เรื่องนี้ค่อนข้างยาวเลยค่ะ เล่างงๆก็ขออภัยด้วยนะคะ
สวัสดีค่ะทุกคน กระทู้นี้อยากขอพื้นที่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เพราะตอนนี้เราสับสนมากว่า จริงๆ แล้วเราผิดหรือว่าเพื่อนเรากำลังโยนความผิดมาให้เรา
เรื่องมันเริ่มจากว่า เรามีเพื่อนผู้หญิงคนนึง (ขอใช้นามสมมติว่า เอ) ความจริงเราไม่ได้สนิทกันมากนัก แค่รู้จักกันเฉยๆ แต่เมื่อ 5-6 ปีก่อน เอเคยชอบเพื่อนสนิทของเรา (ขอนามสมมติว่า บี) ซึ่งเป็นผู้ชายนะคะ ตอนนั้นเอถึงขั้นรุกจีบบีเต็มที่ แต่บีไม่ได้ชอบ ทำให้เอเสียใจหนักมาก หลังจากนั้นเอก็ตัดผมสั้น กลายเป็นทอม คบผู้หญิงมาตลอด และบีก็เลยกลายเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่เอเคยชอบ
เวลาผ่านไปหลายปี เรากับแก๊งเพื่อนบีมีแพลนไปเที่ยวกัน แล้วเอก็มาขอไปด้วย เพราะเพิ่งเลิกกับแฟนสาวที่คบกันมาเป็นปี เราก็โอเคเพราะคิดว่าคงไม่มีอะไรแล้ว แต่ปัญหาคือเอไม่มีรถมา และบ้านเอดันอยู่ในเส้นทางที่บีต้องผ่านพอดี เราเลยบอกให้บีไปรับ แต่เอทักมาบอกเราว่า “ไม่สะดวกใจ” ที่จะให้บีมารับ สุดท้ายเราเลยให้แฟนเราไปรับเอแทน
ระหว่างนั่งรถไปเที่ยว เราก็คุยกับเอเรื่องผู้ชายที่เอเพิ่งบอกว่าปลื้มที่มหาลัย คุยไปคุยมา เอกลับโยงไปเรื่องบี บอกว่ายังเจ็บปวดกับเรื่องเมื่อหลายปีก่อน แล้วก็ร้องไห้ออกมา พร้อมบอกว่าอยากลองใช้เวลากับบีอีกครั้งในฐานะเพื่อน เพราะตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่เคยได้คุยกันอีกเลย
ตอนนั้นบีที่นั่งอยู่ด้านหลังก็สังเกตเห็นเอร้องไห้ แล้วแอบมาถามเรา เราเลยเล่าให้ฟังว่าเอยังเสียใจอยู่ แต่ก็อยากใช้เวลาแบบเพื่อนกับบีในทริปนี้ เราก็บอกบีว่า “ลองชวนเอคุยบ้าง” ซึ่งบีก็ตกลง
ระหว่างทริป บีก็เริ่มชวนเอคุย ช่วยถือกระเป๋าเดินทาง เราเห็นก็คิดว่าดีแล้ว ทั้งสองคงเริ่มกลับมาสนิทกันบ้าง แต่เรื่องกลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะเอเข้ามาหาเราบอกว่า รู้สึกแปลกๆ เหมือนบีเข้ามาใส่ใจเกินไป ทำให้เอกำลังเริ่มรู้สึกดีอีกครั้ง และคิดว่ามัน ไม่แฟร์
