บอกเล่าถึงเส้นทาง การลดน้ำหนัก วิถีสายกลาง 6 เดือน กับ 30 กิโลกรัม ที่หายไป และขอเป็นกำลังให้กับคนที่ต้องการลดน้ำหนักทุกคนครับ
เริ่มจากตรงนี้ครับ เดิมทีเดียว ผมมีน้ำหนักตัว 121.7 กก หรือ ประมาณ 122 กก
แหมๆ ยังมีการคำนวน ให้ด้วยว่าควรหนักเท่าไหร่ 5555 เครื่องชั่ง นน. หน้า เซเว่น
พยายามควบคุมการทานอาหาร ออกกำลังกายบ้างแต่ก็ยังไม่ลด
กระทั่งเมื่อช่วงปลายปี 2557 หน้าหนาว ผมเข้าอุปสมบท ในช่วงวันพ่อแห่งชาติ หรือ 5 ธันวาคม
บวชระหว่าง เดือน ธันวาคม 57 - เดือน กุมภาพันธ์ 58
ถวายเป็นพระราชกุศล แด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และเพื่อทดแทนพระคุณบิดา มารดา และผู้มีพระคุณ
ก่อนจะบวชก็ออกสำรวจเส้นทาง สายการบิณ นิ๊ดนึง ด้วยภาพเบื้องหลัง
และก็เข้าอุปสมบท พิธียาวนาน ด้วยน้ำหนัก 121.7 กก. เกือบลุกไม่ขึ้นเพราะการนั่งทับส้นเท้า ขาชามาก
เดิมที่ผมเป็นคนชอบดื่มเบียร์ สังสรรคยามเย็น เรียกว่าชีวิตชายโสดทั่วๆไป
ในตอนแรกผมคิดหนักมากเพราะตนเองอดข้าวเย็นไม่ได้ จะมีอาการสั่น หงุดหงิดเพราะความหิว
แต่การงดข้าวเย็นด่านแรกในการบวช ในวันแรกผ่านไปได้ด้วยดี เพราะกลัวจะบาป
การจำวัด ที่วัดจะให้นอน เสื่อผืน หมอนใบ ผ้าห่มหรือจีวร ไม่มีหมอนข้างหรือเบาะนุ่มๆ กว่าจะหลับได้นานเลยครับ ติดหมอนข้าง 555
ช่วงที่บวชอากาศหนาวมาก จีวรมีเปลี่ยน 3 ผืน เอาห่มหมดเลยครับ หนาวจัด ต้มน้ำร้อนจิบคลายหนาวตลอดๆ
รุ่งเช้า เบิกอรุณยามเช้า และออกบิณฑบาต ออกอาการเพลียเหมือนจะเป็นลม อุ้มบาตร ไปมีดาววิ๊งๆ
การห่มผ้าแบบห่มคลุม จะยังไม่สวยงาม เนื่องจากเป็นจีวรใหม่ จะลื่นและไม่ค่อยอยู่ตัว คือภาษาชาวบ้านคือยังครองจีวรไม่เป็นนั่นเอง
ขยับผ้าบาตรก็จะหลุด ขยับฝาบาตร ผ้าก็จะหลุด สุดๆครับ ถ้าหลุดต่อหน้าโยมละก็ คงต้องสวดแก้กันยาวละครับ
แทบไม่มองทาง หรือสิ่งต่างๆ รอบตัวเลย พยายามรีบเดิน และก็จนแล้วจนรอดก็ประครองกลับมาจนได้ ระยะทางเดินไปกลับ ประมาณ 5 กม
คนไม่เคยออกกำลังกายเดินไปกลับ 5 กม ลมแทบจับเลยครับวันแรก
ฉันเช้า และจากนั้นก็ฉันเพล ช่วงเย็นๆ ก็ไปกวาดลานวัด พระอาจารย์ที่ท่านบวชมาก่อนก็แนะนำว่า
ท่านมีแรงเท่าไหร่เอาออกมาใช้ให้หมดเถิด แล้วท่านจะหลับสบาย จะไม่มีทุกข์ร้อนอันใด
ผมก็เต็มที่เลยกับการกวาดใบกระท้อนตรงลานวัด เอาซะเกลี้ยง เหงื่ออกมากนัก
วันนี้ก็หลับสบายจริงดังท่านพระอาจารย์ ท่านบอก กระทั่งถึงเช้า วันนี้อาการหนักกว่าเมื่อวาน
