สวัสดีครับ
ก่อนอื่นก็ขออธิบายก่อนนะครับ ที่มาตั้งกระทู้อะไรแบบนี้ไม่ใช่อะไรนะครับ คือผมไม่รู้จะคุยหรือระบายกับใครดี คือมันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไรหรอกครับ เอาเป็นว่าผมขอพื้นที่เล็กๆตรงนี้ระบายหรือบอกเล่าเรื่องราวของผมสักหน่อยก็แล้วกันครับ คิดซะว่าผมขอสารภาพบาปให้ทุกท่านฟังละกันครับ
เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมเคยคบกับผู้หญิงคนนึงสมัย ม.ปลาย ขอใช้ชื่อแทนเธอว่า"เอ"ละกันครับ ผมกับเอ เจอกันบนรถไฟโดยบังเอิญครับ ตอนนั้นเค้าจะไปกรุงเทพกับคุณแม่เค้า ส่วนผมก็จะไปกรุงเทพเหมือนกัน พูดง่ายๆคือเรานั่งรถไฟขบวนเดียวกัน ตู้โดยสารเดียวกัน บังเอิญตอนนั้นผมมีกล้อง D-SLR อยู่ตัวนึง พร้อมเลนส์ซูมมมมมม ก็ไม่รอช้าครับ เห็นว่าเธอน่ารักตามประสาวัยรุ่น ก็ซุ่มยิงสิครับ เก็บภาพไว้รอกลับเชียงใหม่ ให้เพื่อนที่อยู่โรงเรียนเดียวกับเอช่วยตามหาผู้หญิงในภาพให้หน่อย เพราะผมอยู่คนละโรงเรียนกัน อาจจะงงว่าผมรู้ได้ไงว่าเค้าอยู่โรงเรียนอะไร บังเอิญอีกแหละครับ เค้าใส่ชุดนักเรียนโรงเรียนนั้นขึ้นรถไฟครับผมเลยรู้ จากนั้นมา 2 เดือน ผมจึงได้ E-Mail ของเธอมา
สมัยนั้นเป็นยุคของ MSN ครับ ผมก็ add ไปแล้วก็ได้คุยกันครับ จากนั้นเราก็คุยกันเรื่อยมา ก่อเกิดเป็นความรักสมัยมัธยมเต็มที่เลยครับ เที่ยวด้วยกัน ดูหนัง ไปไหนมาไหนด้วยกันทุกเย็นหลังเลิกเรียน โดดเรียนไปบ้านผมบ้างก็มี (ตามประสาวัยรุ่นไม่คิดอะไรจริงๆ) ถามว่า ณ ตอนนั้นเรารักกันมากมั้ย ผมกล้าพูดได้เลยครับว่ามาก และผมเชื่อว่าเค้ารัก ให้ผมมากกว่าที่ผมให้เค้าอีก คือเค้าเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างทุ่มอ่ะครับ ให้ของเล่น ของประดับ ของจุกจิกอะไรเยอะมาก เว่อร์วังอลังการตลอด เอจะเป็นคนอาร์ทๆหน่อยชอบศิลปะ พ่อแม่ดุ กลับดึกไม่ได้ ส่วนผมก็ธรรมดาๆครับตอนเรียนมัธยมเป็นเด็กกิจกรรม(เด็กวงโย) ไม่ใช่แนวแบบตีรันฟันแทง หรือมีแก๊งค์อะไรพวกนี้อ่ะครับ เกือบจะออกแนวเนริดๆด้วยซ้ำ ไม่กินเหล้าสูบบุหรี่ พ่อแม่มารับกลับบ้านทุกวัน