เราฟังแล้วก็งงค่ะ… เพราะก่อนหน้านี้เอเพิ่งบอกว่าอยากใช้เวลากับบีในฐานะเพื่อน แต่พอบีเข้ามาคุย กลับบอกว่าทำให้รู้สึกไม่ดีอีก เราเลยพยายามอธิบายว่า บีทำแบบนี้กับเพื่อนผู้หญิงคนอื่นๆ เหมือนกัน ไม่ได้พิเศษกับเอหรอก แต่เอเถียงตลอด จนเรารู้สึกว่า จริงๆ แล้วเอไม่ได้อยากฟังคำแนะนำ แต่แค่อยากได้คำตอบที่ซัพพอร์ตความรู้สึกตัวเอง
ทีนี้เอก็ถามเราเพิ่มว่า บีมีคนคุยหรือเปล่า เราก็ตอบตามความจริงว่า “บีคุยไปเรื่อย” เพราะเราสนิทกับบีเลยรู้ดี แล้วเอพูดกลับมาว่า “บีเxี้ยเนอะ” เราเลยคิดว่าโอเค เอคงตัดใจแล้ว แต่ที่ไหนได้… พอตอนเย็นที่ต้องไปตลาดซื้อของปาร์ตี้ เอก็อาสาไป (เพราะตอนกลางวันที่ออกไปเที่ยวเรากับแฟนรถล้มเลยออกไปไม่ได้ค่ะ) และบีก็ขอไปด้วย เอก็ตอบตกลงโอเค
หลังจากนั้นเราสังเกตว่า บรรยากาศระหว่างเอกับบีเริ่มเปลี่ยนไป ทั้งนั่งใกล้กัน คุยกันเยอะขึ้น จนถึงขั้นตอนกลางคืนที่เราเดินเข้าไปในห้อง ตอนตีสอง เห็นบีกับเอนั่งดื่มเหล้าด้วยกันสองต่อสอง ห่มผ้าผืนเดียวกัน เราเลยยิ่งคิดว่า เอก็เต็มใจนี่นา ไม่ได้รู้สึก ขนลุกเวลาอยู่ใกล้ผู้ชาย อย่างที่เคยพูดกับเราเลย
จนวันกลับ บีอาสาไปส่งเอ เราก็เห็นว่าเอก็ดูยอมไปกับบีอย่างเต็มใจ เลยไม่ได้ให้แฟนเราไปส่งแทน แต่คืนนั้นเอง เอโทรหาเราแต่เราไม่ได้รับ พอเราว่างถึงได้รู้ว่าเอกำลังโทรคุยกับกลุ่มเพื่อนฝั่งตัวเองอยู่ และรอเราเข้ามา
ประเด็นคือ เอบอกเพื่อนว่าบีขอเป็นคนคุย เพื่อนๆ หลายคนพยายามเตือนว่าอย่าไปยุ่ง เพราะบีกะล่อน แต่เอไม่เชื่อ ต้องการคนมายืนยัน จนถึงตาเรา เราเลยพูดความจริงว่า “บีคุยไปเรื่อย ไม่จริงจัง”
แต่เอกลับเถียงตลอดเวลา บอกว่า “เรื่องนี้ถามบีมาแล้ว” “เรื่องนั้นบีก็เล่าแล้ว” เราเลยรู้สึกหงุดหงิดว่า ถ้าเชื่อบีมากกว่า แล้วจะถามเพื่อนทำไม?
