ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 50
http://pantip.com/topic/33575834
“องค์อดิรถาธิราชผู้เป็นกษัตริย์” ท่านลุงเริ่มต้น
“มีโอรสสององค์ อุเทนธิกะ กับพยัคฆราช เท่าที่เรารู้” ท่านลุงพูดต่อ
“ท่านแม่กมุทเป็นพระมารดาของท่านพยัคฆราช” เหมียวพูดต่อ
“ส่วนพระมารดาของท่านอุเทนธิกะ ไม่รู้” เหมียวลำดับความ
“หมายถึงคุณลุงไม่มีแม่เหรอ” โจพูดทำเสียงล้อเลียน
“เพี้ยะ”
เสียงเหมียวซัดฝ่ามืออย่างแรงไปที่แขนชายหนุ่ม
“โอ้ย ตีซะแรงเชียว” โจพูดยังหน้าทะเล้นเอียงแขนหลบ
“เค้ากำลังซีเรียสมาพูดเล่น” หญิงสาวทำตาเขียวใส่
“เอ้าเอ้า ขอโทษ แหมก็อยากให้ผ่อนคลาย” โจพูดยิ้มๆแล้วหันไปยกมือไหว้ลุงไกรด้วย
“ขอถีบเอ็งเป็นการผ่อนคลายหน่อยได้มั้ย” พีพูดหัวเราะหึหึ
ท่านลุง พรานโละ สร้อยแก้วก็เลยขำตามไปด้วย
“เห็นมะ คนอื่นเค้าขำกันทั้งนั้น” โจยังแหย่คนรักแล้วกระเถิบออกห่าง
“พอแล้วพอแล้ว เอาใหม่ ถึงไหนแล้ว” เหมียวพูดสะบัดสะบัด
“ถึงท่านอุเทนธิกะไม่มีแม่” ท่านลุงแกล้งพูดยิ้มๆ
“ท่านแม่กมุท ไม่ใช่พระมารดาของท่านแน่ๆ” เหมียวพูดต่อ
“ตามที่คุณลุงเล่าเรื่องหญิงชราที่ให้ดาบกับของอื่นๆมา”
“ถูกต้อง” ท่านลุงยังคงเห็นด้วย
“บนแผ่นดินอินทปัตถ์ ท่านอุเทนธิกะพระเชษฐาเป็นแม่ทัพม้า” เหมียวพูด
“พระอนุชาต่างมารดาท่านพยัคฆราชเป็นแม่ทัพหน้า”
“เกิดอะไรขึ้นท่านพยัคฆราชถึงต้องอาญาแผ่นดิน นั่นคือคำถามสำคัญ”
“โทษนั้นท่านอุเทนธิกะเป็นผู้ลงอาญา และหนึ่งในการลงโทษนั้น”
“คือดาบคู่บารมีได้ถูกทิ้งลงในบ่อน้ำของวิหารพระอาทิตย์”
“เมื่อพี่พีถือดาบกลับมาก็เลยข้ามมิติมาโผล่ยังก้นบ่อน้ำอีกครั้ง”
“และ ท่านอุเทนธิกะจึงต้องกลับมาปลดพันธนาการให้น้องชาย”
“เห็นด้วยมั้ยคะ” เหมียวถาม
“ฟังสมมุติฐานแล้วสมเหตุสมผล” ท่านลุงพูด
“องค์มาริชผู้เป็นพระสหายของท่านพยัคฆราช” หญิงสาวมองไปที่โจ
“กับพระนางจิระประไพ ยังไม่กล้าเดา ข้อมูลยังไม่พอ” เธอพูดต่อ
“แต่มาริชคือดวงอาทิตย์ ต้องเกี่ยวข้องกับวิหาร แหวนที่สวมอยู่นั่นกับรูปสลักบนทับหลังหน้าประตูวิหาร”
“ต้องเกี่ยวข้องกับการโยนดาบคู่ทิ้งลงบ่อน้ำ”
“และต้องเกี่ยวข้องกับการลงทัณฑ์พระสหายพยัคฆราช” เหมียวพูดจบ
ทั้งห้าคนยังมองหน้ารอฟังเธออยู่
“ใครจะถามอะไรมั้ยคะ” เหมียวพูดเมื่อเห็นว่าทุกคนนิ่งอยู่
“ทำไมคิดว่าการลงทัณฑ์ต้องเกี่ยวข้องกับการโยนดาบคู่ทิ้งน้ำล่ะครับ” โจตั้งคำถาม
“เพราะจากคำพูดการกระทำและการแสดงออก ชี้ชัดว่าดาบคู่นั้นเป็นของท่านพยัคฆราช” เหมียวตอบ
“มันไม่ได้อธิบายชี้ชัดว่าดาบต้องถูกทิ้งน้ำจากการลงทัณฑ์” โจพูดแย้ง