เรื่องราวดูเหมือนไม่มีอะไรใช่มั้ยครับ แต่แล้วจุดเปลี่ยนก็มาถึง ช่วงที่เราเตรียมจะหาที่เรียนต่อมหาลัย เตรียมจะสอบ O-Net A-Net พ่อแม่เอจะให้เอไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย เอาละครับทีนี้ ผมโวยวายเลยครับ บ่นนาๆสารพัด อ้อนวอนให้เอไปคุยกะพ่อกะแม่ ว่าไม่ต้องไปได้มั้ย เค้าก็เริ่มไม่ค่อยโอเคกับผม เพราะผมเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ เริ่มประชตนั่นนี่สารพัด ตามประสาวัยรุ่นอีกแล้ว 5555 จนวันนึงผมนัดเจอกัน และแล้วธาตุไฟผมก็แตกกลางห้าง ผมอละวาดกลางลานจอดรถ ต่อยเสาลานจอดรถ ลงไปคุกเข่าร้องไห้ ในขณะเดียวกับที่เค้าบอกเลิกผม
ทุกอย่างมันตื้อมากตอนนั้นบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำอะไรลงไป นึกย้อนไปแล้วก็แบบว่า เอ่อนะมันเป็นอะไรที่งี่เง่าชะมัด ไม่พอ หลังจากที่เค้าเลิกกับผม เพื่อนผมที่อยู่โรงเรียนเดียวกัน ดันมาคบกับเอ หนักเข้าไปอีกครับทีนี้ จากผมที่เคยเป็นคนดี คราวนี้เข้าหาเพื่อนเลยครับ ทั้งเมา เที่ยวกลางคืน กินเหล้า สูบบุหรี่ เรียกได้ว่าเละครับตอนนั้น
เข้าสู่ช่วงชีวิตมหาลัย ผมเข้ามาเรียนที่ มหาวิทยาลัยเอกชนย่านปทุม มาใช้ชีวิตเอง อยู่หอ ส่วนเค้าก็ไปอยู่ออสตามที่พ่อแม่ให้ไปเรียน ความเศร้าเริ่มหายไปครับ ยุคของ Skype Facebook เริ่มเข้ามา เรากลับมาติดต่อกันอีกครั้งในฐานะเพื่อน คอยให้กำลังใจกันบ้าง ให้คำปรึกษากันบ้าง เพราะทั้งผมและเค้าก็มีปัญหาครับช่วงนั้น ผมเกเรมากขึ้นเลยเถิดคำว่าเหล้าบุหรี่ ส่วนเค้าก็ลำบากเพราะต่างบ้านต่างเมือง ไม่รูจะคุยกะใครบ้างบางที เราก็หาเวลาที่ว่างตรงกัน Skype คุยกัน ช่วงนี้มีความสุขดีครับ ผมก็หวังไว้ในใจลึกๆว่าสักวันเราคงได้กลับมาคบกันอีก
โชคชะตามักไม่ได้เป็นแบบนั้นครับ ด้วยความคึกคะนอง อยู่ในสังคมมืด ก็เจอกับผู้หญิงคนนึง ก็คุยกัน คบกันไป จนมีลูกด้วยกันครับ ชีวิตเปลี่ยนครับ ตอนลูกผมเกิดผมก็โทรบอกเอเป็นคนแรกๆเลยครับ ก่อนเพื่อนผมอีก ผมออกมาจากตรงนั้น หางานทำ หยุดเรียน กลับไปสร้างครอบครัว พาลูกเมียกลับบ้านนอก ชีวิตก็ดีขึ้นครับ โตขึ้น มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
และด้วยโลก Social มันง่ายต่อการติดต่อ ก็เลยทำให้ผมมีการติดต่อกับเอบ้างเป็นบางครั้งบางคราว ในช่วงแรกๆที่ผมมีลูกมีครอบครัวใหม่ผมก็คุยกันตามประสาเพื่อน คราวผมรู้แน่ๆแล้วว่าเรื่องของผมกับเอมันไม่มีทางเป็นไปได้อีกต่อไปแล้ว มันเหลือแค่ความทรงจำดีๆเท่านั้น ผมก็เข้าใจดีครับ พยามคุยกันแบบเพื่อนมาตลอด ไม่มีมากมายไปกว่านี้ผมสาบานได้เลย จนพักนี้ผมเริ่มติดต่อกันถี่ขึ้นเรื่อยๆ คือคุยกันในแชททุกวันครับ คือแบบวันไหนไม่ได้คุยนี่เหมือนแปลกๆ แต่ผมกับแฟนก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนะครับ ยังรักกันดีอยู่
