พาณิชย์เผยส่งออกเดือน เม.ย.58 หดตัว 1.70%,นำเข้าหดตัว6.84%
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2015 เวลา 11:30 น. กอง บก.ออนไลน์ ข่าวรายวัน ฐานออนไลน์
นายสมเกียรติ ตรีรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยเดือนเม.ย.2558 อยู่ที่ 1.69 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 1.7% ส่วนนำเข้ามีมูลค่า1.74 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐลดลง 6.84% ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าเม.ย. 523 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดย4เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-เม.ย.58)มูลค่าส่งออกอยู่ที่ 7.02หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 3.99% ส่วนนำเข้า4เดือนมูลค่า 6.93 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 6.53% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าช่วง 4 เดือนที่ 906 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
การส่งออกของไทยเดือนเมษายน 2558 สถานการณ์ในภาพรวมส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยชะลอตัวในอัตราที่ลดลง และยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) ในตลาดสำคัญไว้ได้ ประกอบกับการส่งออกสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมเกษตรในกลุ่มสินค้าที่มีปัญหา หดตัวในอัตราที่ชะลอลง ในขณะที่การส่งออกกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมถึงแม้จะยังคงหดตัว แต่เป็นการหดตัวในอัตราที่ลดลงเช่นเดียวกัน
มูลค่าการค้าระหว่างประเทศในรูปของเงินเหรียญสหรัฐฯ การส่งออกเดือนเมษายน 2558 มีมูลค่า 16,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ -1.70 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน (YoY) และในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2558 มีมูลค่า 70,265 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ -3.99 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (AoA) ในขณะที่การนำเข้าเดือนเมษายน 2558 มีมูลค่า 17,423 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ -6.84 (YoY) และในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2558 มีมูลค่า 69,359 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ -6.53 (AoA) ส่งผลให้ดุลการค้าระหว่างประเทศเดือนเมษายน 2558 ขาดดุล 523 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2558 เกินดุล 906 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
การส่งออกสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมเกษตรหดตัวต่อเนื่อง แต่สินค้าสำคัญหดตัวในอัตราที่ลดลง โดยภาพรวมเดือนเมษายน 2558 ลดลงร้อยละ –3.9 (YoY) ตามทิศทางของราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยางพาราซึ่งเป็นสินค้าเกษตรส่งออกอันดับหนึ่งของไทย ลดลงร้อยละ -25.9 (YoY) ตามราคายางพาราที่ปรับลดลง เช่นเดียวกับ ทูน่ากระป๋อง และข้าว ที่มีมูลค่าการส่งออกหดตัวในอัตราที่ลดลง ขณะที่ สินค้าที่ยังคงมีมูลค่าการส่งออกสูงขึ้น ได้แก่ ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป น้ำตาลทราย ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง สูงขึ้นร้อยละ 5.4, 16.0, 18.5 และ 41.1 (YoY) ตามลำดับ
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหดตัวในอัตราที่ชะลอตัวลง โดยภาพรวมเดือนเมษายน 2558 ลดลงร้อยละ -0.3 (YoY) จากปัจจัยหลักคือ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังคงทรุดตัวลง เนื่องจากปริมาณผลผลิตล้นตลาด กดดันให้ราคาส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันดิบหรืออุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างการใช้วัตถุดิบซึ่งมาจากการกลั่นปิโตรเลียมปรับตัวค่อนข้างสูง ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติกปรับตัวลดลงตามเช่นกัน ขณะที่ การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญอย่างทองคำ เดือนนี้กลับมาขยายตัวในอัตราสูงถึงร้อยละ 133.0 (YoY) จากระดับราคาทองคำที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้ส่งออกเริ่มเทขายทองคำออก หลังจากที่ช่วงก่อนหน้าเร่งนำเข้าเพื่อเก็งกำไรเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ หากไม่รวมสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและทองคำ มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในเดือนเมษายน 2558 จะขยายตัวร้อยละ 0.1 (YoY) แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์การส่งออกส่งสัญญาณดีขึ้นเรื่อยๆ โดยสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมหักสินค้าเกี่ยวข้องกับน้ำมันและทองคำ จะขยายตัวที่ร้อยละ 1.1 (YoY) โดยสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญที่ยังคงขยายตัวได้ดี ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ และคอมพิวเตอร์ ซึ่งขยายตัวร้อยละ 20.0, 9.0, 8.5 และ 2.3 (YoY) ตามลำดับ
ความเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อการส่งออก การส่งออกของไทยที่ยังคงหดตัว เกิดจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกและตลาดคู่ค้าหลักในปัจจุบันที่ชะลอตัว เนื่องจากกำลังซื้อในตลาดโลกยังคงลดลง โดยเฉพาะสหภาพยุโรป จีน ญี่ปุ่นและอาเซียนที่มีมูลค่าการนำเข้ารวมจากทั่วโลกลดลงอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย อย่างไรก็ดี ปัจจัยภายนอกที่ส่งสัญญาณดีขึ้น ได้แก่
