สวัสดีค่ะทุกคนนี้เป็นกระทู้แรกที่เราเขียนขึ้นมาเพื่ออยากแชร์ประสบการณ์ที่คาดไม่ถึงในคุณแม่ตั้งครรภ์
ก่อนอื่นเรารู้ตัวว่าเรามีน้องหลังจากแต่งงานได้3เดือนกว่า ตั้งใจค่ะอยากมีน้องทั้งเราและสามี ตอนรู้เราดีใจน้ำตาไหลเลยค่ะ
มันเป็นอะไรที่แบบขอบคุณที่ฟ้าส่งเค้าให้มาเป็นลูกเรา พอเราไปฝากครรภ์ในวันเสาร์คุณหมอบอกตอนนั้นเราตั้งครรภ์ได้6สัปดาห์
เรายกเลิกทริปไปเที่ยวญี่ปุ่นทันทีที่รู้ว่าตัวเองท้องอ่อนๆกลัวน้องหลุดมากค่ะ เลยทำให้เราต้องเดินเรื่องยกเลิกทริปไปเที่ยวแบบเครียดค่ะตอนนั้น
พอวันอาทิตย์ตอน3ทุ่มกว่าๆเราเริ่มปวดท้องค่ะตอนแรกเราก็คิดว่าปวดท้องโรคกระเพาะที่เราเป็นอยู่หรือป่าวน๊า ก็พยายามนอนค่ะแต่นอนไม่ได้
ปวดเหมือนไส้มันบีบตัวแล้วก็คลาย บีบแล้วก็คลายแต่พอตี3เราตัดสินใจที่จะไปหาหมอเพราะมันไม่หายสักที พอไปถึงโรงบาลหมอเวรบอกว่าทำไรมากไม่ได้นะ
เพราะเราท้องอ่อนๆอยู่ให้ยาแรงอาจจะอันตรายต่อน้อง หมอได้แต่ให้ยาแก้ปวดมากินค่ะ ตอนนั้นกลับมาก็กินไรไม่ลงนะเริ่มมีอาการลมขึ้นค่ะ ไม่ถ่าย ไม่ตด
เคี้ยวแอร์เอ็กก็เอาไม่อยู่ คิดในใจว่าเฮ้อ!เราไปกินไรมานะหรือจะเป็นเพราะยำหอยแครง แพ้อาหารแน่เลย ตอนนั้นยังงงๆค่ะว่าเกิดอะไรขึ้นนะ
วันจันทร์ก็ยังปวดค่ะไม่หายจริงๆปวดกว่าเดิมอีกทีนี้เริ่มอ้วกค่ะ กินข้าวไม่ได้กินไรไม่ได้อ้วกตลอด เลยไปหาหมอทางเดินอาหารที่นี้คุณหมอบอกว่า
หมอเองก็ไม่กล้าพาหนูไปเอ็กเรย์นะเพราะน้องยังอ่อนมาก ให้ยาไรหมอก็ไม่กล้าให้น่ะ ไม่รู้ว่าที่หนูท้องอืดเพราะต้องท้องหรือป่าว
แล้วคุณหมอก็หันไปเห็นแผลผ่าตัดไส้ติ่ง คุณหมอถามว่าเราไปผ่าตัดแผลนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ เราก็บอกไปค่ะว่า หนูผ่าไปตั้งแต่2ขวบแล้วนะคะ
ตอนนั้นไส้ติ่งหนูแตกหนูรู้เพราะแม่บอกมาคะหมอ คุณหมอเริ่มพูดว่าหรือจะเป็นพังผืดรัดลำไส้นะ งั้นหนูลองนอนโรงบาลก็ดีกว่าเพราะเริ่มมีอาการขาดน้ำแล้ว
ตอนนั้นเราปากเป็นสีม่วงเลยค่ะ เราเลยคุยกับสามีว่านอนเถอะอย่างน้อยก็อยู่ใกล้หมอนะเป็นไรก็ยังรักษาทัน แต่ตอนนั้นเรางงค่ะ
กับคำว่า "พังผืดรัดลำไส้"มันคืออะไรแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร พอตกกลางคืนเราปวดท้องหนักเข้าทุกทีๆบอกคุณพยาบาลว่าหนูปวดท้องมากเลยค่ะนอนไม่หลับ
ขอยานอนหลับได้ไหมค่ะ คุณพยาบาลบอกว่า"ยาที่ให้กินไปนั้นเป็นยานอนหลับจำนวน4เม็ดแล้วค่ะให้มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว"
แบบว่าโอ้โห้4เม็ดก็เอาไม่อยู่นิในใจเราคิดเลยคะว่าไม่ธรรมดาแล้วละ
วันอังคารเริ่มอ้วกหนักขึ้นค่ะไอ้ท้องที่ปวดแบบมีคนมาบีบไส้เอาไว้ที่นี้มันปวดจนเรากำมือสามีไว้แน่นค่ะได้แต่บอกสามีว่าปวดท้องมากจะไม่ไหวแล้ว
พยายามไม่ร้องไห้ค่ะไม่อยากให้ลูกเครียดสงสารเค้า พอเช้าคุณหมอมาดูเราปวดไม่หายแล้ว ที่นี้คุณหมอประสารงานกับคุณหมอเด็กเลยค่ะว่าขอเอ็กเรย์เถอะคนไข้ไม่ไหวแล้ว
แล้วคุณหมอก็เดินมาบอกว่า ปะ!เอกเรย์กันนะไม่ต้องห่วงเรื่องน้องนะ เพราะเดียวจะเอาแผ่นคาบอร์นมาบังไว้น้องจะไม่โดนรังสี ....... ตอนนั้นสงสารลูกมากๆ
ขณะที่ผลเอ็กเรย์ออกมาคือ พังผืดมันไปรัดลำไส้เล็กเราบวมมากกว่าปกติจนถึงขั้นเกือบแตกแล้วค่ะ คุณหมอส่งเข้าห้องผ่าตัดเลยบอกไม่ต้องรอแล้ว
ตอนนั้นไม่ร้องไห้คะพยายามมากเพื่อลูกคิดอย่างเดียวเลยจริงๆ พอถึงห้องผ่าเราก็หลับไปและคิดเสมอว่า"หนูต้องสู้ไปกับแม่นะถ้าหนูอยากเจอเป็นลูกแม่"
ตื่นขึ้นมาหลังจากนั้น3ช.ม.ทำไรมากไม่ได้ค่ะขยับตัวก็เจ็บตรงกลางพุงมากๆ(ยังไม่เห็นสภาพแผลตัวเอง555) เจ็บจมูกเพราะเค้าสอดสายยางเข้าไปดูดของเสียในลำไส้
มีสายยางสอดเข้าไปในกระเพาะปัสสวะ คือแบบอะไรมันระโยงระยางไปหมด แล้วก็หลับลงไปอย่างไม่รู้เรื่อง...........