คงเพราะด้วยความที่ว่า ผมกับเอ ไม่ได้เริ่มต้นกันมาในฐานะเพื่อน มันเลยทำให้ลึกๆแล้วในใจผมมันก็ต้องมีบ้างที่จะรู้สึกดีกว่าคำว่าเพื่อน ผมก็เลยชวนเอไปทานข้าวครับ ตอนนั้นผมไปทำธุระที่กรุงเทพ เอก็อยู่กรุงเทพพอดี ก็เลยชวนกันไปทานข้าว แล้วก็แยกย้าย แค่นั้นจริงๆครับ มีครั้งที่ 1 มันก็ต้องมีครั้งที่ 2 ใช่มั้ยครับ หลังจากนั้นผมก็หาโอกาสชวนเธอไปเที่ยวอีก ไปเดินห้างบ้างเล็กๆน้อยๆแล้วก็กลับบ้านใครบ้านมัน จนล่าสดเมื่อ 2 วันที่แล้วผมมากรุงเทพ เอก็อยู่กรุงเทพ ผมก็เอาอีกแล้วครับ ชวนเธอเที่ยว แต่คราวนี้มีชวนไปดื่มด้วย
พอเหล้าเข้าปาก ทุกอย่างก็เริ่มเลยครับทีนี้ ผมเริ่มลำรึกความหลัง เริ่มคิดเยอะ ใจไม่ดีเหมือนตอนจีบกันใหม่ จนนั่ง Taxi พาเธอไปส่งที่บ้าน ผมจับมือเธอแล้วก็บอกว่าลึกๆแล้วก็ยังรักแกอยู่นะ เค้าตอบกลับมาเพียงว่าแกก็รู้ว่าชั้นคิดยังไง ยังไงมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว จบ เธอลงจากรถ ผมกลับบ้าน อีกวันมาหลังจากนั้น ทุกอย่างที่เคยเป็นเหมือนที่ผ่านๆมาเริ่มตึงครับ เธอไม่ค่อยตอบแชทผมจนผมรู้สึกได้ว่าต้องมีอะไรแน่ๆ ผมก็เลยถามไป สรุปได้ความมาว่า เค้าคิดว่าทั้งหมดที่ผ่านมามันไม่โอเคเลย การที่ทำแบบนี้มันเหมือนทำให้เค้ารู้สึกว่าเกลียดผู้ชาย เ ..ห...ี้...ยๆ มากขึ้นอีก แล้วทำให้เค้ารู้สึกว่าเค้าโอเคแล้วที่ไม่มีใครเลยในตอนนี้
จากจุดนั้นผมก็เข้าใจครับ สิ่งที่ผมทำมันผิดอย่างมหันต์ เป็นการทรยศครอบครัว ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ทำไม่ใช่เรื่องดีแต่ก็ยังทำเพียงเพราะแค่ตามใจความรู้สึกตัวเอง สุดท้ายเหมือนเราแกะแผลที่เรามีอ่ะครับ มันยิ่งทำให้เลือดออก เหมือนขุดความรู้สึกตัวเองทั้งๆที่ไม่จำเป็น แทนที่จะรักษามิตรภาพไว้ก็ดีอยู่แล้ว
เรื่องมันก็มีประมาณนี้แหละครับ อาจจะยาวไปนิด แต่ผมก็อยากระบายมันออกมาเฉยๆครับ เหมือนที่เขียนไว้ตอนต้นว่า อยากมาสารภาพบาปอ่ะครับ
ป.ล.สุดท้ายขอฝากไว้เลยครับ สุราไม่ใช่ที่พึ่งและไม่ใช่ทางออกของปัญหาครับ และครอบครัวคือสิ่งที่ดีและมีค่าที่สุดสำหรับเราครับ ฉะนั้นจงรักษามันไว้ให้ดีครับ ถ้าเกิดเรื่องของผมมันไม่ได้จบแบบนี้ ผมว่าชีวิตครอบครัวผมก็คงจบเพียงเพราะความรู้สึกโง่ๆของผมแน่ๆครับ
ขอบคุณที่อ่านครับ