“อย่างเช่นว่าดาบอาจถูกขโมยมาโยนทิ้งน้ำก็ได้นี่ครับ ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง”
“ก็เป็นไปได้ค่ะ แต่นั่นจะทำให้สถานะของท่านมาริชพระสหายของท่านพยัคฆราชเปลี่ยนไป” เหมียวพูด
“ยังไงครับ” พีถาม
“ท่านมาริชเป็นผู้ดูแลวิหารพระอาทิตย์ ตำแหน่งอะไรสักอย่าง ถ้าเราเชื่ออย่างนั้น” เหมียวเริ่มอธิบาย
“ท่านมาริชเป็นพระสหายตามที่ท่านพยัคฆราชบอกกล่าว” เหมียวลำดับคำพูดแล้วมองไปที่พี
“ถ้าดาบถูกทิ้งน้ำจากการลงทัณฑ์ที่ท่านมาริชจำเป็นต้องทำ ท่านมาริชก็ยังเป็นสหาย”
“แต่ถ้าดาบถูกขโมยมาโยนทิ้ง คำถามคือท่านมาริชมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือเปล่า”
“ถ้ามีส่วนรู้เห็น ท่านมาริชก็ไม่ใช่พระสหายที่แท้จริง”
“แต่เหมียวคิดว่าหากดาบถูกขโมยมาทิ้งน้ำจริง ท่านมาริชก็ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นแน่นอน” หญิงสาวพูด
“ทำไมครับ” พีถาม
“เพราะท่าทีที่ท่านพยัคฆราชมาบอกกล่าว” เหมียวพูด
“ท่านยังแสดงออกถึงความเป็นพระสหายต่อท่านมาริชอยู่เหมือนเดิม” เธอหันไปมองหน้าพีกับโจ
“นั่นทำให้เหมียวยังคิดว่าดาบน่าจะถูกทิ้งลงบ่อน้ำในวิหารด้วยเหตุผลของการลงทัณฑ์ค่ะ” เหมียวพูดสรุป
“แล้วพระนางจันทร์สุดาล่ะ” พีขมวดคิ้วเอ่ยถามสีหน้าครุ่นคิด
“ไม่รู้ว่าลูกหลานใครเวลานี้” เหมียวเริ่มอธิบายตอบ
“แต่ท่านพยัคฆราชปีนหน้าผาขึ้นไปหายามวิกาลในความฝันของพี่พีกับน้องสร้อย”
“นั่นคือลักลอบ ทำไมต้องลักลอบ นั่นอาจเพราะพระนางนี้ถูกวางตัวไว้ให้ผู้อื่น หรือเป็นของผู้อื่น”
“ผู้อื่นที่ไม่ใช่ท่านพยัคฆราช ท่านพยัคฆราชเลยต้องลักลอบ”
“และนั่นอาจเป็นความผิด หรือต่อเนื่องไปเป็นความผิดที่ถูกลงอาญา” เหมียวพูดจบ
“แล้ววางตัวไว้ให้ใคร” โจถาม
“ท่านอุเทนธิกะเหรอ” โจถามต่อ
“ก็ตอบยากค่ะ” เหมียวพูด
“ถ้าพยัคฆราชทำความผิดมหันต์ก็สมควรได้รับโทษแล้วไม่ใช่เหรอครับ” พีถาม
“สุดยอดของคำถามค่ะ คำถามที่เหมียวอยากให้มีคนถาม” เหมียวยิ้มดีใจที่มีใครสักคนถาม
“หัวใจของเรื่องค่ะ เหตุผลที่พวกเราต้องกลับมา อาญาที่ไม่เป็นธรรมยังไงคะ”
“ดวงพระวิญญาณของพยัคฆราชจึงมีสิทธิ์ร้องหาความเป็นธรรม”
“มีสิทธิร้องขอให้ปลดปล่อยจากพันธนาการ พันธนาการที่ท่านพูดออกมาเอง”
“และนั่นคือสิทธิ์ที่ทำให้ท่านอุเทนธิกะต้องย่างพระบาทกลับมาอินทปัตถ์นครอีกครั้ง” เหมียวมองจ้องหน้าลุงไกร
คำอธิบายของหญิงสาวเปิดความคิดเปิดหัวใจให้ทุกคนในครอบครัวเข้าใจแจ่มชัดมากขึ้นถึงที่มา สิ่งที่ต้องทำต่อและสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้