วันพุธเริ่มรู้สึกตัวแล้วค่ะแล้วรำคราญกับสายฉี่ สายยางในคอคือ มันเป็นอะไรที่ทรมานมากเจ็บคอมากกลืนน้ำลายไม่ได้ เจ็บคอไปหมดพูดก็ไม่มีเสียงออก
เลยขอคุณหมอถอดสายฉี่กับสายดูดในกระเพาะออก...หลับสบายเลยค่ะวันนั้น ในหัวเราก็คิดเสมอนะคะว่าลูกจะสู้ไหมถ้าสู้อยู่กับแม่นะ อย่าทิ้งแม่ไปนะลูก
วันพฤหัสบดีเราเริ่มขยับลุกจากเตียงค่ะแต่เจ็บแผลมากพอเปิดดูแผลเราแทบเป็นลมเลยค่ะ คือเป็นแผลปิดผ้าก๊อตตั้งแต่กลางพุงไปจนเกือบถึงมดลูก
ตลอดเวลาตั้งแต่วันจ-พฤ เราถูกสั่งงดข้าวงดน้ำ โหยอย่างทรมานคือแบบมันไม่ชินจริงๆแล้วเริ่มมีอาการท้องอืดค่ะ บอกคุณหมอคุณหมอบอก เอ้า!โอเคกลับไปใส่สายยางนะ *0*
ฮะอะไรนะ!!ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองต้องกลับไปใส่ไอ้สายบ้านี้อีกแล้วจริงๆเหรอ บ้าไปแล้ว(คือคนไม่เคยใส่อาจจะคิดว่ามันไม่น่าจะอะไรมากนะ)แต่มันโคตะระทรมานคะ
สายนี้มันต้องสอดทางจมูกแล้วยัดลงไปในคอให้ถึงกระเพาะแล้วจะระคายคอมาก แต่ที่เจ็บปวดกว่านั้นคือ มันเป็นสายเบอร์ใหญ่กว่าอันแรกที่ขอคุณหมอเอาออกไปค่ะ T^T
ถึงกับนอนไม่หลับเลยค่ะเวลานั้นนึกถึงลูก นอนมองของที่อยู่ในกระเพาะไหลออกมาตามสายยาง โอ๊ยเป็นไรที่รันทดใจมาก
วันศุกร์ไม่ไหวค่ะร้องไห้บอกพยาบาลให้ไปถามคุณหมอให้หน่อยว่าถอดเปลี่ยนไปใส่สายยางเส้นเล็กได้ไหม....
หลังจากนั้นพยาบาลเดินมาบอกว่าคุณหมอโอเคให้เป็นได้ ทรมานกันต่อไป ในใจก็ได้แต่คิดถึงลูกว่าหนูจะไหวไหมลูก กลัวเค้าหลุดมากๆค่ะ
อยากร้องไห้แต่กลัวครอบครวจะคิดมาก ไม่อยากให้พวกเค้ามาเศร้ากับเราอดทนคะไม่ร้องไห้ ต้องสู้ลูกยังอยู่ในท้องเราก็ต้องสู้ต่อไป
ระหว่างนั้นคุณหมอบอกว่าพยายามเดินนะ ลำไส้จะได้กลับมาทำงานเร็วๆจะได้กลับบ้านเร็วๆเราก็พยายามเดินค่ะทุก2ช.ม. เดิน10นาที เดินนานกว่านี้เจ็บแผล
วันเสาร์สิ่งที่รอคอยก็กลับมาค่ะ คุณหมอมาบอกให้ถอดสายยางนรกในตอนเย็นเรานิแทบจะเต้นรอบวอร์ดเลยค่ะ5555 แบบชีวิตฉันกลับมาแล้ววววว
แล้วก็เริ่มมีเพื่อนๆมาเยี่ยมค่ะ คือการมีคนมาเยื่ยมมันดีนะคะ มันมีกำลังใจแต่ว่าพอมากันเยอะๆเราแทบไม่ได้นอนเลยค่ะเพลียมาก.......
