จอมเวทอมตะ ตอนที่ 11

กระทู้สนทนา
ตอนที่แ 11

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สิ่งมีชีวิตจากบรรพกาลเล็ดลอดผ่านกาลเวลาจนพบที่พำนักอันเหมาะสม มันแยกตัวเป็นเจ็ดร่าง แต่ละร่างมีพลังที่ทัดเทียมกัน เมื่อใดที่ร่างหนึ่งตาย พลังที่มีอยู่จะกลับไปกระจายสู่ร่างที่เหลือทั้งหมด และเมื่อเหลือเพียงหนึ่งจึงจะแยกตัวได้อีกครั้ง

    และหนึ่งในชิ้นส่วนทั้งเจ็ดได้ร่วงลงสู่ป่าดำของเหล่ามังกรเจ้าถิ่น มันก่อนกำเนิดร่างเป็นมังกรที่มีขนสีน้ำตาลส้มปกคลุมทั่วร่าง เมื่อร่างนั้นสมบูรณ์จึงได้รับชื่อเรียก กุลา!

    เจ้ามังกรสีส้มเติบโตขึ้นในช่วงโรยราของเผ่ามังกรในป่าใหญ่ เหลือมังกรผู้เฒ่าไม่กี่ตัวที่เลี้ยงดูมันขึ้นมาพร้อมบอกเล่าเรื่องเก่าแก่ในยุคที่ป่าเต็มไปด้วยมังกร กุลาจึงเต็มไปด้วยความใฝ่ฝัน ว่ามันจะได้เห็นเหล่ามังกรเก่าแก่มากมายในป่าใหญ่แห่งนี้อีกครั้ง

    เมื่อมังกรผู้เฒ่าตัวสุดท้ายสิ้นลม กุลาจึงหาทางทำอะไรสักอย่าง ด้วยความจำเก่าแก่ในหัวของมันจึงสามารถดึงพลังโบราณออกมาได้ พลังแห่งการสรรค์สร้างชีวิตขึ้นมา ทว่าพลังนั้นต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม นั่นคือชีวิตของสัตว์อื่นโดยรอบ!

    วิธีรวบรัดในการดูดพลังของสิ่งอื่นคือการกิน มันจึงเริ่มจากสัตว์ชนิดต่างๆที่อยู่ในป่าดำ ต่อมาก็มนุษย์ที่เดินทางพลัดหลงเข้ามาในเขตโดยไม่รู้ตัว มันรู้สึกผิดที่ต้องกลืนกินสัตว์อื่นเพื่อสร้างเผ่ามังกรอีกครั้ง ทว่ามันต้องทำ และจะทำต่อไปเรื่อยๆจนกว่าพลังที่สะสมไว้จะเพียงพอแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ต้องการ

    จนกระทั่งมันพบกับสิ่งที่น่ากลัวจับหัวใจ แม้เป็นพลังเวทมหาศาลหากมันน่าสยดสยองเหมือนอสุรกายจากขุมนรก สิ่งที่น่ากลัวนั้นอยู่นิ่งเฉยปล่อยให้คนอีกผู้เข้ามาต่อกรอย่างดุเดือด คู่ต่อสู้แม้จะไม่ทรงพลังเท่าสิ่งที่มันกลัวแต่สิ่งที่น่าสนใจคือความเป็นอมตะ! มันสามารถดูดพลังงานได้ชั่วนิรันดรจากร่างอมตะนั้น

    “ว่าแล้วเจ้าจมูกหมูนั่นกลัวข้าเหมือนกัน อย่าให้เกล็ดนั่นโดนตัวนะเซ็ทส์ มันเป็นตัวดูดพลัง” ท่านผู้นั้นส่งเสียงให้กำลังใจมาจากแนวหลัง โชคดีที่ฝ่าบาทเกลี้ยกล่อมไม่ให้นางติดตามมาได้

    “ความจริงข้าอยากคุยก่อนขอรับ!” เซ็ทส์ตะโกนขณะหลบหลีกกรงเล็บและเกล็ดที่มันสะบัดออกมาจากแผงปีก “เผื่อจะเป็นแบบอินวิเดีย”

    “ข้าคิดว่าอธิบายอย่างแจ่มแจ้งแล้วนะ เจ้าตัวนี้คิดจะทำลายล้างโดยไม่มีแบบแผนผิดกับอินวิเดีย” ท่านผู้นั้นกอดอก “ดังนั้นจัดการให้หมอบ”