“แล้วกาวะวิกะนั่นล่ะครับ” โจถามแล้วหันไปมองฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ
“ผู้ที่ทำให้เกิดการลงอาญาที่ไม่เป็นธรรมรึเปล่า” ท่านลุงพูดแล้วหันมองข้ามแม่น้ำไปด้วย
“นางเป็นความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดหรือเปล่า” โจถาม
“เหมียวคิดว่ายังไงครับ” พีถามความเห็น
“ตามที่เหมียวคิดนะคะ นางผิดที่แตะต้องมนต์ดำ” เหมียวตอบ
“นางเชลยอันพระบิดาเมตตาชุบเลี้ยง เรือนร่างโสภาสะคราญโฉม” หญิงสาวทวนคำพูดของพยัคฆราช
“นางเชลย เพราะนางเป็นเชลย นางอาจสูญเสียไปหลายสิ่งหลายอย่าง”
“การถูกย่ำยี นั่นคือที่มาของความเคียดแค้นที่ฝังลึกอยู่ในใจ”
“ถ้าเราจะมองนางอย่างเป็นธรรมนะคะ มองด้วยเหตุผลที่เรามี”
“มองด้วยองค์ความรู้ทั้งจิตวิทยาและมานุษยวิทยา”
“เราจะประเมินความคิดของนางได้คร่าวๆ เท่ากับเรารู้ว่ากำลังสู้กับอะไรอยู่”
“ทำศึกต้องรู้เขารู้เรายังไงคะ”
“แต่ตรงที่โสภาสะคราญโฉมนี่ ชุบเลี้ยงกันยังไงไม่กล้าเดาค่ะ” เหมียวพูดจบ
ท่านลุง โจและพีจ้องมองใบหน้าสวยของหญิงสาวด้วยความทึ่งในปัญญา พรานโละกับสร้อยแก้วนั่งนิ่งฟังโดยไม่มีคำใดจะไถ่ถาม หลายอย่างที่เธออธิบายก็ยากเกินกว่าทั้งสองพรานพ่อลูกจะเข้าใจได้
“มีสองเหตุผลที่นางจะโจมตีเรา” ท่านลุงพูด
“คือหนึ่ง เราล้วงล้ำแดนเข้ามา นางเพียงไม่ต้องการให้ใครเข้ามาเท่านั้น”
“หรือสอง นางมีส่วนกับการลงอาญาพยัคฆราช นางไม่ต้องการให้ใครเข้ามาปลดปล่อย” ท่านลุงไกรศักดิ์พูด
“ต้องเป็นอย่างที่สองแน่ๆครับ” โจพูด
“เพราะเราต้องข้ามเข้ามาเพื่อแก้ไขสิ่งนั้นเหตุผลเดียว”
“ถ้าเป็นอย่างที่สองก็หนักหน่อยนะ คงต้องไปกันข้างนึง” พีพูด
“บนดินแดนนี้เราทำกรรมฐานได้ไหมครับคุณลุง” พีหันมาถามลุงไกร
“ได้ ภพไหนก็ทำได้ถ้าสติของเรายังอยู่กับเนื้อกับตัว” ลุงไกรตอบ
“นั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เราเข้าใจหรือรู้เรื่องราวได้มากกว่านี้นะครับ” พีพูด
“ก็คงอย่างนั้น” ลุงไกรพูดแล้วถอนหายใจยาว
“ท่านพ่อจ๊ะ” สร้อยแก้วเรียกหลังจากที่นั่งฟังอยู่นาน
“ว่ายังไงลูก” ท่านพ่อไกรศักดิ์ขานเอื้อมมือไปลูบหัวลูกสาว
“สร้อยแก้วมิแจ้งใจว่าแม่เป็นเยี่ยงไรจ๊ะ” ลูกสาวถามด้วยความไม่เข้าใจเรื่องแม่ลอยานัก
“วิญญาณแม่ลอยาในชาติภพนี้ เป็นวิญญาณของพระนางอลิยาเทวีไปเกิด” ท่านพ่อพยายามอธิบายช้าๆ
“ตอนนี้พวกเรากลับมาในดินแดนที่พระนางอลิยาเคยอยู่”
“วิญญาณแม่ของลูกเปลี่ยนจากแม่ลอยาเป็นพระนางอลิยาเทวี”
“เข้าใจมั้ยลูก” ท่านพ่อถาม
“เยี่ยงนั้นแม่จะรู้จักสร้อยแก้วหรือไรจ๊ะ” ลูกสาวถามอีก