วันอาทิตย์หมอเริ่มให้กินอาหารเหลวค่ะ โอ๊ยมันเป็นอะไรที่รอคอยมากคือ เราไม่ได้กินไรนอกจากน้ำเกลือมา6วันเต็มๆ
ตอนที่กระเพาะมันไม่ทำงานมันก็ไม่รู้สึกหิวนะคะ แต่พอร่างกายมันเริ่มกลับมาทำงานเนี่ย โอ๊ยเห็นอะไรก็อยากกินไปหมดทรมานสุดๆคะ
แต่เราก็ไม่กล้ากินมากนะ กลัวท้องอืดแล้วจะต้องกลับไปใส่สายยางดูดอาหารอีก5555 และพอเริ่มมีแรงก็เริ่มถามคุณหมอค่ะว่าที่หนูเป็นมันคืออะไรทำไมมันถึงเกิดได้
คุณหมอบอกว่าพังผืดรัดลำไส้เกิดการคนที่เคยผ่าตัดช่องท้องมาก่อน จะเกิดเนื้อเยื่อขึ้นมารักษาแผลที่โดนผ่าไปนั้นก็คือพังผืดค่ะ
คุณหมอยังบอกอีกว่า จริงๆมันคงเกิดมานานแล้วละคงไม่ได้พึ่งเกิดแต่ว่าพอเรามีน้องมดลูกมันก็ใหญ่ขึ้นทำให้ อาการของโรคมันแสดงออกมา
และยิ่งผ่าตัดช่องท้องมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเกิดพังผืดมากเท่านั้นแต่การเกิดพังผืดนี้ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนด้วยบางคนมี บางคนพังผืดก็ไม่สร้าง (ของหนูนิเรียกว่าซวยใช่ไหมค่ะหมอ)
วันศุกร์หมอให้ลองกินอาหารอ่อนค่ะ คือรู้สึกมีกำลังใจเยอะมากคือแบบเราพัฒนาแล้ว และคุณหมอก็มาแกะแผลออกให้ พอเห็นแค่นั้นละคะ
คุณหมอค่ะคุณหมอใช้แม็กเย็บพุงหนูเหรอค่ะ5555555 เรานับแม็กที่หมอแงะออกมาทั้งหมด12ตัวค่ะ คือเยอะมาก และคุณหมอก็อนุญาติให้กลับบ้านได้
เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากค่ะ ลูกก็ตัวใหญ่ขึ้นทุกวันๆ เราดีใจมากนะคะที่เค้า ยังอยู่และสู้ไปกับเรา รักเค้ามากๆค่ะ วันที่เรารู้สึกถึงการขยับของเค้าที่อยู่ในท้องเราดีใจจนน้ำตาไหลเลยค่ะ
ตอนนั้นลูกเราอายุครรภ์ได้21สัปดาห์แล้วค่ะ ท้องเริ่มออกน้องดิ้นให้เรารู้สึกและไปซาวมาน้องเป็นเด็กผู้หญิงโหยชีวิต สุขสุดๆ....
หลายคนอาจจะคิดว่าเราคงไม่เป็นอะไรแล้ว.....แต่ไม่ใช่เลยค่ะ3เดือนหลังจากผ่าตัดครั้งแรกมันก็ลับมาอีกเหมือนหนังที่ฉายซ้ำ
เราเริ่มปวดท้องอีกรอบค่ะตอนตี3 แต่ตอนนั้นแอบไม่อยากเชื่อว่าจะกลับมาอีกแล้วจริงๆเหรอ ไม่ม๊าง!!! 9โมงไปหาหมอทางเดินกะเพาะอาหารค่ะแต่ไม่ได้เจอคุณหมอคนเดิม
หมอบอกมันไม่น่าจะกลับมาเร็วขนาดนั้นหรอกอาจจะเป็นกรดไหลย้อนคนท้องเป็นเยอะ อะกรดไหลย้อนก็ย้อนวะ ยังคงอยากจะคิดในแง่ดี
แต่ตอนนั้นรู้สึกลึกๆนะคะว่ามันแปลกเพราะไม่อยากกินข้าว กินได้แต่น้ำ พอเริ่มตกเย็นกินไรไม่ได้เลยค่ะเริ่มอ้วกละไม่ตดไม่ถ่าย คิดในใจละ เอ้าละโว้ย
ตัดสินใจไปหาหมอแผนกศัลยกรรมที่เป็นคนผ่าพังผืดรอบแรกให้แล้วค่ะ แต่คุณหมอออกเวรไปแล้วเหลือแต่คุณหมอหน้าใสอีกคนแต่ไม่ต้องห่วง
เพราะคุณหมอหน้าใสต้องประสารงานกับคุณหมอเจ้าของไข้ให้ แล้วสักพักคุณหมอก็มาบอกงั้นเอ็กเรย์กัน แต่รอบนี้ใช้แผ่นคาร์บอร์นไม่ได้แล้วค่ะ
ท้องใหญ่ยังไงก็โดน ถึงกับเครียดเลยคะ ถ้าใช้ไม่ได้ลูกเราจะเป็นอะไรไหมจะโดนรังสีไหม เค้าจะไหวหรือป่าว
ตัดสินใจให้พยาบาลโทรถามหมอเด็กว่าเอ็กเรย์แล้วลูกเราจะเป็นอะไรไหม หมอบอกไม่ต้องรอเอ็กเรย์ไปเลย ยังไงแม่ต้องมาก่อน คือยังไงเราก็ห่วงลูกอยู่ดีค่ะ
แต่หลังจากเอ็กเรย์แล้วรอผล สิ่งทีร่างกายเราแสดงออกคือ สั่นค่ะไม่ได้หนาวเลยนะคะตอนนั้นเหงื่อออกทั่งตัวเลยค่ะ ถามว่าสั่นขนาดไหนยิ่งเวลาผ่านไป
เราเริ่มสั่นแรงค่ะ นึกภาพคนทรงมีองค์มาลงนะค่ะแบบนั้นเลย แล้วหมอหน้าใสก็บอกสิ่งที่ไม่อยากได้ยินเลยค่ะ เรากลับมาเป็นพังผืดรัดลำไส้อีกแล้ว (นี้หรือชีวิต!!)