เดินๆ ยิ่งเพลียยิ่งเหนื่อย แต่ผมโชคดีที่ เป็นช่วงหน้าหนาว อากาศที่หนาวเย็นในช่วงเช้าก่อนพระอาทิตย์จะแผดแสง
ช่วยให้ผมสามารถประครองตัวกลับมาวัดได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็เพลียมากนัก
เป็นอยู่เช่นนี้ ประมาณ 2 สัปดาห์ กว่าที่อาการเพลียนี้จะหายไป และสิ่งที่ตามมาคือความรู้สึกคล่องตัว
ผมเริ่มที่จะอ่านหนังสือธรรมะและสวดมนต์ได้เป็นเรื่องเป็นราว บุญก็เริ่มเกิด
ช่วงบวชก็ยังเรียนไปด้วย มีโอกาสเพื่อนๆ ร่วมห้องเรียนก็มาติวหนังสือที่วัด ด้วยสถานที่เอื้ออำนวย และอยู่ใกล้กับทุกๆ คน
แต่ก็แปลกอยู่บ้าง ทุกคนที่มาติวในวันนั้น ได้ A วิชานี้ทุกคน หรือท่านอาจารย์ ท่านมีความเมตา หรือทุกคนมีความตั้งแน่วแน่
หรือคนติว มีคนติว 2 คน คือในตอนนั้น โยมพี่หยอง และ ผม ช่วยกันติววิชานี้เป็นการสะสมบุญในช่วงบวชที่ดี
ช่วงปีใหม่ ระหว่างบวช ผมมีโอกาสเข้าร่วม บวชเนกขัมมะ กับทางวัด ต้องสวดมนต์แปล ตอนแรก ผมขำมาก แต่ก็ระงับซึ่งอารมณ์ไว้ได้
เพราะเป็นเรื่องแปลกมากสำหรับผม โดยเฉพาะท่อนที่ขึ้นว่า มาลาพวงดอกไม้ ต่อไปเรื่อยๆ
วันแรกก็ยังรู้สึกขำๆ แต่วันที่ 3 ผมเริ่มจับเอาเนื้อความของคำแปลมาคิดทำให้ได้เข้าใจถึงความลึ้กซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นลำดับ
เช่นขณะพิจารณาข้าว เดิมทีจะท่องเป็นภาษาบาลี พอสวดแปลแล้วเข้าใจทันที
ทำให้ในช่วงเวลาที่ฉันข้าวนั้น มีความรู้สึกว่าอยากปฏิบัติเช่นนั้น คือกินเพื่อให้ร่างกายนี้อยู่ได้เท่านั้น
จึงเริ่มฉันข้าว เพียงเพื่อรักษาร่างกายให้ดำรงอยู่ได้ เท่านั้น เพื่อที่จะได้ปฏิบัติธรรมต่อไป จุดเริ่มต้นนี้เองเป็นประกาย
การฉันข้าวยามเช้าและ เพล ก็เปลี่ยนเป็นการพิจารณาข้าว อย่างจริงจัง เริ่มสงบนิ่งขึ้นมองเข้าไปภายในจิตใจ
ค่อยๆ ปรับระดับความอยากของการรับประทานอาหาร กระทั่งบางครั้ง เย็นๆ จะมีอาการอ่อนเพลียบ้าง แต่จะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ
เพราะกระเพาะค่อย หดตัวลง คือกินนิดเดียวก็อิ่มแล้ว ไม่เหมือนแต่ก่อน และรู้สึกเดินเหินได้สะดวกมากขึ้น
ด้วยอาการอ่อนเพลีย จึงหันมาจิบน้ำปานะ คือน้ำเปล่าไม่มีกากใยอาหาร แต่ในที่นี้ชากับน้ำร้อน บางวันก็มี อิชิตันบ้าง
และเมื่อถึงเวลาก็ลาสิกขา
จากนั้นลองชั่งน้ำหนัก
จะมาเขียนต่อ กระทั่งจบนะครับ
ปิ๊ง 17 กก
อาหารคลีน
ฝ่าด่านทุเรียนอรหันต์
รักษาสุขภาพแต่ไม่ทำร้ายจิตใจ
นับแคลลอรี่
กำลังใจจากคนรอบข้าง
สายกลางแต่ละคนไม่เท่ากัน