“พ่อคิดว่า ในดินแดนอินทปัตถ์ที่เราอยู่นี่” ท่านพ่อตอบ
“วิญญาณพระนางอลิยาน่าจะรู้จักลูกในนามจันทร์สุดานะ”
“แต่จะเป็นอะไรกันยังไงพ่อยังตอบลูกไม่ได้เวลานี้”
“ลูกอย่าเพิ่งเสียใจ ถ้าเราออกจากอินทปัตถ์เมืองนี้ไปได้”
“วิญญาณดวงนี้จะกลับไปเป็นลอยาแม่ของลูกอีกหน ลูกอย่าห่วง” ท่านพ่อปลอบลูกสาวที่เริ่มมีน้ำตาคลอ
“เข้าใจหรือเปล่าลูก” ท่านพ่อถาม
“จ้ะท่านพ่อ” สร้อยแก้วยิ้มพยักหน้ารับคำแล้วเช็ดน้ำตาที่คลออยู่ออก
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปสองสามชั่วโมงแล้ว ป่าสว่างเรืองด้วยแสงสีเงินจากดวงจันทร์ ชายป่าและผิวน้ำนั้นสะท้อนแสงวับแวมจากกองไฟที่กลุ่มมนุษย์ผู้ข้ามภพก่อขึ้น ลมพัดผ่านมาเอื่อยๆ รอบตัวสงบเงียบงัน ขุนเขาใหญ่ทะมึนดำหนุนหลังให้พื้นราบบนหน้าผาฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ ดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้นหลายเท่า
พลังมืดผู้ครอบครองผืนป่ามาช้านานยังคงนิ่งสงบ กดดันให้มนุษย์ทั้งหกตึงเครียดอยู่อย่างนั้นในบทแรกของการเผชิญหน้า หวังให้อ่อนล้าลงทีละน้อยด้วยเวลาที่ผ่านไป ท่านแม่ทัพนั่งหลับตานิ่งอยู่ใกล้ๆกองไฟ พีกับสร้อยแก้วยืนเคียงกันอยู่ริมแม่น้ำจ้องมองข้ามไปด้วยทีท่าท้ารบ โจกับเหมียวยืนเคียงเช่นเดียวกันอีกด้านหนึ่งของค่ายหันหน้าไปทางแนวป่า กุณฑลขุนศึกนั่งคอยดูแลนายอยู่ไม่ห่าง จนเวลาล่วงไปค่อนดึก
“มันทำไมเงียบจังวะ หรือยังบาดเจ็บอยู่” โจพูดเบาๆเมื่อเดินตระเวนมาใกล้กันกับพี
“เฝ้ามันอยู่อย่างนี้ล่ะ ถึงเช้าก็ช่างมัน” พีพูด
“คุณลุงยังอยู่ในกรรมฐานค่ะ ถ้ามีอันตรายใกล้เข้ามาท่านคงรู้ได้ก่อน” เหมียวพูด
“หวังว่าเราคงจะได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นนะถ้าคุณลุงท่านถอยออกมาแล้ว” โจพูด
“ผมยังสงสัยเรื่องที่เหมียวพูดถึงกาวะวิกะ” พีพูดมองหน้าหญิงสาว
“คะพี่พี” เหมียวขานเป็นเชิงให้ถาม
“ที่เหมียวบอกว่าเราต้องเข้าใจสภาวะจิตของนาง อะไรทำนองนั้น” พีพูด
“เหมียวรู้สึกลึกๆค่ะว่านางเองก็เจ็บปวดกับอะไรก็ตามที่ทำลงไปเหมือนกัน” เหมียวบอกสิ่งที่สัมผัส
“ประมาณว่านางก็สำนึกผิดอย่างนั้นเหรอครับ” โจถาม
“แต่นางเล่นงานเราทันทีที่เราเริ่มออกเดินนะครับ” พีพูด
“อืม ก็ บางทีถ้าเราเข้าใจความเจ็บปวดของนาง” เหมียวพูดอย่างลังเล
“เราอาจไม่ต้องห้ำหั่นกันให้วอดวายไปข้างหนึ่งก็ได้นะคะ”
“เหมียวกำลังพูดถึงการเจรจาหรือเปล่าครับ” โจถาม
“ก็คงไม่เป็นอย่างนั้นหรอกค่ะ” หญิงสาวพูดแล้วหันมองไปฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ
ธารทิพย์ บทที่ 51
ธารทิพย์ บทที่ 50 http://pantip.com/topic/33575834
“องค์อดิรถาธิราชผู้เป็นกษัตริย์” ท่านลุงเริ่มต้น
“มีโอรสสององค์ อุเทนธิกะ กับพยัคฆราช เท่าที่เรารู้” ท่านลุงพูดต่อ
“ท่านแม่กมุทเป็นพระมารดาของท่านพยัคฆราช” เหมียวพูดต่อ
“ส่วนพระมารดาของท่านอุเทนธิกะ ไม่รู้” เหมียวลำดับความ
“หมายถึงคุณลุงไม่มีแม่เหรอ” โจพูดทำเสียงล้อเลียน
“เพี้ยะ”
เสียงเหมียวซัดฝ่ามืออย่างแรงไปที่แขนชายหนุ่ม
“โอ้ย ตีซะแรงเชียว” โจพูดยังหน้าทะเล้นเอียงแขนหลบ
“เค้ากำลังซีเรียสมาพูดเล่น” หญิงสาวทำตาเขียวใส่
“เอ้าเอ้า ขอโทษ แหมก็อยากให้ผ่อนคลาย” โจพูดยิ้มๆแล้วหันไปยกมือไหว้ลุงไกรด้วย
“ขอถีบเอ็งเป็นการผ่อนคลายหน่อยได้มั้ย” พีพูดหัวเราะหึหึ
ท่านลุง พรานโละ สร้อยแก้วก็เลยขำตามไปด้วย
“เห็นมะ คนอื่นเค้าขำกันทั้งนั้น” โจยังแหย่คนรักแล้วกระเถิบออกห่าง
“พอแล้วพอแล้ว เอาใหม่ ถึงไหนแล้ว” เหมียวพูดสะบัดสะบัด
“ถึงท่านอุเทนธิกะไม่มีแม่” ท่านลุงแกล้งพูดยิ้มๆ
“ท่านแม่กมุท ไม่ใช่พระมารดาของท่านแน่ๆ” เหมียวพูดต่อ
“ตามที่คุณลุงเล่าเรื่องหญิงชราที่ให้ดาบกับของอื่นๆมา”
“ถูกต้อง” ท่านลุงยังคงเห็นด้วย
“บนแผ่นดินอินทปัตถ์ ท่านอุเทนธิกะพระเชษฐาเป็นแม่ทัพม้า” เหมียวพูด
“พระอนุชาต่างมารดาท่านพยัคฆราชเป็นแม่ทัพหน้า”
“เกิดอะไรขึ้นท่านพยัคฆราชถึงต้องอาญาแผ่นดิน นั่นคือคำถามสำคัญ”
“โทษนั้นท่านอุเทนธิกะเป็นผู้ลงอาญา และหนึ่งในการลงโทษนั้น”
“คือดาบคู่บารมีได้ถูกทิ้งลงในบ่อน้ำของวิหารพระอาทิตย์”
“เมื่อพี่พีถือดาบกลับมาก็เลยข้ามมิติมาโผล่ยังก้นบ่อน้ำอีกครั้ง”
“และ ท่านอุเทนธิกะจึงต้องกลับมาปลดพันธนาการให้น้องชาย”
“เห็นด้วยมั้ยคะ” เหมียวถาม
“ฟังสมมุติฐานแล้วสมเหตุสมผล” ท่านลุงพูด
“องค์มาริชผู้เป็นพระสหายของท่านพยัคฆราช” หญิงสาวมองไปที่โจ
“กับพระนางจิระประไพ ยังไม่กล้าเดา ข้อมูลยังไม่พอ” เธอพูดต่อ
“แต่มาริชคือดวงอาทิตย์ ต้องเกี่ยวข้องกับวิหาร แหวนที่สวมอยู่นั่นกับรูปสลักบนทับหลังหน้าประตูวิหาร”
“ต้องเกี่ยวข้องกับการโยนดาบคู่ทิ้งลงบ่อน้ำ”
“และต้องเกี่ยวข้องกับการลงทัณฑ์พระสหายพยัคฆราช” เหมียวพูดจบ
ทั้งห้าคนยังมองหน้ารอฟังเธออยู่
“ใครจะถามอะไรมั้ยคะ” เหมียวพูดเมื่อเห็นว่าทุกคนนิ่งอยู่
“ทำไมคิดว่าการลงทัณฑ์ต้องเกี่ยวข้องกับการโยนดาบคู่ทิ้งน้ำล่ะครับ” โจตั้งคำถาม
“เพราะจากคำพูดการกระทำและการแสดงออก ชี้ชัดว่าดาบคู่นั้นเป็นของท่านพยัคฆราช” เหมียวตอบ
“มันไม่ได้อธิบายชี้ชัดว่าดาบต้องถูกทิ้งน้ำจากการลงทัณฑ์” โจพูดแย้ง