    “รับบัญชา”

    ในทันใดพิณแห่งน้ำก็เปลี่ยนร่างเป็นโล่ขนาดใหญ่ สิ่งใดมากระทบก็จะถูกสะท้อนกลับสู่ทิศทางเดิมเป็นอาวุธป้องกันที่สะท้อนการโจมตีได้ มังกรใหญ่กรีดร้องเมื่อเกล็ดนับสิบพุ่งกลับไปปักตามตัวมันเอง เซ็ทส์พุ่งเข้าประชิดคิดเปลี่ยนอาวุธเป็นดาบธาตุดิน ทว่ามังกรทำสิ่งที่แปลกไป มันคำรามกึกก้องอ้าปากดูดอากาศและสรรพสิ่งรอบตัวเข้าปากของมันอย่างละโมบ ดุจเครื่องดูดฝุ่นในสมัยนี้จนเซ็ทส์ต้องปักโล่ติดพื้นดินต้านแรงดูดเอาไว้

    “ต้องการคำแนะนำไหม” ท่านผู้นั้นพูดยิ้มๆไม่สะเทือนต่อแรงดูดแม้แต่น้อย

    เซ็ทส์คิดออกก่อนท่านผู้นั้นจะทักเสียอีก ก่อนโล่แห่งธาตุทองจะเปลี่ยนเป็นดาบแห่งธาตุดินก็เกิดสิ่งผิดปกติอีกครั้ง ลมดูดหายวับ มังกรตัวส้มสั่นกระตุกแล้วล้มพับลง ท้องฟ้าที่บัดนี้เปิดโล่งมองเห็นลวดลายสัญลักษณ์แปลกตา กลุ่มปิศาจกลุ่มเดิมที่รู้จักกันกับท่านผู้นั้นอีกแล้ว

    “แหมๆๆ ใจเราตรงกันจริงนิอิกริด” ชายในผ้าคลุมสกปรกค่อยๆลอยตัวลงสู่พื้นดินข้างมังกรสีส้มที่นอนอ่อนระทวย “ข้าอยากได้เจ้าตัวนี้ไปประดับกองทัพอยู่พอดี”

    “ยิ่งเจอเจ้าข้ายิ่งเหม็นเบื่อ” ท่านผู้นั้นเบ้ปาก “หลบไปเซ็ทส์ ไม่รู้ว่างวดนี้จะมีแผนอะไรอีก แต่คงอีหรอบเดิมกระมัง”

    “ไม่หรอก คราวนี้ข้ามีเป้าหมายใหม่เพิ่มขึ้นจากเดิม”

    ในพริบตาที่เซ็ทส์ลดการป้องกันตัวก็ถูกหนวดรยางค์จากชายในผ้าคลุมรัดพันเหมือนต้องการจับตัว ที่เท้าของท่านผู้นั้นปรากฏวงไสยเวทย์แดงฉานเป็นรูปดาวห้าแฉก ชายในผ้าคลุมคิดจัดการท่านผู้นั้นแน่ๆ

    “รู้ไหมว่าข้าอยากได้ร่างอมตะนี้แค่ไหน” ชายในผ้าคลุมหัวเราะอย่างผู้เหนือกว่า

    ท่านผู้นั้นขมวดคิ้วไม่ได้ออกอาการกังวลเกินเหตุเลย

    ”ข้าสงสัยมานานแล้วว่าจุดอ่อนของท่านคือสิ่งใดอิกริด วันนี้ข้าจะได้ลองทดสอบว่าข้าคิดถูกหรือไม่” ชายในผ้าคลุมสกปรกอวดโอ่ ท่านผู้นั้นทำหน้าเหนื่อยหน่ายอย่างไม่ปิดบังกลางวงไสยเวทย์ “ยืนนิ่งๆตรงนั้นอิกริด แล้วท่านจะรู้ว่าเข้าตาจนสะกดอย่างไร หรืออยากให้บริวารของท่านคนนี้ถูกยึดร่างก็ลองดู”

    ท่านผู้นั้นเอียงคอเล็กน้อยแล้วลองดีดนิ้วเหมือนพยายามใช้เวทมนตร์แต่ไม่สำเร็จ เป็นไม่กี่ครั้งที่เซ็ทส์เห็นท่านผู้นั้นทำหน้าประหลาดใจจริงๆ และนี่เป็นหนึ่งในนั้น