กับตอนนี้ 86 กก
ลดน้ำหนัก วิถีสายกลาง 6 เดือน กับ 30 กิโลกรัม ที่หายไป ขอเป็นกำลังให้กับคนที่ต้องการลดน้ำหนักทุกคนครับ
เริ่มจากตรงนี้ครับ เดิมทีเดียว ผมมีน้ำหนักตัว 121.7 กก หรือ ประมาณ 122 กก
แหมๆ ยังมีการคำนวน ให้ด้วยว่าควรหนักเท่าไหร่ 5555 เครื่องชั่ง นน. หน้า เซเว่น
พยายามควบคุมการทานอาหาร ออกกำลังกายบ้างแต่ก็ยังไม่ลด
กระทั่งเมื่อช่วงปลายปี 2557 หน้าหนาว ผมเข้าอุปสมบท ในช่วงวันพ่อแห่งชาติ หรือ 5 ธันวาคม
บวชระหว่าง เดือน ธันวาคม 57 - เดือน กุมภาพันธ์ 58
ถวายเป็นพระราชกุศล แด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และเพื่อทดแทนพระคุณบิดา มารดา และผู้มีพระคุณ
ก่อนจะบวชก็ออกสำรวจเส้นทาง สายการบิณ นิ๊ดนึง ด้วยภาพเบื้องหลัง
และก็เข้าอุปสมบท พิธียาวนาน ด้วยน้ำหนัก 121.7 กก. เกือบลุกไม่ขึ้นเพราะการนั่งทับส้นเท้า ขาชามาก
เดิมที่ผมเป็นคนชอบดื่มเบียร์ สังสรรคยามเย็น เรียกว่าชีวิตชายโสดทั่วๆไป
ในตอนแรกผมคิดหนักมากเพราะตนเองอดข้าวเย็นไม่ได้ จะมีอาการสั่น หงุดหงิดเพราะความหิว
แต่การงดข้าวเย็นด่านแรกในการบวช ในวันแรกผ่านไปได้ด้วยดี เพราะกลัวจะบาป
การจำวัด ที่วัดจะให้นอน เสื่อผืน หมอนใบ ผ้าห่มหรือจีวร ไม่มีหมอนข้างหรือเบาะนุ่มๆ กว่าจะหลับได้นานเลยครับ ติดหมอนข้าง 555
ช่วงที่บวชอากาศหนาวมาก จีวรมีเปลี่ยน 3 ผืน เอาห่มหมดเลยครับ หนาวจัด ต้มน้ำร้อนจิบคลายหนาวตลอดๆ
รุ่งเช้า เบิกอรุณยามเช้า และออกบิณฑบาต ออกอาการเพลียเหมือนจะเป็นลม อุ้มบาตร ไปมีดาววิ๊งๆ
การห่มผ้าแบบห่มคลุม จะยังไม่สวยงาม เนื่องจากเป็นจีวรใหม่ จะลื่นและไม่ค่อยอยู่ตัว คือภาษาชาวบ้านคือยังครองจีวรไม่เป็นนั่นเอง
ขยับผ้าบาตรก็จะหลุด ขยับฝาบาตร ผ้าก็จะหลุด สุดๆครับ ถ้าหลุดต่อหน้าโยมละก็ คงต้องสวดแก้กันยาวละครับ
แทบไม่มองทาง หรือสิ่งต่างๆ รอบตัวเลย พยายามรีบเดิน และก็จนแล้วจนรอดก็ประครองกลับมาจนได้ ระยะทางเดินไปกลับ ประมาณ 5 กม
คนไม่เคยออกกำลังกายเดินไปกลับ 5 กม ลมแทบจับเลยครับวันแรก
ฉันเช้า และจากนั้นก็ฉันเพล ช่วงเย็นๆ ก็ไปกวาดลานวัด พระอาจารย์ที่ท่านบวชมาก่อนก็แนะนำว่า
ท่านมีแรงเท่าไหร่เอาออกมาใช้ให้หมดเถิด แล้วท่านจะหลับสบาย จะไม่มีทุกข์ร้อนอันใด
ผมก็เต็มที่เลยกับการกวาดใบกระท้อนตรงลานวัด เอาซะเกลี้ยง เหงื่ออกมากนัก
วันนี้ก็หลับสบายจริงดังท่านพระอาจารย์ ท่านบอก กระทั่งถึงเช้า วันนี้อาการหนักกว่าเมื่อวาน