“อย่างเช่นว่าดาบอาจถูกขโมยมาโยนทิ้งน้ำก็ได้นี่ครับ ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง”
“ก็เป็นไปได้ค่ะ แต่นั่นจะทำให้สถานะของท่านมาริชพระสหายของท่านพยัคฆราชเปลี่ยนไป” เหมียวพูด
“ยังไงครับ” พีถาม
“ท่านมาริชเป็นผู้ดูแลวิหารพระอาทิตย์ ตำแหน่งอะไรสักอย่าง ถ้าเราเชื่ออย่างนั้น” เหมียวเริ่มอธิบาย
“ท่านมาริชเป็นพระสหายตามที่ท่านพยัคฆราชบอกกล่าว” เหมียวลำดับคำพูดแล้วมองไปที่พี
“ถ้าดาบถูกทิ้งน้ำจากการลงทัณฑ์ที่ท่านมาริชจำเป็นต้องทำ ท่านมาริชก็ยังเป็นสหาย”
“แต่ถ้าดาบถูกขโมยมาโยนทิ้ง คำถามคือท่านมาริชมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือเปล่า”
“ถ้ามีส่วนรู้เห็น ท่านมาริชก็ไม่ใช่พระสหายที่แท้จริง”
“แต่เหมียวคิดว่าหากดาบถูกขโมยมาทิ้งน้ำจริง ท่านมาริชก็ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นแน่นอน” หญิงสาวพูด
“ทำไมครับ” พีถาม
“เพราะท่าทีที่ท่านพยัคฆราชมาบอกกล่าว” เหมียวพูด
“ท่านยังแสดงออกถึงความเป็นพระสหายต่อท่านมาริชอยู่เหมือนเดิม” เธอหันไปมองหน้าพีกับโจ
“นั่นทำให้เหมียวยังคิดว่าดาบน่าจะถูกทิ้งลงบ่อน้ำในวิหารด้วยเหตุผลของการลงทัณฑ์ค่ะ” เหมียวพูดสรุป
“แล้วพระนางจันทร์สุดาล่ะ” พีขมวดคิ้วเอ่ยถามสีหน้าครุ่นคิด
“ไม่รู้ว่าลูกหลานใครเวลานี้” เหมียวเริ่มอธิบายตอบ
“แต่ท่านพยัคฆราชปีนหน้าผาขึ้นไปหายามวิกาลในความฝันของพี่พีกับน้องสร้อย”
“นั่นคือลักลอบ ทำไมต้องลักลอบ นั่นอาจเพราะพระนางนี้ถูกวางตัวไว้ให้ผู้อื่น หรือเป็นของผู้อื่น”
“ผู้อื่นที่ไม่ใช่ท่านพยัคฆราช ท่านพยัคฆราชเลยต้องลักลอบ”
“และนั่นอาจเป็นความผิด หรือต่อเนื่องไปเป็นความผิดที่ถูกลงอาญา” เหมียวพูดจบ
“แล้ววางตัวไว้ให้ใคร” โจถาม
“ท่านอุเทนธิกะเหรอ” โจถามต่อ
“ก็ตอบยากค่ะ” เหมียวพูด
“ถ้าพยัคฆราชทำความผิดมหันต์ก็สมควรได้รับโทษแล้วไม่ใช่เหรอครับ” พีถาม
“สุดยอดของคำถามค่ะ คำถามที่เหมียวอยากให้มีคนถาม” เหมียวยิ้มดีใจที่มีใครสักคนถาม
“หัวใจของเรื่องค่ะ เหตุผลที่พวกเราต้องกลับมา อาญาที่ไม่เป็นธรรมยังไงคะ”
“ดวงพระวิญญาณของพยัคฆราชจึงมีสิทธิ์ร้องหาความเป็นธรรม”
“มีสิทธิร้องขอให้ปลดปล่อยจากพันธนาการ พันธนาการที่ท่านพูดออกมาเอง”
“และนั่นคือสิทธิ์ที่ทำให้ท่านอุเทนธิกะต้องย่างพระบาทกลับมาอินทปัตถ์นครอีกครั้ง” เหมียวมองจ้องหน้าลุงไกร
คำอธิบายของหญิงสาวเปิดความคิดเปิดหัวใจให้ทุกคนในครอบครัวเข้าใจแจ่มชัดมากขึ้นถึงที่มา สิ่งที่ต้องทำต่อและสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้