    “วงไสยเวทป้องกันการใช้เวทมนตร์ ฉลาดนี่” ท่านผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบได้อย่างทองไม่รู้ร้อน

    “ในเมื่อพลังของท่านคือเวทมนตร์ข้าก็จะตัดมันเสีย เท่านี้ท่านก็ไร้แขนขา” ชายในผ้าคลุมสำทับ “หากท่านพยายามหนีออกจากเขตนั่นข้าก็จะฉวยโอกาสจับบริวารและมังกรตัวนี้ไป ตอนนี้ท่านมีหนทางเดียวคือรับการโจมตีจากข้าโดยไร้การป้องกัน ร่างไร้พลังเวทอย่างนั้นจะทนได้สักเท่าไรกันเชียว”

    สรุปการปรากฏตัวคราวนี้ของชายในผ้าคลุมสกปรกมีสามอย่าง ยึดร่างอมตะของเซ็ทส์ จับมังกรหนึ่งในเจ็ดตัว และกำจัดนักรบเทพอิกริดนั่นเอง!

    แทนที่ท่านผู้นั้นจะหวาดกลัวหรือครุ่นคิด เขากลับหัวเราะร่วนเสียเต็มที่ราวกับกำลังดูละครตลกอยู่อย่างนั้น ไม่ได้หัวเราะด้วยความบ้าคลั่งแต่หัวเราะด้วยความสนุก

    “คิดว่าแค่นี้จะหยุดข้าได้หรือ ข้าคือผู้บรรลุศาสตร์นับร้อยพันแห่งมนตราโบราณ เจ้าฉลาด แต่ยังฉลาดไม่สุด”

    ไม่ทันขาดคำทั่วร่างของท่านผู้นั้นก็เกิดเปลวไฟขึ้นปกคลุมราวชุดคลุมแห่งไฟ ท่านผู้นั้นดีดนิ้วหนึ่งครั้ง แส้ไฟหวดออกมาในเสี้ยวพริบตาตัดเส้นสายที่รัดพันเซ็ทส์ออกจนหมด ชายในผ้าคลุมชะงักอย่างไม่คาดคิด

    “พลังของข้านั้นแสนสะดวก จะเรียกใช้เมื่อไรก็ได้ไม่มีข้อจำกัด ไม่มีหรอกจุดอ่อนพรรค์นั้นน่ะ!” ท่านผู้นั้นยิ้มกริ่ม

    เซ็ทส์สาบานว่าเห็นเงาบางสิ่งซ่อนอยู่หลังท่านผู้นั้น เบาบางแต่มีตัวตน น่าจะเป็นสิ่งนั้นมากกว่าที่คอยควบคุมไฟเพราะท่านผู้นั้นไม่น่าใช้เวทมนตร์ได้

    “คราวนี้อยากพิสูจน์ด้วยตัวเองไหมว่าไฟนี้เป็นของข้าจริงหรือเปล่า ข้าทำได้มากกว่าย่างสดเจ้านะ ลองดูไหม” ท่านผู้นั้นส่งยิ้มเหี้ยมเกรียมมาให้พร้อมแววตาของนักฆ่า ทำให้ชายในผ้าคลุมเป็นฝ่ายล่าถอยหายไปในอากาศทิ้งไว้แค่เสียงสบถอย่างเจ็บแสบ

    “โชคดีที่มันกลัวข้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว” เมื่อศัตรูหายหัวท่านผู้นั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ไม่อย่างนั้นงานเข้าแน่”

    “แล้วนั่นไม่ใช่ไฟของฝ่าบาทหรือขอรับ”

    “ก็ไม่ใช่น่ะสิ...”

    แล้วก็บทสนทนาก็ขาดช่วง เพราะเงาราหูขนาดยักษ์เคลื่อนตัวครอบคลุมทั้งคู่เอาไว้แล้วงับดังกึ้ง! เจ้ามังกรคงอาศัยจังหวะที่พวกเขาลดอาวุธขยอกกลืนพวกเขาลงท้อง เซ็ทส์ตกใจแทบขวัญหนีดีฝ่อเพราะอยู่ดีๆก็ถูกห่อหุ้มด้วยถุงเนื้อและน้ำเมือกพร้อมกับท่านผู้นั้น

    “พลังของเจ้าจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับข้า ไม่ต้องกังวล”