เดินๆ ยิ่งเพลียยิ่งเหนื่อย แต่ผมโชคดีที่ เป็นช่วงหน้าหนาว อากาศที่หนาวเย็นในช่วงเช้าก่อนพระอาทิตย์จะแผดแสง
ช่วยให้ผมสามารถประครองตัวกลับมาวัดได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็เพลียมากนัก
เป็นอยู่เช่นนี้ ประมาณ 2 สัปดาห์ กว่าที่อาการเพลียนี้จะหายไป และสิ่งที่ตามมาคือความรู้สึกคล่องตัว
ผมเริ่มที่จะอ่านหนังสือธรรมะและสวดมนต์ได้เป็นเรื่องเป็นราว บุญก็เริ่มเกิด
ช่วงบวชก็ยังเรียนไปด้วย มีโอกาสเพื่อนๆ ร่วมห้องเรียนก็มาติวหนังสือที่วัด ด้วยสถานที่เอื้ออำนวย และอยู่ใกล้กับทุกๆ คน
แต่ก็แปลกอยู่บ้าง ทุกคนที่มาติวในวันนั้น ได้ A วิชานี้ทุกคน หรือท่านอาจารย์ ท่านมีความเมตา หรือทุกคนมีความตั้งแน่วแน่
หรือคนติว มีคนติว 2 คน คือในตอนนั้น โยมพี่หยอง และ ผม ช่วยกันติววิชานี้เป็นการสะสมบุญในช่วงบวชที่ดี
ช่วงปีใหม่ ระหว่างบวช ผมมีโอกาสเข้าร่วม บวชเนกขัมมะ กับทางวัด ต้องสวดมนต์แปล ตอนแรก ผมขำมาก แต่ก็ระงับซึ่งอารมณ์ไว้ได้
เพราะเป็นเรื่องแปลกมากสำหรับผม โดยเฉพาะท่อนที่ขึ้นว่า มาลาพวงดอกไม้ ต่อไปเรื่อยๆ
วันแรกก็ยังรู้สึกขำๆ แต่วันที่ 3 ผมเริ่มจับเอาเนื้อความของคำแปลมาคิดทำให้ได้เข้าใจถึงความลึ้กซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นลำดับ
เช่นขณะพิจารณาข้าว เดิมทีจะท่องเป็นภาษาบาลี พอสวดแปลแล้วเข้าใจทันที
ทำให้ในช่วงเวลาที่ฉันข้าวนั้น มีความรู้สึกว่าอยากปฏิบัติเช่นนั้น คือกินเพื่อให้ร่างกายนี้อยู่ได้เท่านั้น
จึงเริ่มฉันข้าว เพียงเพื่อรักษาร่างกายให้ดำรงอยู่ได้ เท่านั้น เพื่อที่จะได้ปฏิบัติธรรมต่อไป จุดเริ่มต้นนี้เองเป็นประกาย
การฉันข้าวยามเช้าและ เพล ก็เปลี่ยนเป็นการพิจารณาข้าว อย่างจริงจัง เริ่มสงบนิ่งขึ้นมองเข้าไปภายในจิตใจ
ค่อยๆ ปรับระดับความอยากของการรับประทานอาหาร กระทั่งบางครั้ง เย็นๆ จะมีอาการอ่อนเพลียบ้าง แต่จะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ
เพราะกระเพาะค่อย หดตัวลง คือกินนิดเดียวก็อิ่มแล้ว ไม่เหมือนแต่ก่อน และรู้สึกเดินเหินได้สะดวกมากขึ้น
ด้วยอาการอ่อนเพลีย จึงหันมาจิบน้ำปานะ คือน้ำเปล่าไม่มีกากใยอาหาร แต่ในที่นี้ชากับน้ำร้อน บางวันก็มี อิชิตันบ้าง
และเมื่อถึงเวลาก็ลาสิกขา
จากนั้นลองชั่งน้ำหนัก
จะมาเขียนต่อ กระทั่งจบนะครับ
ปิ๊ง 17 กก
อาหารคลีน
ฝ่าด่านทุเรียนอรหันต์
รักษาสุขภาพแต่ไม่ทำร้ายจิตใจ
นับแคลลอรี่
กำลังใจจากคนรอบข้าง
สายกลางแต่ละคนไม่เท่ากัน
กับตอนนี้ 86 กก