๆสองคน ผ่านไปครู่ใหญ่จนเมื่อทั้งสองอาบน้ำซักเสื้อผ้าเสร็จจึงเดินกลับมาแต่งตัวใส่เสื้อผ้าที่หน้ากองไฟ

                “ค่อยยังชั่ว เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย” พีพูดแล้วนั่งลงข้างสร้อยแก้ว

                “ยังนั่งเห็นหน้ากันครบสามสิบสองก็ดีตายชักแล้ว” โจพูดแล้วนั่งลงตรงข้ามข้างๆสาวเหมียว

                “ทำยังไงกันต่อ” พีชวนคุย

                “แล้วท่านแม่ทัพหน้าจะคิดเห็นประการใดล่ะคะ” เหมียวถามอยากเล่นภาษาให้ผ่อนคลาย

                “ในนั้น” พีพูดแล้วหันไปมองที่วิหาร

                “น่าจะบอกได้ว่าเราอยู่ที่ไหนตอนนี้” พีพูด

                “ก่อนเอ็งโผล่มาก็คิดกันไว้แล้วว่าพรุ่งนี้จะเข้าไป แต่ไม่กล้าเข้าไปอยู่ข้างในคืนนี้เพราะเสี่ยงเกินไป” โจพูด

                “สร้อยแก้วบอกว่ารู้สึกเหมือนเคยเห็นมาก่อน” เหมียวพูดถึงข้อมูลที่น่าจะเกี่ยวข้อง

                “จริงเหรอ” พีหันไปยิ้มถามพรานสาว

                “จ้ะท่านพี่ สร้อยแก้วรู้สึกเยี่ยงนั้นจ้ะ” สร้อยแก้วพูด

                “สำหรับผมน่ะ ผมอยากฟันธงเลย ดินแดนนี้เป็นเมืองโบราณที่เกี่ยวข้องกับท่านพยัคฆราช” พีพูดอย่างมั่นใจ

                “แต่ก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเราข้ามมิติมา ทำไมเรามาพบเมืองร้างโบราณ”

                “เราน่าจะมาโผล่ยังมิติในอดีตที่เมืองนี้ยังรุ่งเรืองอยู่”

                “เอ็งกำลังอธิบายว่า ถ้าเรามาเพื่อแก้กรรมหรือแก้ไขบางสิ่ง เมืองโบราณอย่างนี้เราจะทำอะไรได้ใช่มั้ย” โจถาม

                “ใช่ ไม่เข้าใจจริงๆ แต่เป็นเมืองที่ท่านแม่ทัพหน้าเคยอยู่แน่” พีพูด

                “ท่านพี่มิสำเหนียกสิ่งใดเลยรึจ๊ะ” สร้อยแก้วหันไปถามพี

                ชายหนุ่มส่ายหน้าช้าๆยิ้มอย่างเหนื่อยหน่าย

                “เวลาที่ควรได้สัมผัสอะไรบ้างกลับไม่สำเหนียกอะไรได้เลย” พีบ่น

                “ถ้ารู้ก่อน การชดใช้มันอาจไม่เข้มข้นพอละมั้ง” โจพูด

                “เออ คิดเหมือนกันเลยเอ็ง” พีพูดหันไปมองเพื่อน

                “นี่ค่อนรุ่งแล้ว คุณกับสร้อยแก้วนอนพักก่อนเถอะ ผมกับไอ้พีจะนั่งยามเอง” โจพูด

                “ใช่ ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวฟ้าสว่างแล้วผมสองคนค่อยนอนบ้าง” พีพูดเสริม

                “มา สร้อยแก้ว เรานอนกันก่อนแล้วค่อยลุกมาผลัดยามตอนเช้า” เหมียวหันไปบอกสร้อยแก้วแล้วเอนตัวนอนลง

                “จ้ะพี่” สร้อยแก้วรับคำแล้วนอนลงข้างๆพี

                เวลาผ่านไป สองสาวหลับสนิทไปแล้ว โจหันไปล้วงเอากล่องพลาสติคกันน้ำหยิบซองบุหรี่ของเขาออกมาจุดขึ้นสองมวนแล้วส่งให้พีมวนหนึ่ง พีรับมานั่งสูบพ่นควันยาวทอดสายตามองไปที่วิหารโบราณ

                “คิดอะไรอยู่” โจถาม

                พีเหลือบตามองเพื่อนแวบหนึ่ง

                “ข้ากำลังพยายามจะเข้าใจว่าเราอยู่ตรงไหนตอนนี้” พีตอบ

                “หมายถึงอะไร” โจถาม

                “ก็ตั้งแต่ต้นล่ะมั้ง” พีตอบ

                “ตอนนี้ชีวิตเราอยู่ตรงไหนกันแน่ เราเรียนจบ มีคุณเป็ดน้ำ ใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ปกติ”

                “แล้วดูตอนนี้ เราเดินผ่านอะไรอะไรที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้จะต้องเจอ”

                “เอ็งจำได้มั้ย เอ็งเคยพูดเรื่องตามความฝันความสำเร็จ”

                “แล้วดูตอนนี้ เรากำลังตามอะไรอยู่ สมมุตินะ เราไปถึงวะสะธารา แล้วหลังจากนั้นล่ะ” พีพูดจบเป็นคำถาม

                “เอ็งเชื่อใช่มั้ยว่าหากทุกอย่างที่เรามองเห็นอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องจริง” โจพูดมองสบตาเพื่อนรัก

                “นั่นเท่ากับว่า พวกเรามีบุพกรรมร่วมกันมาตั้งแต่ชาติก่อน”โจพูด

                “อืม แน่ใจได้ว่าเป็นอย่างนั้น” พีพูด

                “มันแปลกตรงที่ ชีวิตคนทั่วไปเค้าเกิดมา ใช้ชีวิต แล้วตายไปใช้กรรม”

                “แต่ทำไมพวกเรา ถึงต้องชดใช้กรรมตั้งแต่ยังไม่ตายวะ” พีจบคำพูดแล้วหัวเราะหึหึ

                “ข้าว่าหลังจากวะสะธาราแล้วเราคงเข้าใจทั้งหมด” โจพูด

                “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าว่าพวกเราต้องรอด” พีพูดแล้วขยับตัวเหมือนคิดอะไรได้

                “ทำไม” โจถาม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่