เมื่อแฟนเก่าผ่านเข้ามาในชีวิต ความดราม่าจึงบังเกิด
ก่อนอื่นก็ขออธิบายก่อนนะครับ ที่มาตั้งกระทู้อะไรแบบนี้ไม่ใช่อะไรนะครับ คือผมไม่รู้จะคุยหรือระบายกับใครดี คือมันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไรหรอกครับ เอาเป็นว่าผมขอพื้นที่เล็กๆตรงนี้ระบายหรือบอกเล่าเรื่องราวของผมสักหน่อยก็แล้วกันครับ คิดซะว่าผมขอสารภาพบาปให้ทุกท่านฟังละกันครับ
เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมเคยคบกับผู้หญิงคนนึงสมัย ม.ปลาย ขอใช้ชื่อแทนเธอว่า"เอ"ละกันครับ ผมกับเอ เจอกันบนรถไฟโดยบังเอิญครับ ตอนนั้นเค้าจะไปกรุงเทพกับคุณแม่เค้า ส่วนผมก็จะไปกรุงเทพเหมือนกัน พูดง่ายๆคือเรานั่งรถไฟขบวนเดียวกัน ตู้โดยสารเดียวกัน บังเอิญตอนนั้นผมมีกล้อง D-SLR อยู่ตัวนึง พร้อมเลนส์ซูมมมมมม ก็ไม่รอช้าครับ เห็นว่าเธอน่ารักตามประสาวัยรุ่น ก็ซุ่มยิงสิครับ เก็บภาพไว้รอกลับเชียงใหม่ ให้เพื่อนที่อยู่โรงเรียนเดียวกับเอช่วยตามหาผู้หญิงในภาพให้หน่อย เพราะผมอยู่คนละโรงเรียนกัน อาจจะงงว่าผมรู้ได้ไงว่าเค้าอยู่โรงเรียนอะไร บังเอิญอีกแหละครับ เค้าใส่ชุดนักเรียนโรงเรียนนั้นขึ้นรถไฟครับผมเลยรู้ จากนั้นมา 2 เดือน ผมจึงได้ E-Mail ของเธอมา
สมัยนั้นเป็นยุคของ MSN ครับ ผมก็ add ไปแล้วก็ได้คุยกันครับ จากนั้นเราก็คุยกันเรื่อยมา ก่อเกิดเป็นความรักสมัยมัธยมเต็มที่เลยครับ เที่ยวด้วยกัน ดูหนัง ไปไหนมาไหนด้วยกันทุกเย็นหลังเลิกเรียน โดดเรียนไปบ้านผมบ้างก็มี (ตามประสาวัยรุ่นไม่คิดอะไรจริงๆ) ถามว่า ณ ตอนนั้นเรารักกันมากมั้ย ผมกล้าพูดได้เลยครับว่ามาก และผมเชื่อว่าเค้ารัก ให้ผมมากกว่าที่ผมให้เค้าอีก คือเค้าเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างทุ่มอ่ะครับ ให้ของเล่น ของประดับ ของจุกจิกอะไรเยอะมาก เว่อร์วังอลังการตลอด เอจะเป็นคนอาร์ทๆหน่อยชอบศิลปะ พ่อแม่ดุ กลับดึกไม่ได้ ส่วนผมก็ธรรมดาๆครับตอนเรียนมัธยมเป็นเด็กกิจกรรม(เด็กวงโย) ไม่ใช่แนวแบบตีรันฟันแทง หรือมีแก๊งค์อะไรพวกนี้อ่ะครับ เกือบจะออกแนวเนริดๆด้วยซ้ำ ไม่กินเหล้าสูบบุหรี่ พ่อแม่มารับกลับบ้านทุกวัน