หมอรีบส่งขึ้นห้องเลยค่ะ แล้วเอาไอ้สายยางนรกมาใส่ในจมูกเราเช่นเดิมแต่ไม่หายปวดค่ะสั่นหนักกว่าเดิม เห็นหน้าพยาบาลแบบซีดเลยตอนเห็นเราสั่น
พอปวดท้องบีบทีร่างกายก็สั่นที จนในที่สุดตี3คุณหมอเจ้าของไข้ก็เข้ามาจับมือแล้วถามว่าไงไหวไหม หมอไม่อยากผ่าเลย
แต่ถ้าไม่ไหวก็ผ่านะก็ที่จะแย่กว่านี้ ตอนนั้นผ่าก็ผ่าค่ะไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว มันยิ่งกว่ารอบที่แล้วอีกค่ะครั้งนี้สุดแสนจะทรมาน สงสารลูก สงสารสามี สงสารพ่อแม่
พอเข้าห้องผ่าตัด วิสัญีแพทย์เค้าจะถามประวัติเรา คือตอนนั้นบอกได้แต่วาหมอหนูไม่ไหวแล้ว ปวดท้อง ปวดท้อง ไม่ไหวแล้ว จนพยาบาลต้องวิ่งเอาที่รัดมารัดขา
แล้ววิสัญีแพทยก็บอกว่ารู้แล้วใช่ไหมค่ะว่าการผ่าตัดครั้งนี้น้องมีความเสี่ยงจะแท้งด้วย.......โหยคุณขาเราได้ยินแค่นั้นนะน้ำตาไหลเลย
เราได้เห็นลูกร่างกายเค้าแขนขาครบแล้วเค้าดิ้นในตัวเรา เราคงทำใจไม่ได้จริงๆที่จะต้องเสียเค้าไป ได้แต่นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ปกป้องคุ้มครองลูกของเรา
พูดกับลูกกลางห้องผ่าตัดว่าหนูโตมาขนาดนี้แล้วสู้ไปกับแม่นะลูก อย่าทิ้งแม่ไปนะลูก อยู่กับแม่นะ....แล้วเราก็หลับไปเพราะยาสลบ
พอฟื้นขึ้นมาก็ถามหมอว่าลูกหนูยังอยู่ไหมหมอ.....พอหมอบอกว่าอยู่เราก็หลับได้ลง พอกลับมาถึงห้องพยาบาลมาบอกว่าตื่นแล้วก็หายใจลึกๆนะ
เพราะกลัวเกิดโรคแทรกซ้อน(ปอดแฟบ) นี้แค่พังผืดมันรัดลำไส้ก็แย่ละยังต้องมาเสี่ยงปอดแฟบอีกเหรอเนี่ย -0- วันแรกเราเดินไม่ไหวจริงๆค่ะนอนทั้งวัน
พอวันที่2เราขอถอดสายฉี่แล้วลุกเดินเลยกลัวพังผืดกลับมาอีก ส่วนสายจมูกนรกแตกเราอดทนค่ะใส่ไม่งอแงขอถอดก่อน ที่ใส่อยู่ตอนนั้นเป็นสายใหญ่ค่ะ
อดทนมาก ถามหมอว่าหมอคะมันจะกลับมาอีกไหมและทำไมมันกลับมาเร็วจัง พึงจะ3เดือนหน่อยๆเองนะหมอ
หมอบอกว่า"พอมดลูกขยายตัวมันเลยไปดันไส้ให้ขึ้นมาข้างบนและพื้นที่ในท้องก็จะน้อยลงทำให้ไส้มันไปติดกันมากขึ้น"โอยชีวิตไหมมันระทึกขนาดนี้ฟร่ะ!!
หมอยังบอกต่ออีกว่า"อย่าคิดมากมันก็เหมือนระเบิดเวลานะไม้รู้อาการจะกำเริบอีกเมื่อไหร่นะ เอาเป็นว่าทำใจให้สบายถ้าปวดท้องก็รีบกลับมาหาหมออดทนหน่อยถ้าคลอดน้องแล้วมดลูกเล็กลงอะไรๆน่าจะดีขึ้น"
หลังจากนั้นเราก็นอนโรงบาลและผ่านขั้นตอนมาเหมือนการผ่าครั้งแรกเลยค่ะ แต่ระหว่างอยู่โรงบาลเราพยายามเดินให้เยอะขึ้นนานขึ้น.....อยากหายเร็วๆ
อยู่โรงบาลได้เกือบ8วันก็ได้ออกจากโรงบาลค่ะ.... พอกลับมาถึงบ้านเราพยายามเดินเพื่อขยับลำไส้ให้มากขึ้นแทบจะทุกๆช.ม. เดินนานตั้งแต่ 30นาทีจนถึง1ช.ม
ออกจากโรงบาลได้2อาทิตย์กว่าแล้วค่ะจนวันที่4มิถุนายนที่ผ่านมาระเบิดลูกนี้มันกลับมาเดินอีกแล้วแต่ทีนี้รู้ตัวเร็วรีบไปโรงบาลแล้วไปสอดสายจมูกอันคุ้นเคย
ไม่อยากรู้จักมันแต่คงต้องทำความคุ้นเคยจนกว่าน้องจะคลอดจะสู้ต่อไปค่ะถึงจะต้องทรมานอยากให้ลูกปลอดภัย.....และอยากให้เค้ารู้ว่าแม่คนนี้รักเค้ามากๆค่ะ
สุดท้ายอยากรู้เหมือนกันว่าเราเป็นคนเดียวหรือป่าวหรือยังมีคนที่เป็นแบบเราอยู่ด้วย...ขอบคุณทุกๆคนมากๆนะค่ะ!!~><
แชร์ประสบการณ์....ลำไส้เล็กอุดตันระเบิดเวลาที่รอวันนับถอยหลังในคุณแม่ท้องแรก!!~
ก่อนอื่นเรารู้ตัวว่าเรามีน้องหลังจากแต่งงานได้3เดือนกว่า ตั้งใจค่ะอยากมีน้องทั้งเราและสามี ตอนรู้เราดีใจน้ำตาไหลเลยค่ะ