    เสียงพูดสั่นสะเทือนไปทั่วร่าง นั่นคือเสียงของเจ้ามังกรที่ย่ามใจหลังจากได้กลืนเซ็ทส์กับท่านผู้นั้นลงท้องไปแล้ว เพื่อเป็นพลังฟื้นฟูเผ่ามังกร

    “ดีใจเร็วไปนะ” ท่านผู้นั้นกล่าวเสียงเย็น

    เหมือนมีลมกรรโชกใหญ่เกิดขึ้น ท้องและอวัยวะภายในของมังกรถูกผ่าทะลุเหมือนปลาถูกกรีดท้อง ปล่อยให้เหยื่อสองคนก้าวออกมาในสภาพเมือกเลือดเต็มตัว ส่วนกุลานั้นนอนนิ่งอย่างอ่อนระโหย เลือดไหลทะลักออกทางปากอย่างน่าเวทนา

    “หากข้าไม่ได้ท่านคงแย่แน่แล้ว ขอบคุณสักล้านครั้งเลย” ท่านผู้นั้นพูดกับตัวเอง ทรุดตัวนั่งอย่างเหน็ดเหนื่อยเช่นกัน

    “หมายถึงใครหรือฝ่าบาท”

    “เจ้าไม่ต้องรู้หรอก” ท่านผู้นั้นหยุดคำถามเอาไว้แค่นั้น “รู้แค่เรารอดมาได้ก็พอแล้ว โชคเกือบเป็นของมันที่หาจุดอ่อนข้าได้ แต่ไม่คิดบ้างหรือว่าข้าก็มีไพ่สำรองเหมือนกัน”

    “จะให้ข้าจัดการเจ้ามังกรตัวนี้เลยไหมฝ่าบาท ปล่อยไว้ก็น่าสงสาร อย่างไรก็เป็นจุดประสงค์หลักของเรา”

    “ไม่ ข้าต้องการพลังงานในยามนี้” ท่านผู้นั้นทำให้เซ็ทส์ไม่เชื่อหู อย่างท่านผู้นั้นน่ะนะจะหมดพลังง่ายๆอย่างนี้ “การที่ทำให้เรารอดจากสถานการณ์คับขันสองครั้งทำให้ข้าใช้พลังไปมากโข ข้าจะดูดเอามาจากเจ้ากุลานั่น...แล้วมันจะได้ส่งพลังคืนให้พี่น้องมันไม่ได้ด้วย”

    สรุปคือท่านผู้นั้นจะกลืนกินกุลาเพื่อเสริมพลังให้ตัวเองสินะ เหนื่อยอย่างไรก็เป็นเหมือนเดิม เซ็ทส์คิด

    “ข้าจะรับหน้าที่กลืนกินเจ้ากุลาเอง งานของเจ้าจบแค่นี้ ประเดี๋ยวข้าจะใช้มนตร์เคลื่อนย้ายส่งเจ้ากลับไปก่อน”

    “เผ่ามังกร ของข้า...” กุลาสำลักเลือดออกมาคำโตพร้อมคำพูดอย่างหนึ่งที่เซ็ทส์ไม่เข้าใจ แต่ไม่ทันซักถามเขาก็กลายเป็นก้อนแสงพุ่งกลับไปยังที่พักของประธานาธิบดีแล้ว ปล่อยให้ท่านผู้นั้นสูบพลังของกุลาด้วยตนเองคนเดียว

    “ก็ยังดีที่ไม่ต้องเห็นท่านผู้นั้นตอนกลืนกินเหยื่อ” เซ็ทส์ถอนหายใจ เดินโขยกเขยกไปทางผู้รักษาความปลอดภัย ให้ช่วยพากลับห้องพัก...


    ตกเย็นลักซูเรียมาหาพวกเขาโดยไม่มีทีท่าว่าจะรู้เรื่องที่พวกเขาทำเมื่อกลางวัน หลังจากเซ็ทส์กลับที่พักท่านผู้นั้นก็กลับมาปกติวิสัย คงจัดการมังกรหนึ่งในเจ็ดตัวนั้นเรียบร้อยแล้วกระมัง

    “ไม่นี่ ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลก” ลักซูเรียใช้มีดกับส้อมทานอาหารเย็นอย่างชำนาญ ผิดกับเซ็ทส์ที่แทบใช้มือหยิบกินเพราะมันซับซ้อนยากเข้าใจ