1) การนำเข้าของประเทศคู่ค้าสำคัญเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว โดยการนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และจีน หดตัวในอัตราที่ลดลง สอดคล้องกับการที่ไทยยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดในตลาดสำคัญได้ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และอินเดีย เป็นต้น
2) ค่าเงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าเมื่อเทียบกับคู่ค้าคู่แข่ง และมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง จากการใช้มาตรการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และมาตรการผ่อนคลายเงินทุนเคลื่อนย้ายของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะส่งผลช่วยหนุนให้การส่งออกปรับตัวในทิศทางดีขึ้นในระยะต่อไป
3) ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จากอุปทานในตลาดโลกที่เริ่มลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากการที่บริษัทน้ำมันในสหรัฐอเมริกายกเลิกการผลิตน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil)
ตลาดส่งออก โดยตลาดสหรัฐอเมริกา และกลุ่ม CLMV ยังมีทิศทางเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดจีนกลับมาขยายตัวครั้งแรกในปีนี้ การส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาขยายตัวร้อยละ 8.4 (YoY) เติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัวได้ดีในตลาดสหรัฐอเมริกา ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง สูงขึ้นร้อยละ 38.3, 44.1, 7.1 (YoY) ตามลำดับ เช่นเดียวกับตลาด CLMV ที่มีอัตราการขยายตัวสูงต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.5 (YoY) โดยเฉพาะกัมพูชาและเวียดนาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการค้าชายแดน ในขณะที่การส่งออกไปยังตลาดหลักอย่างญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป (15) ลดลงร้อยละ -3.0 และ -3.5 (YoY) ตามลำดับ เป็นผลจากเศรษฐกิจทั้งสองประเทศฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ ประกอบกับการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (QE) ส่งผลให้ค่าเงินเยนและค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับค่าเงินบาท ทำให้ยอดคำสั่งซื้อชะลอตัว ในขณะที่การส่งออกไปจีน กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในปีนี้ ที่ร้อยละ 1.1 (YoY) โดยเฉพาะมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และผลิตภัณฑ์ยางที่กลับมาขยายตัวเป็นบวกอย่างมาก หลังจากหดตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากความต้องการกลับมาเพิ่มขึ้นหลังจากที่ลดการนำเข้าลงจากการที่สามารถผลิตใช้ได้เองภายในประเทศ
ส่งออกเมษาติดลบน้อยกว่าคาด
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2015 เวลา 11:30 น. กอง บก.ออนไลน์ ข่าวรายวัน ฐานออนไลน์
นายสมเกียรติ ตรีรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยเดือนเม.ย.2558 อยู่ที่ 1.69 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 1.7% ส่วนนำเข้ามีมูลค่า1.74 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐลดลง 6.84% ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าเม.ย. 523 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดย4เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-เม.ย.58)มูลค่าส่งออกอยู่ที่ 7.02หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 3.99% ส่วนนำเข้า4เดือนมูลค่า 6.93 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 6.53% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าช่วง 4 เดือนที่ 906 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
การส่งออกของไทยเดือนเมษายน 2558 สถานการณ์ในภาพรวมส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยชะลอตัวในอัตราที่ลดลง และยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) ในตลาดสำคัญไว้ได้ ประกอบกับการส่งออกสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมเกษตรในกลุ่มสินค้าที่มีปัญหา หดตัวในอัตราที่ชะลอลง ในขณะที่การส่งออกกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมถึงแม้จะยังคงหดตัว แต่เป็นการหดตัวในอัตราที่ลดลงเช่นเดียวกัน
มูลค่าการค้าระหว่างประเทศในรูปของเงินเหรียญสหรัฐฯ การส่งออกเดือนเมษายน 2558 มีมูลค่า 16,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ -1.70 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน (YoY) และในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2558 มีมูลค่า 70,265 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ -3.99 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (AoA) ในขณะที่การนำเข้าเดือนเมษายน 2558 มีมูลค่า 17,423 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ -6.84 (YoY) และในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2558 มีมูลค่า 69,359 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ -6.53 (AoA) ส่งผลให้ดุลการค้าระหว่างประเทศเดือนเมษายน 2558 ขาดดุล 523 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2558 เกินดุล 906 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