มันเป็นอะไรที่แบบขอบคุณที่ฟ้าส่งเค้าให้มาเป็นลูกเรา พอเราไปฝากครรภ์ในวันเสาร์คุณหมอบอกตอนนั้นเราตั้งครรภ์ได้6สัปดาห์
เรายกเลิกทริปไปเที่ยวญี่ปุ่นทันทีที่รู้ว่าตัวเองท้องอ่อนๆกลัวน้องหลุดมากค่ะ เลยทำให้เราต้องเดินเรื่องยกเลิกทริปไปเที่ยวแบบเครียดค่ะตอนนั้น
พอวันอาทิตย์ตอน3ทุ่มกว่าๆเราเริ่มปวดท้องค่ะตอนแรกเราก็คิดว่าปวดท้องโรคกระเพาะที่เราเป็นอยู่หรือป่าวน๊า ก็พยายามนอนค่ะแต่นอนไม่ได้
ปวดเหมือนไส้มันบีบตัวแล้วก็คลาย บีบแล้วก็คลายแต่พอตี3เราตัดสินใจที่จะไปหาหมอเพราะมันไม่หายสักที พอไปถึงโรงบาลหมอเวรบอกว่าทำไรมากไม่ได้นะ
เพราะเราท้องอ่อนๆอยู่ให้ยาแรงอาจจะอันตรายต่อน้อง หมอได้แต่ให้ยาแก้ปวดมากินค่ะ ตอนนั้นกลับมาก็กินไรไม่ลงนะเริ่มมีอาการลมขึ้นค่ะ ไม่ถ่าย ไม่ตด
เคี้ยวแอร์เอ็กก็เอาไม่อยู่ คิดในใจว่าเฮ้อ!เราไปกินไรมานะหรือจะเป็นเพราะยำหอยแครง แพ้อาหารแน่เลย ตอนนั้นยังงงๆค่ะว่าเกิดอะไรขึ้นนะ
วันจันทร์ก็ยังปวดค่ะไม่หายจริงๆปวดกว่าเดิมอีกทีนี้เริ่มอ้วกค่ะ กินข้าวไม่ได้กินไรไม่ได้อ้วกตลอด เลยไปหาหมอทางเดินอาหารที่นี้คุณหมอบอกว่า
หมอเองก็ไม่กล้าพาหนูไปเอ็กเรย์นะเพราะน้องยังอ่อนมาก ให้ยาไรหมอก็ไม่กล้าให้น่ะ ไม่รู้ว่าที่หนูท้องอืดเพราะต้องท้องหรือป่าว
แล้วคุณหมอก็หันไปเห็นแผลผ่าตัดไส้ติ่ง คุณหมอถามว่าเราไปผ่าตัดแผลนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ เราก็บอกไปค่ะว่า หนูผ่าไปตั้งแต่2ขวบแล้วนะคะ
ตอนนั้นไส้ติ่งหนูแตกหนูรู้เพราะแม่บอกมาคะหมอ คุณหมอเริ่มพูดว่าหรือจะเป็นพังผืดรัดลำไส้นะ งั้นหนูลองนอนโรงบาลก็ดีกว่าเพราะเริ่มมีอาการขาดน้ำแล้ว
ตอนนั้นเราปากเป็นสีม่วงเลยค่ะ เราเลยคุยกับสามีว่านอนเถอะอย่างน้อยก็อยู่ใกล้หมอนะเป็นไรก็ยังรักษาทัน แต่ตอนนั้นเรางงค่ะ
กับคำว่า "พังผืดรัดลำไส้"มันคืออะไรแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร พอตกกลางคืนเราปวดท้องหนักเข้าทุกทีๆบอกคุณพยาบาลว่าหนูปวดท้องมากเลยค่ะนอนไม่หลับ
ขอยานอนหลับได้ไหมค่ะ คุณพยาบาลบอกว่า"ยาที่ให้กินไปนั้นเป็นยานอนหลับจำนวน4เม็ดแล้วค่ะให้มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว"
แบบว่าโอ้โห้4เม็ดก็เอาไม่อยู่นิในใจเราคิดเลยคะว่าไม่ธรรมดาแล้วละ
วันอังคารเริ่มอ้วกหนักขึ้นค่ะไอ้ท้องที่ปวดแบบมีคนมาบีบไส้เอาไว้ที่นี้มันปวดจนเรากำมือสามีไว้แน่นค่ะได้แต่บอกสามีว่าปวดท้องมากจะไม่ไหวแล้ว
พยายามไม่ร้องไห้ค่ะไม่อยากให้ลูกเครียดสงสารเค้า พอเช้าคุณหมอมาดูเราปวดไม่หายแล้ว ที่นี้คุณหมอประสารงานกับคุณหมอเด็กเลยค่ะว่าขอเอ็กเรย์เถอะคนไข้ไม่ไหวแล้ว
แล้วคุณหมอก็เดินมาบอกว่า ปะ!เอกเรย์กันนะไม่ต้องห่วงเรื่องน้องนะ เพราะเดียวจะเอาแผ่นคาบอร์นมาบังไว้น้องจะไม่โดนรังสี ....... ตอนนั้นสงสารลูกมากๆ
ขณะที่ผลเอ็กเรย์ออกมาคือ พังผืดมันไปรัดลำไส้เล็กเราบวมมากกว่าปกติจนถึงขั้นเกือบแตกแล้วค่ะ คุณหมอส่งเข้าห้องผ่าตัดเลยบอกไม่ต้องรอแล้ว
ตอนนั้นไม่ร้องไห้คะพยายามมากเพื่อลูกคิดอย่างเดียวเลยจริงๆ พอถึงห้องผ่าเราก็หลับไปและคิดเสมอว่า"หนูต้องสู้ไปกับแม่นะถ้าหนูอยากเจอเป็นลูกแม่"
ตื่นขึ้นมาหลังจากนั้น3ช.ม.ทำไรมากไม่ได้ค่ะขยับตัวก็เจ็บตรงกลางพุงมากๆ(ยังไม่เห็นสภาพแผลตัวเอง555) เจ็บจมูกเพราะเค้าสอดสายยางเข้าไปดูดของเสียในลำไส้
มีสายยางสอดเข้าไปในกระเพาะปัสสวะ คือแบบอะไรมันระโยงระยางไปหมด แล้วก็หลับลงไปอย่างไม่รู้เรื่อง...........