“แล้วกาวะวิกะนั่นล่ะครับ” โจถามแล้วหันไปมองฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ
“ผู้ที่ทำให้เกิดการลงอาญาที่ไม่เป็นธรรมรึเปล่า” ท่านลุงพูดแล้วหันมองข้ามแม่น้ำไปด้วย
“นางเป็นความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดหรือเปล่า” โจถาม
“เหมียวคิดว่ายังไงครับ” พีถามความเห็น
“ตามที่เหมียวคิดนะคะ นางผิดที่แตะต้องมนต์ดำ” เหมียวตอบ
“นางเชลยอันพระบิดาเมตตาชุบเลี้ยง เรือนร่างโสภาสะคราญโฉม” หญิงสาวทวนคำพูดของพยัคฆราช
“นางเชลย เพราะนางเป็นเชลย นางอาจสูญเสียไปหลายสิ่งหลายอย่าง”
“การถูกย่ำยี นั่นคือที่มาของความเคียดแค้นที่ฝังลึกอยู่ในใจ”
“ถ้าเราจะมองนางอย่างเป็นธรรมนะคะ มองด้วยเหตุผลที่เรามี”
“มองด้วยองค์ความรู้ทั้งจิตวิทยาและมานุษยวิทยา”
“เราจะประเมินความคิดของนางได้คร่าวๆ เท่ากับเรารู้ว่ากำลังสู้กับอะไรอยู่”
“ทำศึกต้องรู้เขารู้เรายังไงคะ”
“แต่ตรงที่โสภาสะคราญโฉมนี่ ชุบเลี้ยงกันยังไงไม่กล้าเดาค่ะ” เหมียวพูดจบ
ท่านลุง โจและพีจ้องมองใบหน้าสวยของหญิงสาวด้วยความทึ่งในปัญญา พรานโละกับสร้อยแก้วนั่งนิ่งฟังโดยไม่มีคำใดจะไถ่ถาม หลายอย่างที่เธออธิบายก็ยากเกินกว่าทั้งสองพรานพ่อลูกจะเข้าใจได้
“มีสองเหตุผลที่นางจะโจมตีเรา” ท่านลุงพูด
“คือหนึ่ง เราล้วงล้ำแดนเข้ามา นางเพียงไม่ต้องการให้ใครเข้ามาเท่านั้น”
“หรือสอง นางมีส่วนกับการลงอาญาพยัคฆราช นางไม่ต้องการให้ใครเข้ามาปลดปล่อย” ท่านลุงไกรศักดิ์พูด
“ต้องเป็นอย่างที่สองแน่ๆครับ” โจพูด
“เพราะเราต้องข้ามเข้ามาเพื่อแก้ไขสิ่งนั้นเหตุผลเดียว”
“ถ้าเป็นอย่างที่สองก็หนักหน่อยนะ คงต้องไปกันข้างนึง” พีพูด
“บนดินแดนนี้เราทำกรรมฐานได้ไหมครับคุณลุง” พีหันมาถามลุงไกร
“ได้ ภพไหนก็ทำได้ถ้าสติของเรายังอยู่กับเนื้อกับตัว” ลุงไกรตอบ
“นั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เราเข้าใจหรือรู้เรื่องราวได้มากกว่านี้นะครับ” พีพูด
“ก็คงอย่างนั้น” ลุงไกรพูดแล้วถอนหายใจยาว
“ท่านพ่อจ๊ะ” สร้อยแก้วเรียกหลังจากที่นั่งฟังอยู่นาน
“ว่ายังไงลูก” ท่านพ่อไกรศักดิ์ขานเอื้อมมือไปลูบหัวลูกสาว
“สร้อยแก้วมิแจ้งใจว่าแม่เป็นเยี่ยงไรจ๊ะ” ลูกสาวถามด้วยความไม่เข้าใจเรื่องแม่ลอยานัก
“วิญญาณแม่ลอยาในชาติภพนี้ เป็นวิญญาณของพระนางอลิยาเทวีไปเกิด” ท่านพ่อพยายามอธิบายช้าๆ
“ตอนนี้พวกเรากลับมาในดินแดนที่พระนางอลิยาเคยอยู่”
“วิญญาณแม่ของลูกเปลี่ยนจากแม่ลอยาเป็นพระนางอลิยาเทวี”
“เข้าใจมั้ยลูก” ท่านพ่อถาม
“เยี่ยงนั้นแม่จะรู้จักสร้อยแก้วหรือไรจ๊ะ” ลูกสาวถามอีก