    “เห็นไหมเซ็ทส์ ขนาดข้ากลืนพรรคพวกมันลงไปทั้งตัวยังไม่รู้สึก ใช้วิธีนี้ดีกว่า เจ้าทำให้สะบักสะบอมส่วนข้าก็กลืนเสีย” ท่านผู้นั้นหัวเราะอย่างชั่วร้าย

    “แสดงว่าคุณไปสู้กับพรรคพวกฉันมาใช่ไหม”

    “มันชื่อกุลา ไม่อาลัยอาวรณ์สักนิดหรือ” ท่านผู้นั้นเลิกคิ้ว ลักซูเรียส่ายหัวอย่างหวาดๆ

    “นอกจากอวาร์ริเทียฉันไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับตัวอื่นเป็นพิเศษ” ลักซูเรียตอบ “แล้วทำไมไม่รออีกสักวัน รู้ก็รู้ว่าช่วงเช้าฉันจะต้องไปตรวจร่างกายกับเทพี”

    “คงสนุกน่าดู ต้องรับมือทั้งเจ้าทั้งกุลาพร้อมกัน” ท่านผู้นั้นเช็ดปาก นางมังกรครึ่งมนุษย์ขู่ใส่อย่างเดือดดาล

    “เหลือแค่สามสิขอรับฝ่าบาท อาเซเดีย ไอรา แล้วก็ซูเปอร์เบีย”

    “ใช่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเวลาแล้วล่ะ” ท่านผู้นั้นกล่าวอย่างสุขุม “อิ่มแล้วหรือ...มีอะไรในใจสินะ”

    “ขอรับ” เซ็ทส์ขอบคุณแม่บ้านที่เดินมาเก็บจานให้ ลักซูเรียลุกเดินตามไปทันที “ขอข้าอยู่คนเดียวได้ไหม”

    การพบกันของคนหน้าเหมือนทำให้เขาคิดถึงเซเลสคนรักของเขาเหลือเกิน ยิ่งรู้ว่าใกล้จุดหมายก็ยิ่งร้อนรนจนทนไม่ได้ อยากออกตามหาอีกสามตัวแล้วฆ่ามันเสียตอนนี้เลย เพื่อจะได้พบนางอีกครั้ง

    เซ็ทส์หยุดนั่งริมน้ำพุหน้าอาคารอย่างเหม่อลอย เขาเรียกพิณเทพพิรุณออกมาแล้วเริ่มกรีดนิ้วเป็นทำนองเพลงช้า เศร้าโศกและบาดลึกในอารมณ์ ในเวลาว่างเขาชอบปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงเพลงแบบนี้เสมอ

    เมื่อเพลงจบจึงรู้ตัวว่ามีคนมานั่งใกล้ๆ แม่นางคนหน้าเหมือนนั่นเอง นางมานั่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่หน้าอกหนีบบัตรผ่านเอาไว้ แสดงว่าวันนี้มีสติพอจะแลกบัตรผ่านเข้ามาด้านใน

    “เพราะดีนะ แต่มันฟังดูเศร้าๆ” หญิงสาวพูด ยิ่งทำให้เขาคิดถึงเซเลสมากขึ้นไปอีก

    “วันนี้มีธุระอะไรหรือ ท่านผู้ช่วยอยู่ข้างในโน่น”

    “มีธุระกับคุณนั่นแหละ ค่าที่ไม่ยอมให้ฉันไปป่าดำด้วย”

    ก็จะยอมให้ไปได้อย่างไรกันเล่า หากมีอันตรายกับนางเขาคงมีชีวิตอยู่ไม่ได้แน่แม้เป็นแค่คนหน้าเหมือนก็ตาม

    “คุณต้องอธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับป่าดำให้ฉันรู้” หญิงสาวชูปากกากับสมุดจดให้เห็น “เล่าให้ฟังด้วยว่าไปทำอะไรมาบ้าง”

    ร่าเริงเหมือนเป็นตัวจริงเลย เซ็ทส์ยิ้มอย่างอ่อนโยน

    “ขอให้ผมเอาพิณอันนี้ไปเก็บก่อน แล้วเราค่อยไปคุยกันในห้องรับรอง” เซ็ทส์เริ่มคิดสร้างเรื่องโป้ปดเกี่ยวกับสิ่งที่ไปทำในป่าดำทันที...


(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่