วันพุธเริ่มรู้สึกตัวแล้วค่ะแล้วรำคราญกับสายฉี่ สายยางในคอคือ มันเป็นอะไรที่ทรมานมากเจ็บคอมากกลืนน้ำลายไม่ได้ เจ็บคอไปหมดพูดก็ไม่มีเสียงออก
เลยขอคุณหมอถอดสายฉี่กับสายดูดในกระเพาะออก...หลับสบายเลยค่ะวันนั้น ในหัวเราก็คิดเสมอนะคะว่าลูกจะสู้ไหมถ้าสู้อยู่กับแม่นะ อย่าทิ้งแม่ไปนะลูก
วันพฤหัสบดีเราเริ่มขยับลุกจากเตียงค่ะแต่เจ็บแผลมากพอเปิดดูแผลเราแทบเป็นลมเลยค่ะ คือเป็นแผลปิดผ้าก๊อตตั้งแต่กลางพุงไปจนเกือบถึงมดลูก
ตลอดเวลาตั้งแต่วันจ-พฤ เราถูกสั่งงดข้าวงดน้ำ โหยอย่างทรมานคือแบบมันไม่ชินจริงๆแล้วเริ่มมีอาการท้องอืดค่ะ บอกคุณหมอคุณหมอบอก เอ้า!โอเคกลับไปใส่สายยางนะ *0*
ฮะอะไรนะ!!ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองต้องกลับไปใส่ไอ้สายบ้านี้อีกแล้วจริงๆเหรอ บ้าไปแล้ว(คือคนไม่เคยใส่อาจจะคิดว่ามันไม่น่าจะอะไรมากนะ)แต่มันโคตะระทรมานคะ
สายนี้มันต้องสอดทางจมูกแล้วยัดลงไปในคอให้ถึงกระเพาะแล้วจะระคายคอมาก แต่ที่เจ็บปวดกว่านั้นคือ มันเป็นสายเบอร์ใหญ่กว่าอันแรกที่ขอคุณหมอเอาออกไปค่ะ T^T
ถึงกับนอนไม่หลับเลยค่ะเวลานั้นนึกถึงลูก นอนมองของที่อยู่ในกระเพาะไหลออกมาตามสายยาง โอ๊ยเป็นไรที่รันทดใจมาก
วันศุกร์ไม่ไหวค่ะร้องไห้บอกพยาบาลให้ไปถามคุณหมอให้หน่อยว่าถอดเปลี่ยนไปใส่สายยางเส้นเล็กได้ไหม....
หลังจากนั้นพยาบาลเดินมาบอกว่าคุณหมอโอเคให้เป็นได้ ทรมานกันต่อไป ในใจก็ได้แต่คิดถึงลูกว่าหนูจะไหวไหมลูก กลัวเค้าหลุดมากๆค่ะ
อยากร้องไห้แต่กลัวครอบครวจะคิดมาก ไม่อยากให้พวกเค้ามาเศร้ากับเราอดทนคะไม่ร้องไห้ ต้องสู้ลูกยังอยู่ในท้องเราก็ต้องสู้ต่อไป
ระหว่างนั้นคุณหมอบอกว่าพยายามเดินนะ ลำไส้จะได้กลับมาทำงานเร็วๆจะได้กลับบ้านเร็วๆเราก็พยายามเดินค่ะทุก2ช.ม. เดิน10นาที เดินนานกว่านี้เจ็บแผล
วันเสาร์สิ่งที่รอคอยก็กลับมาค่ะ คุณหมอมาบอกให้ถอดสายยางนรกในตอนเย็นเรานิแทบจะเต้นรอบวอร์ดเลยค่ะ5555 แบบชีวิตฉันกลับมาแล้ววววว
แล้วก็เริ่มมีเพื่อนๆมาเยี่ยมค่ะ คือการมีคนมาเยื่ยมมันดีนะคะ มันมีกำลังใจแต่ว่าพอมากันเยอะๆเราแทบไม่ได้นอนเลยค่ะเพลียมาก.......