“พ่อคิดว่า ในดินแดนอินทปัตถ์ที่เราอยู่นี่” ท่านพ่อตอบ
“วิญญาณพระนางอลิยาน่าจะรู้จักลูกในนามจันทร์สุดานะ”
“แต่จะเป็นอะไรกันยังไงพ่อยังตอบลูกไม่ได้เวลานี้”
“ลูกอย่าเพิ่งเสียใจ ถ้าเราออกจากอินทปัตถ์เมืองนี้ไปได้”
“วิญญาณดวงนี้จะกลับไปเป็นลอยาแม่ของลูกอีกหน ลูกอย่าห่วง” ท่านพ่อปลอบลูกสาวที่เริ่มมีน้ำตาคลอ
“เข้าใจหรือเปล่าลูก” ท่านพ่อถาม
“จ้ะท่านพ่อ” สร้อยแก้วยิ้มพยักหน้ารับคำแล้วเช็ดน้ำตาที่คลออยู่ออก
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปสองสามชั่วโมงแล้ว ป่าสว่างเรืองด้วยแสงสีเงินจากดวงจันทร์ ชายป่าและผิวน้ำนั้นสะท้อนแสงวับแวมจากกองไฟที่กลุ่มมนุษย์ผู้ข้ามภพก่อขึ้น ลมพัดผ่านมาเอื่อยๆ รอบตัวสงบเงียบงัน ขุนเขาใหญ่ทะมึนดำหนุนหลังให้พื้นราบบนหน้าผาฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ ดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้นหลายเท่า
พลังมืดผู้ครอบครองผืนป่ามาช้านานยังคงนิ่งสงบ กดดันให้มนุษย์ทั้งหกตึงเครียดอยู่อย่างนั้นในบทแรกของการเผชิญหน้า หวังให้อ่อนล้าลงทีละน้อยด้วยเวลาที่ผ่านไป ท่านแม่ทัพนั่งหลับตานิ่งอยู่ใกล้ๆกองไฟ พีกับสร้อยแก้วยืนเคียงกันอยู่ริมแม่น้ำจ้องมองข้ามไปด้วยทีท่าท้ารบ โจกับเหมียวยืนเคียงเช่นเดียวกันอีกด้านหนึ่งของค่ายหันหน้าไปทางแนวป่า กุณฑลขุนศึกนั่งคอยดูแลนายอยู่ไม่ห่าง จนเวลาล่วงไปค่อนดึก
“มันทำไมเงียบจังวะ หรือยังบาดเจ็บอยู่” โจพูดเบาๆเมื่อเดินตระเวนมาใกล้กันกับพี
“เฝ้ามันอยู่อย่างนี้ล่ะ ถึงเช้าก็ช่างมัน” พีพูด
“คุณลุงยังอยู่ในกรรมฐานค่ะ ถ้ามีอันตรายใกล้เข้ามาท่านคงรู้ได้ก่อน” เหมียวพูด
“หวังว่าเราคงจะได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นนะถ้าคุณลุงท่านถอยออกมาแล้ว” โจพูด
“ผมยังสงสัยเรื่องที่เหมียวพูดถึงกาวะวิกะ” พีพูดมองหน้าหญิงสาว
“คะพี่พี” เหมียวขานเป็นเชิงให้ถาม
“ที่เหมียวบอกว่าเราต้องเข้าใจสภาวะจิตของนาง อะไรทำนองนั้น” พีพูด
“เหมียวรู้สึกลึกๆค่ะว่านางเองก็เจ็บปวดกับอะไรก็ตามที่ทำลงไปเหมือนกัน” เหมียวบอกสิ่งที่สัมผัส
“ประมาณว่านางก็สำนึกผิดอย่างนั้นเหรอครับ” โจถาม
“แต่นางเล่นงานเราทันทีที่เราเริ่มออกเดินนะครับ” พีพูด
“อืม ก็ บางทีถ้าเราเข้าใจความเจ็บปวดของนาง” เหมียวพูดอย่างลังเล
“เราอาจไม่ต้องห้ำหั่นกันให้วอดวายไปข้างหนึ่งก็ได้นะคะ”
“เหมียวกำลังพูดถึงการเจรจาหรือเปล่าครับ” โจถาม
“ก็คงไม่เป็นอย่างนั้นหรอกค่ะ” หญิงสาวพูดแล้วหันมองไปฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