การส่งออกสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมเกษตรหดตัวต่อเนื่อง แต่สินค้าสำคัญหดตัวในอัตราที่ลดลง โดยภาพรวมเดือนเมษายน 2558 ลดลงร้อยละ –3.9 (YoY) ตามทิศทางของราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยางพาราซึ่งเป็นสินค้าเกษตรส่งออกอันดับหนึ่งของไทย ลดลงร้อยละ -25.9 (YoY) ตามราคายางพาราที่ปรับลดลง เช่นเดียวกับ ทูน่ากระป๋อง และข้าว ที่มีมูลค่าการส่งออกหดตัวในอัตราที่ลดลง ขณะที่ สินค้าที่ยังคงมีมูลค่าการส่งออกสูงขึ้น ได้แก่ ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป น้ำตาลทราย ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง สูงขึ้นร้อยละ 5.4, 16.0, 18.5 และ 41.1 (YoY) ตามลำดับ
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหดตัวในอัตราที่ชะลอตัวลง โดยภาพรวมเดือนเมษายน 2558 ลดลงร้อยละ -0.3 (YoY) จากปัจจัยหลักคือ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังคงทรุดตัวลง เนื่องจากปริมาณผลผลิตล้นตลาด กดดันให้ราคาส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันดิบหรืออุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างการใช้วัตถุดิบซึ่งมาจากการกลั่นปิโตรเลียมปรับตัวค่อนข้างสูง ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติกปรับตัวลดลงตามเช่นกัน ขณะที่ การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญอย่างทองคำ เดือนนี้กลับมาขยายตัวในอัตราสูงถึงร้อยละ 133.0 (YoY) จากระดับราคาทองคำที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้ส่งออกเริ่มเทขายทองคำออก หลังจากที่ช่วงก่อนหน้าเร่งนำเข้าเพื่อเก็งกำไรเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ หากไม่รวมสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและทองคำ มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในเดือนเมษายน 2558 จะขยายตัวร้อยละ 0.1 (YoY) แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์การส่งออกส่งสัญญาณดีขึ้นเรื่อยๆ โดยสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมหักสินค้าเกี่ยวข้องกับน้ำมันและทองคำ จะขยายตัวที่ร้อยละ 1.1 (YoY) โดยสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญที่ยังคงขยายตัวได้ดี ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ และคอมพิวเตอร์ ซึ่งขยายตัวร้อยละ 20.0, 9.0, 8.5 และ 2.3 (YoY) ตามลำดับ
ความเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อการส่งออก การส่งออกของไทยที่ยังคงหดตัว เกิดจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกและตลาดคู่ค้าหลักในปัจจุบันที่ชะลอตัว เนื่องจากกำลังซื้อในตลาดโลกยังคงลดลง โดยเฉพาะสหภาพยุโรป จีน ญี่ปุ่นและอาเซียนที่มีมูลค่าการนำเข้ารวมจากทั่วโลกลดลงอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย อย่างไรก็ดี ปัจจัยภายนอกที่ส่งสัญญาณดีขึ้น ได้แก่
1) การนำเข้าของประเทศคู่ค้าสำคัญเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว โดยการนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และจีน หดตัวในอัตราที่ลดลง สอดคล้องกับการที่ไทยยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดในตลาดสำคัญได้ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และอินเดีย เป็นต้น
2) ค่าเงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าเมื่อเทียบกับคู่ค้าคู่แข่ง และมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง จากการใช้มาตรการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และมาตรการผ่อนคลายเงินทุนเคลื่อนย้ายของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะส่งผลช่วยหนุนให้การส่งออกปรับตัวในทิศทางดีขึ้นในระยะต่อไป
3) ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จากอุปทานในตลาดโลกที่เริ่มลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากการที่บริษัทน้ำมันในสหรัฐอเมริกายกเลิกการผลิตน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil)
ตลาดส่งออก โดยตลาดสหรัฐอเมริกา และกลุ่ม CLMV ยังมีทิศทางเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดจีนกลับมาขยายตัวครั้งแรกในปีนี้ การส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาขยายตัวร้อยละ 8.4 (YoY) เติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัวได้ดีในตลาดสหรัฐอเมริกา ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง สูงขึ้นร้อยละ 38.3, 44.1, 7.1 (YoY) ตามลำดับ เช่นเดียวกับตลาด CLMV ที่มีอัตราการขยายตัวสูงต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.5 (YoY) โดยเฉพาะกัมพูชาและเวียดนาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการค้าชายแดน ในขณะที่การส่งออกไปยังตลาดหลักอย่างญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป (15) ลดลงร้อยละ -3.0 และ -3.5 (YoY) ตามลำดับ เป็นผลจากเศรษฐกิจทั้งสองประเทศฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ ประกอบกับการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (QE) ส่งผลให้ค่าเงินเยนและค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับค่าเงินบาท ทำให้ยอดคำสั่งซื้อชะลอตัว ในขณะที่การส่งออกไปจีน กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในปีนี้ ที่ร้อยละ 1.1 (YoY) โดยเฉพาะมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และผลิตภัณฑ์ยางที่กลับมาขยายตัวเป็นบวกอย่างมาก หลังจากหดตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากความต้องการกลับมาเพิ่มขึ้นหลังจากที่ลดการนำเข้าลงจากการที่สามารถผลิตใช้ได้เองภายในประเทศ