วันอาทิตย์หมอเริ่มให้กินอาหารเหลวค่ะ โอ๊ยมันเป็นอะไรที่รอคอยมากคือ เราไม่ได้กินไรนอกจากน้ำเกลือมา6วันเต็มๆ
ตอนที่กระเพาะมันไม่ทำงานมันก็ไม่รู้สึกหิวนะคะ แต่พอร่างกายมันเริ่มกลับมาทำงานเนี่ย โอ๊ยเห็นอะไรก็อยากกินไปหมดทรมานสุดๆคะ
แต่เราก็ไม่กล้ากินมากนะ กลัวท้องอืดแล้วจะต้องกลับไปใส่สายยางดูดอาหารอีก5555 และพอเริ่มมีแรงก็เริ่มถามคุณหมอค่ะว่าที่หนูเป็นมันคืออะไรทำไมมันถึงเกิดได้
คุณหมอบอกว่าพังผืดรัดลำไส้เกิดการคนที่เคยผ่าตัดช่องท้องมาก่อน จะเกิดเนื้อเยื่อขึ้นมารักษาแผลที่โดนผ่าไปนั้นก็คือพังผืดค่ะ
คุณหมอยังบอกอีกว่า จริงๆมันคงเกิดมานานแล้วละคงไม่ได้พึ่งเกิดแต่ว่าพอเรามีน้องมดลูกมันก็ใหญ่ขึ้นทำให้ อาการของโรคมันแสดงออกมา
และยิ่งผ่าตัดช่องท้องมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเกิดพังผืดมากเท่านั้นแต่การเกิดพังผืดนี้ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนด้วยบางคนมี บางคนพังผืดก็ไม่สร้าง (ของหนูนิเรียกว่าซวยใช่ไหมค่ะหมอ)
วันศุกร์หมอให้ลองกินอาหารอ่อนค่ะ คือรู้สึกมีกำลังใจเยอะมากคือแบบเราพัฒนาแล้ว และคุณหมอก็มาแกะแผลออกให้ พอเห็นแค่นั้นละคะ
คุณหมอค่ะคุณหมอใช้แม็กเย็บพุงหนูเหรอค่ะ5555555 เรานับแม็กที่หมอแงะออกมาทั้งหมด12ตัวค่ะ คือเยอะมาก และคุณหมอก็อนุญาติให้กลับบ้านได้
เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากค่ะ ลูกก็ตัวใหญ่ขึ้นทุกวันๆ เราดีใจมากนะคะที่เค้า ยังอยู่และสู้ไปกับเรา รักเค้ามากๆค่ะ วันที่เรารู้สึกถึงการขยับของเค้าที่อยู่ในท้องเราดีใจจนน้ำตาไหลเลยค่ะ
ตอนนั้นลูกเราอายุครรภ์ได้21สัปดาห์แล้วค่ะ ท้องเริ่มออกน้องดิ้นให้เรารู้สึกและไปซาวมาน้องเป็นเด็กผู้หญิงโหยชีวิต สุขสุดๆ....
หลายคนอาจจะคิดว่าเราคงไม่เป็นอะไรแล้ว.....แต่ไม่ใช่เลยค่ะ3เดือนหลังจากผ่าตัดครั้งแรกมันก็ลับมาอีกเหมือนหนังที่ฉายซ้ำ
เราเริ่มปวดท้องอีกรอบค่ะตอนตี3 แต่ตอนนั้นแอบไม่อยากเชื่อว่าจะกลับมาอีกแล้วจริงๆเหรอ ไม่ม๊าง!!! 9โมงไปหาหมอทางเดินกะเพาะอาหารค่ะแต่ไม่ได้เจอคุณหมอคนเดิม
หมอบอกมันไม่น่าจะกลับมาเร็วขนาดนั้นหรอกอาจจะเป็นกรดไหลย้อนคนท้องเป็นเยอะ อะกรดไหลย้อนก็ย้อนวะ ยังคงอยากจะคิดในแง่ดี
แต่ตอนนั้นรู้สึกลึกๆนะคะว่ามันแปลกเพราะไม่อยากกินข้าว กินได้แต่น้ำ พอเริ่มตกเย็นกินไรไม่ได้เลยค่ะเริ่มอ้วกละไม่ตดไม่ถ่าย คิดในใจละ เอ้าละโว้ย
ตัดสินใจไปหาหมอแผนกศัลยกรรมที่เป็นคนผ่าพังผืดรอบแรกให้แล้วค่ะ แต่คุณหมอออกเวรไปแล้วเหลือแต่คุณหมอหน้าใสอีกคนแต่ไม่ต้องห่วง
เพราะคุณหมอหน้าใสต้องประสารงานกับคุณหมอเจ้าของไข้ให้ แล้วสักพักคุณหมอก็มาบอกงั้นเอ็กเรย์กัน แต่รอบนี้ใช้แผ่นคาร์บอร์นไม่ได้แล้วค่ะ
ท้องใหญ่ยังไงก็โดน ถึงกับเครียดเลยคะ ถ้าใช้ไม่ได้ลูกเราจะเป็นอะไรไหมจะโดนรังสีไหม เค้าจะไหวหรือป่าว
ตัดสินใจให้พยาบาลโทรถามหมอเด็กว่าเอ็กเรย์แล้วลูกเราจะเป็นอะไรไหม หมอบอกไม่ต้องรอเอ็กเรย์ไปเลย ยังไงแม่ต้องมาก่อน คือยังไงเราก็ห่วงลูกอยู่ดีค่ะ
แต่หลังจากเอ็กเรย์แล้วรอผล สิ่งทีร่างกายเราแสดงออกคือ สั่นค่ะไม่ได้หนาวเลยนะคะตอนนั้นเหงื่อออกทั่งตัวเลยค่ะ ถามว่าสั่นขนาดไหนยิ่งเวลาผ่านไป
เราเริ่มสั่นแรงค่ะ นึกภาพคนทรงมีองค์มาลงนะค่ะแบบนั้นเลย แล้วหมอหน้าใสก็บอกสิ่งที่ไม่อยากได้ยินเลยค่ะ เรากลับมาเป็นพังผืดรัดลำไส้อีกแล้ว (นี้หรือชีวิต!!)