เรื่องราวดูเหมือนไม่มีอะไรใช่มั้ยครับ แต่แล้วจุดเปลี่ยนก็มาถึง ช่วงที่เราเตรียมจะหาที่เรียนต่อมหาลัย เตรียมจะสอบ O-Net A-Net พ่อแม่เอจะให้เอไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย เอาละครับทีนี้ ผมโวยวายเลยครับ บ่นนาๆสารพัด อ้อนวอนให้เอไปคุยกะพ่อกะแม่ ว่าไม่ต้องไปได้มั้ย เค้าก็เริ่มไม่ค่อยโอเคกับผม เพราะผมเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ เริ่มประชตนั่นนี่สารพัด ตามประสาวัยรุ่นอีกแล้ว 5555 จนวันนึงผมนัดเจอกัน และแล้วธาตุไฟผมก็แตกกลางห้าง ผมอละวาดกลางลานจอดรถ ต่อยเสาลานจอดรถ ลงไปคุกเข่าร้องไห้ ในขณะเดียวกับที่เค้าบอกเลิกผม
ทุกอย่างมันตื้อมากตอนนั้นบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำอะไรลงไป นึกย้อนไปแล้วก็แบบว่า เอ่อนะมันเป็นอะไรที่งี่เง่าชะมัด ไม่พอ หลังจากที่เค้าเลิกกับผม เพื่อนผมที่อยู่โรงเรียนเดียวกัน ดันมาคบกับเอ หนักเข้าไปอีกครับทีนี้ จากผมที่เคยเป็นคนดี คราวนี้เข้าหาเพื่อนเลยครับ ทั้งเมา เที่ยวกลางคืน กินเหล้า สูบบุหรี่ เรียกได้ว่าเละครับตอนนั้น
เข้าสู่ช่วงชีวิตมหาลัย ผมเข้ามาเรียนที่ มหาวิทยาลัยเอกชนย่านปทุม มาใช้ชีวิตเอง อยู่หอ ส่วนเค้าก็ไปอยู่ออสตามที่พ่อแม่ให้ไปเรียน ความเศร้าเริ่มหายไปครับ ยุคของ Skype Facebook เริ่มเข้ามา เรากลับมาติดต่อกันอีกครั้งในฐานะเพื่อน คอยให้กำลังใจกันบ้าง ให้คำปรึกษากันบ้าง เพราะทั้งผมและเค้าก็มีปัญหาครับช่วงนั้น ผมเกเรมากขึ้นเลยเถิดคำว่าเหล้าบุหรี่ ส่วนเค้าก็ลำบากเพราะต่างบ้านต่างเมือง ไม่รูจะคุยกะใครบ้างบางที เราก็หาเวลาที่ว่างตรงกัน Skype คุยกัน ช่วงนี้มีความสุขดีครับ ผมก็หวังไว้ในใจลึกๆว่าสักวันเราคงได้กลับมาคบกันอีก
โชคชะตามักไม่ได้เป็นแบบนั้นครับ ด้วยความคึกคะนอง อยู่ในสังคมมืด ก็เจอกับผู้หญิงคนนึง ก็คุยกัน คบกันไป จนมีลูกด้วยกันครับ ชีวิตเปลี่ยนครับ ตอนลูกผมเกิดผมก็โทรบอกเอเป็นคนแรกๆเลยครับ ก่อนเพื่อนผมอีก ผมออกมาจากตรงนั้น หางานทำ หยุดเรียน กลับไปสร้างครอบครัว พาลูกเมียกลับบ้านนอก ชีวิตก็ดีขึ้นครับ โตขึ้น มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
และด้วยโลก Social มันง่ายต่อการติดต่อ ก็เลยทำให้ผมมีการติดต่อกับเอบ้างเป็นบางครั้งบางคราว ในช่วงแรกๆที่ผมมีลูกมีครอบครัวใหม่ผมก็คุยกันตามประสาเพื่อน คราวผมรู้แน่ๆแล้วว่าเรื่องของผมกับเอมันไม่มีทางเป็นไปได้อีกต่อไปแล้ว มันเหลือแค่ความทรงจำดีๆเท่านั้น ผมก็เข้าใจดีครับ พยามคุยกันแบบเพื่อนมาตลอด ไม่มีมากมายไปกว่านี้ผมสาบานได้เลย จนพักนี้ผมเริ่มติดต่อกันถี่ขึ้นเรื่อยๆ คือคุยกันในแชททุกวันครับ คือแบบวันไหนไม่ได้คุยนี่เหมือนแปลกๆ แต่ผมกับแฟนก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนะครับ ยังรักกันดีอยู่
