จม...

มาแล้วค่ะ!! บอกเลยว่ารีบมาก5555
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนะคะ
วันนี้มายาวๆไปเลยยยย ขึ้นตอนแรกของบทสองแล้ว~
ถ้าแต่งงงก็ขอโทษด้วยนะคะ TwT ช่วยติชมด้วยค่ะ

ช่วยอ่านตรงนี้ก่อนนิดนึงนะคะ
-นี่เป็นนิยายค่ะ อ่านตอนแรกๆก่อนจะได้รู้เรื่องนะคะ
    บทที่หนึ่ง
     ตอนที่หนึ่ง http://pantip.com/topic/33756193
     ตอนที่สอง http://pantip.com/topic/33758240
     ตอนที่สาม http://pantip.com/topic/33764421
     ตอนที่สี่ http://pantip.com/topic/33773700 (จบบทหนึ่ง)

-มีหลายตอนแน่นอนค่ะ ยังไม่จบง่ายๆ แต่จะแบ่งเป็นบทๆ กระทู้นี้คือตอนแรกของบทที่สองค่ะ

-ต่อจากนี้เรื่องจะหักมุมไปอีกหลายทีมากค่ะ ถ้าใครไม่ชอบเรื่องที่หักมุมก็ขอเตือนไว้ก่อนเนอะ -_-;

-ยังไม่ได้ยืนยันสมาชิกขอตั้งเป็นกระทู้คำถามนะคะ ขอโทษด้วยค่ะ

-ตอนต่อขอทิ้งยาวไปอีกซักพักนะคะ T-T

ยังไงก็ขอขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านและให้การสนับสนุนนะคะ
ช่วยติชมต่อไปด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวใจ

∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵

     “อิ้ม! ลื้อลงมากินข้าวเดี๋ยวนี้เลยนะ! เห็นเฮียลื้อมั้ยเนี่ยอีลงมาตั้งแต่หกโมง นี่จะหกโมงครึ่งอยู่แล้ว ลื้อมัวทำอะไรอยู่หา?” เสียงพูดไทยปนสำเนียงจีนของผู้หญิงคนนึงดังขึ้นมาตั้งแต่เช้า ทำเอาชายหนุ่มลูกชายคนกลางของจ้าของเสียงนั้นวิ่งลงมาด้านล่างแทบไม่ทัน “ลื้อเนี่ย ช้าตลอดเลย ดูสิกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำเอาคนอื่นเค้าสายกันไปหมด” หญิงคนเดิมยังคงบ่นไปเรื่อยๆไม่มีท่าทีจะหยุด
     “อะไรอ่ะม๊า ไอลี่ตอนนี้มันยังไม่อาบน้ำเลย ด่ามันมั่งดิ” ชายหนุ่มนั่งลงตรงมุมหนึ่งของโต๊ะกินข้าว กระแทกโทรศัพท์ลงบนโต๊ะแสดงความไม่พอใจแล้วเถียงกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
     “นี่ถ้ามันพังอั๊วไม่ซื้อให้ใหม่แล้วนะ ของดีๆแพงๆหัดใช้ให้ระวังหน่อย” คนเป็นแม่หันมาเอ็ดด้วยความโมโห
     “อะไรม๊าซื้อให้ตอนไหน ไอนี่มันของเหลือมาจากไอลี่ต่างหาก ของดีตรงไหน ใช้จนโทรมหมดแล้วค่อยมายกให้เนี่ย” ฝ่ายลูกชายยังคงเถียงอย่างไม่ลดละความพยายาม
     “ไม่ต้องพูดมาก ลื้อน่ะรีบๆกินไปเลย วันนี้เดี๋ยวป๊าเค้าจะไปส่งไอลี่ที่โรงเรียน ไม่ต้องรีบหรอก” อีกฝ่ายดูเหมือนจะเข้าข้างลูกสาวคนเล็กเสียมากกว่า
     “โห่ ไม่ยุติธรรมเลย อยู่โรงเรียนเดียวกันแท้ๆ” อิ้มบ่นเสียงอุบอิบ แต่ในเมื่อรู้ว่าเถียงไปยังไงลูกชายคนกลางอย่างเขาก็คงไม่มีวันชนะลูกสาวคนเล็กคนโปรดของพ่อกับแม่ได้ เขาจึงยอมที่จะนั่งกินข้าวเช้าไปอย่างเงียบๆ
     เนื่องจากวันนี้เป็นวันศุกร์ อิ้มจึงไม่มีซ้อมกับวงดุริยางค์ตอนเช้า ในตอนแรก เขาดีใจที่จะได้ตื่นสายขึ้นอีกครึ่งชั่วโมง แต่ในตอนนี้เขาดันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองคิดผิด เพราะทุกทีที่ตื่นสายกว่าปกติ เขาก็มักจะถูกแม่บ่นให้รีบออกจากบ้านเสมอ แม้ว่าเขาจะไม่มีความจำเป็ฯที่จะต้องรีบเลยก็ตาม
     ครอบครัวของอิ้มเป็นครอบครัวเชื้อสายจีนธรรมดาๆที่หาได้ทั่วๆไปในประเทศไทยครอบครัวหนึ่ง พ่อของอิ้มเป็นเจ้าของกิจการโรงงาน เขาทำรายได้ได้ค่อนข้างมากทีเดียวแต่ที่บ้านของอิ้มก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่อย่างธรรมดา โดยที่อิ้มสรุปเอาเองว่าเป็นเพราะความงกของแม่ อิ้มมีพี่น้องทั้งหมดสามคน แต่เขาก็มันจะรู้สึกแย่กับพี่น้องของตัวเองอยู่เสมอ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะถูกเปรียบเทียบกับพี่ชายคนโตที่ชื่อ‘หมิง’ อยู่บ่อยๆ ทั้งที่จริงๆแล้วอิ้มเป็นคนเรียนเก่ง แต่พ่อกับแม่ก็มักจะว่าอิ้มว่าเรียนไม่ได้เรื่องอยู่ตลอด แถมยังจะเอาอิ้มที่มุ่งมั่นในการเล่นดนตรีไปเทียบกับหมิงที่สอบติดคณะแพทย์จุฬาฯอีก
     อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้อิ้มเกลียดการเกิดมาเป็นลูกคนกลางก็คือน้องสาว ‘ลี่’ เธอเป็นลูกคนเล็กของบ้าน และแน่นอนว่าเธอถูกพ่อแม่ประคบประหงมเหมือนไข่ในหิน ของใช้ทุกอย่างของลี่ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ หรือเสื้อผ้า ของทั้งหมดก็เป็นของดีๆแพงๆทั้งนั้น และกรรมก็คงจะตกมาเป็นของอิ้ม ที่มักจะได้ใช้แต่ของมือสองจากพี่น้องมาตั้งแต่จำความได้
     แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานั่น ก็ไม่ใช่อุปสรรคในการใช้ชีวิตอันเปล่งประกายของอิ้มเลยแม้แต่น้อย
     อิ้มเป็นคนอัธยาศัยดี มีเพื่อนมากมายจนนับได้ไม่หมด เขาได้เล่นอยู่ในวงดุริยางค์ รู้จักรุ่นพี่รุ่นน้องเกือบทั้งโรงเรียน อีกทั้งยังหน้าตาดีในระดับที่ถูกจัดให้เป็นเดือนของโรงเรียนเลยก็ว่าได้ และสิ่งที่ผู้ชายทุกคนอิจฉาเขามากที่สุด ก็คงจะเป็นการที่เขาได้เป็นแฟนกับเชียร์ลีดเดอร์สาวที่สวยที่สุดของสีฟ้า ‘เมย์’ อย่างแน่นอน
     “เอ้า กินเสร็จก็รีบๆไปได้แล้ว” แม่พูดไล่อิ้มอีกรอบ ทั้งๆวันนี้อิ้มที่ต้องนั่งรถเมล์ไปเรียนเองไม่ได้รีบเลยสักนิด
     “เฮ่อ!” อิ้มถอนหายใจแรงๆใส่แม่ แล้วเดินกระแทกเท้าออกจากบ้านไปอย่างหัวเสีย นึกโมโหแม่ที่ไม่ไล่พี่ชายกับน้องสาวที่ยังคงเอ้อระเหยอยู่ในบ้านไปบ้าง
     อิ้มเดินกระแทกเท้าปึงปังมาตลอดทาง จนกระทั่งเดินมาถึงหน้าปากซอย
     “อะไรมึ_ หน้าบูดแต่เช้าเลยนะ” เสียงของชายหนุ่มคนนึงทักอิ้มทันทีที่อิ้มเดินมาถงป้ายรถเมล์
     “เปล๊า” อิ้มพูดเสียงสูงตอบเพื่อนสนิทของตน “แล้วพี่เมย์อ่ะ” อิ้มถามถึงพี่สาวของอีกฝ่ายก่อนที่จะทักทายกันเสียอีก
     “วันนี้ซ้อมเชียร์” อีกฝ่ายตอบกลับมาเรียบๆแล้วก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ต่อไป
     ทั้งสองคนยืนรอรถเมล์อยู่ข้างๆกันอย่างเงียบๆ อิ้มได้แต่ยืนมองเพื่อนสนิทของตนอยู่นิ่งๆ สงสัยว่าเขากำลังคุยกับใคร แต่อิ้มก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป เพราะไม่ว่ากี่ครั้งที่ถาม ฝ่ายนั้นก็ไม่เคยที่จะยอมบอกเลยสักครั้ง จนตอนนี้อิ้มล้มเลิกความพยายามที่จะค้นหาว่าใครคือคนที่เพื่อนสนิทของตนมักจะคุยด้วยซะแล้ว
     “เอ้า เลิกคุยแล้วหรอมึ_” อิ้มถามตอนที่เห็นว่าอีกฝ่ายปิดหน้าจอโทรศัพท์ไปแล้ว
     “อืม” อีกฝ่ายยังคงตอบกลับมาด้วยคำตอบเรียบๆเช่นเคย
     แล้วรถก็มาถึงป้ายจนได้ ทั้งสองเดินขึ้นรถเมล์ไป อิ้มยังคงไม่ชินกับการยืนบนรถเมล์เท่าไหร่นัก เพราะปกติแล้วเขามักจะออกจากบ้านไปขึ้นรถเมล์ซึ่งคนไม่เยอะนักเพื่อไปซ้อมกับวงดุริยางค์ตั้งแต่เช้าอยู่แทบทุกวัน
     “เออ เนี่ย เมื่อวาน แม่กูบ่นเรื่องเกรดกูอีกละ” อิ้มเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา “ ไอ้ลี่มันได้เกรด2ตั้งสามตัว พ่อกูดันพามันไปเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นเพราะได้เกรด2ไม่ถึงสี่ตัวซะงั้น” ชายหนุ่มพูดไปถอนหายใจไปด้วยความเบื่อหน่าย
     “เออ พ่อแม่มึ_ฮาว่ะ” อีกฝ่ายเก็บโทรศัพท์ของตนลงกระเป๋ากางเกงแล้วหันมาหัวเราะ
     “ไม่ขำเว่ย กูอยากกินปลาดิบบ้าง กูได้เกรด3.5แค่ตัวเดียวทำอย่างกับกูไปฆ่าใครมาซะงั้น” อิ้มถอนหายใจอีกรอบ ทำเอาคู่สนทนาอดหัวเราะให้อีกทีไม่ได้    