หมอรีบส่งขึ้นห้องเลยค่ะ แล้วเอาไอ้สายยางนรกมาใส่ในจมูกเราเช่นเดิมแต่ไม่หายปวดค่ะสั่นหนักกว่าเดิม เห็นหน้าพยาบาลแบบซีดเลยตอนเห็นเราสั่น
พอปวดท้องบีบทีร่างกายก็สั่นที จนในที่สุดตี3คุณหมอเจ้าของไข้ก็เข้ามาจับมือแล้วถามว่าไงไหวไหม หมอไม่อยากผ่าเลย
แต่ถ้าไม่ไหวก็ผ่านะก็ที่จะแย่กว่านี้ ตอนนั้นผ่าก็ผ่าค่ะไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว มันยิ่งกว่ารอบที่แล้วอีกค่ะครั้งนี้สุดแสนจะทรมาน สงสารลูก สงสารสามี สงสารพ่อแม่
พอเข้าห้องผ่าตัด วิสัญีแพทย์เค้าจะถามประวัติเรา คือตอนนั้นบอกได้แต่วาหมอหนูไม่ไหวแล้ว ปวดท้อง ปวดท้อง ไม่ไหวแล้ว จนพยาบาลต้องวิ่งเอาที่รัดมารัดขา
แล้ววิสัญีแพทยก็บอกว่ารู้แล้วใช่ไหมค่ะว่าการผ่าตัดครั้งนี้น้องมีความเสี่ยงจะแท้งด้วย.......โหยคุณขาเราได้ยินแค่นั้นนะน้ำตาไหลเลย
เราได้เห็นลูกร่างกายเค้าแขนขาครบแล้วเค้าดิ้นในตัวเรา เราคงทำใจไม่ได้จริงๆที่จะต้องเสียเค้าไป ได้แต่นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ปกป้องคุ้มครองลูกของเรา
พูดกับลูกกลางห้องผ่าตัดว่าหนูโตมาขนาดนี้แล้วสู้ไปกับแม่นะลูก อย่าทิ้งแม่ไปนะลูก อยู่กับแม่นะ....แล้วเราก็หลับไปเพราะยาสลบ
พอฟื้นขึ้นมาก็ถามหมอว่าลูกหนูยังอยู่ไหมหมอ.....พอหมอบอกว่าอยู่เราก็หลับได้ลง พอกลับมาถึงห้องพยาบาลมาบอกว่าตื่นแล้วก็หายใจลึกๆนะ
เพราะกลัวเกิดโรคแทรกซ้อน(ปอดแฟบ) นี้แค่พังผืดมันรัดลำไส้ก็แย่ละยังต้องมาเสี่ยงปอดแฟบอีกเหรอเนี่ย -0- วันแรกเราเดินไม่ไหวจริงๆค่ะนอนทั้งวัน
พอวันที่2เราขอถอดสายฉี่แล้วลุกเดินเลยกลัวพังผืดกลับมาอีก ส่วนสายจมูกนรกแตกเราอดทนค่ะใส่ไม่งอแงขอถอดก่อน ที่ใส่อยู่ตอนนั้นเป็นสายใหญ่ค่ะ
อดทนมาก ถามหมอว่าหมอคะมันจะกลับมาอีกไหมและทำไมมันกลับมาเร็วจัง พึงจะ3เดือนหน่อยๆเองนะหมอ
หมอบอกว่า"พอมดลูกขยายตัวมันเลยไปดันไส้ให้ขึ้นมาข้างบนและพื้นที่ในท้องก็จะน้อยลงทำให้ไส้มันไปติดกันมากขึ้น"โอยชีวิตไหมมันระทึกขนาดนี้ฟร่ะ!!
หมอยังบอกต่ออีกว่า"อย่าคิดมากมันก็เหมือนระเบิดเวลานะไม้รู้อาการจะกำเริบอีกเมื่อไหร่นะ เอาเป็นว่าทำใจให้สบายถ้าปวดท้องก็รีบกลับมาหาหมออดทนหน่อยถ้าคลอดน้องแล้วมดลูกเล็กลงอะไรๆน่าจะดีขึ้น"
หลังจากนั้นเราก็นอนโรงบาลและผ่านขั้นตอนมาเหมือนการผ่าครั้งแรกเลยค่ะ แต่ระหว่างอยู่โรงบาลเราพยายามเดินให้เยอะขึ้นนานขึ้น.....อยากหายเร็วๆ
อยู่โรงบาลได้เกือบ8วันก็ได้ออกจากโรงบาลค่ะ.... พอกลับมาถึงบ้านเราพยายามเดินเพื่อขยับลำไส้ให้มากขึ้นแทบจะทุกๆช.ม. เดินนานตั้งแต่ 30นาทีจนถึง1ช.ม
ออกจากโรงบาลได้2อาทิตย์กว่าแล้วค่ะจนวันที่4มิถุนายนที่ผ่านมาระเบิดลูกนี้มันกลับมาเดินอีกแล้วแต่ทีนี้รู้ตัวเร็วรีบไปโรงบาลแล้วไปสอดสายจมูกอันคุ้นเคย
ไม่อยากรู้จักมันแต่คงต้องทำความคุ้นเคยจนกว่าน้องจะคลอดจะสู้ต่อไปค่ะถึงจะต้องทรมานอยากให้ลูกปลอดภัย.....และอยากให้เค้ารู้ว่าแม่คนนี้รักเค้ามากๆค่ะ
สุดท้ายอยากรู้เหมือนกันว่าเราเป็นคนเดียวหรือป่าวหรือยังมีคนที่เป็นแบบเราอยู่ด้วย...ขอบคุณทุกๆคนมากๆนะค่ะ!!~><