คงเพราะด้วยความที่ว่า ผมกับเอ ไม่ได้เริ่มต้นกันมาในฐานะเพื่อน มันเลยทำให้ลึกๆแล้วในใจผมมันก็ต้องมีบ้างที่จะรู้สึกดีกว่าคำว่าเพื่อน ผมก็เลยชวนเอไปทานข้าวครับ ตอนนั้นผมไปทำธุระที่กรุงเทพ เอก็อยู่กรุงเทพพอดี ก็เลยชวนกันไปทานข้าว แล้วก็แยกย้าย แค่นั้นจริงๆครับ มีครั้งที่ 1 มันก็ต้องมีครั้งที่ 2 ใช่มั้ยครับ หลังจากนั้นผมก็หาโอกาสชวนเธอไปเที่ยวอีก ไปเดินห้างบ้างเล็กๆน้อยๆแล้วก็กลับบ้านใครบ้านมัน จนล่าสดเมื่อ 2 วันที่แล้วผมมากรุงเทพ เอก็อยู่กรุงเทพ ผมก็เอาอีกแล้วครับ ชวนเธอเที่ยว แต่คราวนี้มีชวนไปดื่มด้วย
พอเหล้าเข้าปาก ทุกอย่างก็เริ่มเลยครับทีนี้ ผมเริ่มลำรึกความหลัง เริ่มคิดเยอะ ใจไม่ดีเหมือนตอนจีบกันใหม่ จนนั่ง Taxi พาเธอไปส่งที่บ้าน ผมจับมือเธอแล้วก็บอกว่าลึกๆแล้วก็ยังรักแกอยู่นะ เค้าตอบกลับมาเพียงว่าแกก็รู้ว่าชั้นคิดยังไง ยังไงมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว จบ เธอลงจากรถ ผมกลับบ้าน อีกวันมาหลังจากนั้น ทุกอย่างที่เคยเป็นเหมือนที่ผ่านๆมาเริ่มตึงครับ เธอไม่ค่อยตอบแชทผมจนผมรู้สึกได้ว่าต้องมีอะไรแน่ๆ ผมก็เลยถามไป สรุปได้ความมาว่า เค้าคิดว่าทั้งหมดที่ผ่านมามันไม่โอเคเลย การที่ทำแบบนี้มันเหมือนทำให้เค้ารู้สึกว่าเกลียดผู้ชาย เ ..ห...ี้...ยๆ มากขึ้นอีก แล้วทำให้เค้ารู้สึกว่าเค้าโอเคแล้วที่ไม่มีใครเลยในตอนนี้
จากจุดนั้นผมก็เข้าใจครับ สิ่งที่ผมทำมันผิดอย่างมหันต์ เป็นการทรยศครอบครัว ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ทำไม่ใช่เรื่องดีแต่ก็ยังทำเพียงเพราะแค่ตามใจความรู้สึกตัวเอง สุดท้ายเหมือนเราแกะแผลที่เรามีอ่ะครับ มันยิ่งทำให้เลือดออก เหมือนขุดความรู้สึกตัวเองทั้งๆที่ไม่จำเป็น แทนที่จะรักษามิตรภาพไว้ก็ดีอยู่แล้ว
เรื่องมันก็มีประมาณนี้แหละครับ อาจจะยาวไปนิด แต่ผมก็อยากระบายมันออกมาเฉยๆครับ เหมือนที่เขียนไว้ตอนต้นว่า อยากมาสารภาพบาปอ่ะครับ
ป.ล.สุดท้ายขอฝากไว้เลยครับ สุราไม่ใช่ที่พึ่งและไม่ใช่ทางออกของปัญหาครับ และครอบครัวคือสิ่งที่ดีและมีค่าที่สุดสำหรับเราครับ ฉะนั้นจงรักษามันไว้ให้ดีครับ ถ้าเกิดเรื่องของผมมันไม่ได้จบแบบนี้ ผมว่าชีวิตครอบครัวผมก็คงจบเพียงเพราะความรู้สึกโง่ๆของผมแน่ๆครับ
ขอบคุณที่อ่านครับ