     “อย่างน้อยแม่มึ_ก็เป็นห่วงมึ_นะเว่ย เค้ากลัวมึ_สอบติดหมอไม่ได้ไง” เพื่อนสนิทของอิ้มเลิกหัวเราะ
     “สอบติดหมอไรล่ะ กูไม่เอาหรอก” อิ้มบ่นกลับโดยที่ยังไม่ทันได้คิดอะไรถึงสิ่งที่อีกฝ่ายพึ่งจะพูดออกมา
     แล้วสักพักเค้าก็นึกขึ้นได้ถึงสถานการณ์ในครอบครัวของเพื่อนสนิทของตน
     “เออ.. แล้วแม่มึ_เป็นไงบ้างอะ” อิ้มถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง ทำเอาบรรยากาศการสนทนาเริ่มตึงเครียดขึ้นมานิดหน่อย
     “เฮ้อ..” อีกฝ่ายถอนหายใจยาว แล้วมองไปนอกหน้าต่างรถ “ก็เหมือนเดิม กูว่าเค้าคงยังกลัวกูอยู่ว่ะ” เขาตอบออกมาด้วยสีหน้านิ่งๆ เพราะรู้ดีว่าอิ้มถามด้วยความเป็นห่วง ไม่ได้มีเจตนาจะล้อเลียนเหมือนคนอื่นๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
     “เฮ้ย อย่าเครียดเว้ย อย่างน้อยตอนนี้มึ_ก็ไม่ได้เห็น’ไอนั่น'แล้วนี่นา กูว่าอีกสักพักเค้าก็ไม่กลัวมึ_แล้วแหละ” อิ้มตบบ่าเพื่อนไปสองสามทีพร้อมกับพูดให้กำลังใจ
     อิ้มเป็นแบบนี้เสมอ เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีและให้กำลังใจอีกฝ่ายได้ ไม่แปลกเลยที่อิ้มจะเข้าได้กับทุกๆคน
     “อืม แต่กูก็กลัวว่าจะกลับไปเห็นไอนั่นอีกว่ะ” อีกฝ่ายหันมามองแล้วยิ้มแห้งๆให้อิ้ม “ไม่แน่’ไอนั่น’มันอาจจะยืนอยู่ข้างๆมึ_แต่แค่กูไม่เห็นก็ได้นะ” ร่างสูงชายตามองไปที่พื้นที่ว่างเล็กๆข้างๆตัวอิ้ม
     “ห้ะ” อิ้มหันไปมองตามเพื่อน ในใจรู้ดีว่าเพื่อนสนิทของตนไม่ได้พูดเล่นอย่างแน่นอน “ไม่หรอกมั้ง มึ_มองไม่เห็นมันแล้วเพราะไอนั่นมันหายไปแล้วแน่ๆ” อิ้มหันกลับมาหาเพื่อนแล้วพยายามหัวเราะ
     “ไม่หรอก..” เพื่อนสนิทของอิ้มเหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่างต่อ แต่ก็หยุดพูดอย่างกระทันหันทันทีที่เห็นหน้าวิตกกังวลของอิ้ม
     อิ้มรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดว่า’ไอนั่น'อาจจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกครั้ง และก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายเลือกที่จะหยุดพูดเพราะกลัวว่าจะทำให้เขากลัวอีกด้วย
     “ไม่ว่ามึ_จะเห็นหรือไม่เห็น ยังไงมันก็ทำอะไรมึ_ไม่ได้หรอก” อิ้มพยายามฝืนยิ้มอีกครั้ง “ถ้ามันทำอะไรมึ_นะ บอกให้มันมาเคลียร์กับกูนี่” อิ้มพูดเล่นพร้อมกับหัวเราะอย่างร่าเริงราวกับบทสทนาที่ผ่านมาทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริงจังเลย
     อีกฝ่ายยิ้มให้อิ้ม รู้ดีว่าเพื่อนของตนหวังดีและพยายามไม่ให้ตนคิดมาก แล้วอิ้มก็เริ่มเปิดบทสนทนาบทใหม่ บ่นถึงครอบครัวที่จู้จี้จุกจิกของเขาไม่หยุด โดยที่ไม่รู้เลยว่าคู่สนทนาของตนกำลังแอบมองไปยังพื้นที่ว่างข้างๆนั่นอีกครั้ง พลางคิดในใจขณะที่ฟังอิ้มบ่นไปด้วยว่า

     ‘ถึงจะไม่เห็นก็เถอะ แต่ไอนั่นจะต้องยังคงยืนอยู่ตรงนั้นแน่ๆ'

.
.
.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่