สุดท้ายเอก็โยนความผิดใส่เรา บอกว่า
ทำไมเราไม่ห้าม ไม่คั่นกลาง
ทำไมเราไม่เป็นคนไปตลาดกับเอ
ทำไมเราไม่เรียกรถให้เอกลับบ้าน
ทำไมเราเอาแต่สนใจแฟน ไม่สนใจเอ
ทั้งที่ตอนนั้นเรากับแฟนยังเจ็บจากอุบัติเหตุรถล้ม และจริงๆ เราก็บอกเอแล้วตั้งแต่แรกว่า “บีคุยไปเรื่อย” แต่เอไม่ยอมเชื่อ
และเอยังบอกว่าเราพูดไม่เหมือนที่บีพูดเลย คือตอนที่เอมาเล่าให้เราฟังเรื่องที่เคยไปจีบบี เราเลยถามว่าเรื่องไหน
เอตอบว่า “เราบอกว่า ที่บีไม่ปฏิเสธเอในทันทีตอนถูกจีบ เพราะบีรู้สึกว่าชอบที่มีคนมาชอบ มันทำให้ดูพราวด์ดี” - อันนี้ประโยคของเอที่เอพูด
ทุกคนลองอ่านอีกประโยคนะคะ
“เราคิดว่า ที่บีไม่ปฏิเสธเอในทันทีตอนถูกจีบ อาจจะเพราะบีรู้สึกว่าชอบที่มีคนมาชอบ มันทำให้ดูพราวด์ดี” - อันนี้ประโยคที่เราพูด
แล้วเอก็บอกว่าเรากลับคำพูดตัวเอง ทั้งๆที่เราวิเคราะห์ในบริบทของเราแต่เอเอาไปเหมารวมว่า นี่คือคำพูดของบีจริงๆ
ทำไมเวลาเราพูดเราไม่แยกแยะ ตรงนี้เราเลยถามเอกลับว่าแล้วเลาคนอื่นพูด ไม่คิด วิเคราะห์ แยกแยะเลยหรอ ว่าอันไหนคือคำพูดจากบีจริงๆ อันไหนคือการวิเคราะห์ของเรา (หรือเราใช้รูปประโยคผิด แนะนำได้นะคะ)
เอยังโทษเราอีกว่า เราเป็นคนรื้อฟื้นเรื่องบีมาทำให้เอเจ็บ ซึ่งคือ เราถามเรื่องผู้ชายที่มหาลัยที่เอกำลังปลื้มๆอยู่ จากนั้นเอก็โยงไปถึงปมเรื่องบีว่ายังเจ็บปวดกับการจีบผู้ชายอยู่ เราเลยถามเอกลับว่าประโยคไหนที่เราเป็นฝ่ายรื้อฟื้น เผื่อเราพูดแล้วลืมเอง แต่เอกลับตอบว่า “จำไม่ได้” ทำให้เพื่อนในสายสนทนาตอนนั้นไม่มีใครเชื่อเอว่าเราเป็นคนรื้อฟื้นก่อน
เราบอกว่าเอเป็นคนเข้ามาปรึกษาเราเรื่องบีก่อน - พอจบประโยคนี่เอเถียงเรากลับมาว่า เอไม่ได้ขอคำปรึกษา เอต้องการความคิดเห็นจากเราเฉยๆ (มันไม่เหมือนกันหรอคะ วอนผู้รู้ตอบทีค่ะ)
ท้ายที่สุด เอบอกเราว่า “เราถีบเอลงนรก เพราะเรารู้ว่าบีเป็นยังไงแต่ไม่เตือน” แล้วก็ตัดสาย บล็อคเราทุกช่องทาง แถมด่ากราดเราผ่านแชทเพื่อน เพื่อนอธิบายไปเยอะมากๆ สุดท้ายจบที่คำว่า เอไม่สนใจเหตุผลอะไรของเราทั้งนั้น และดราม่า ร้องไห้ ว่าทำไมไม่มีใครเข้าใจเอเลย
เราเป็นคนผิดจริงๆ ไหมที่ไม่คั่นกลางหรือไม่ห้าม?
ขอความคิดเห็นจากชาวพันทิปหน่อยค่ะ 🙏
เจ็บกว่ารถล้ม คือโดนเพื่อนหาว่ากลับคำพูด และโยนความผิดใส่เราหมด
สวัสดีค่ะทุกคน กระทู้นี้อยากขอพื้นที่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เพราะตอนนี้เราสับสนมากว่า จริงๆ แล้วเราผิดหรือว่าเพื่อนเรากำลังโยนความผิดมาให้เรา
เรื่องมันเริ่มจากว่า เรามีเพื่อนผู้หญิงคนนึง (ขอใช้นามสมมติว่า เอ) ความจริงเราไม่ได้สนิทกันมากนัก แค่รู้จักกันเฉยๆ แต่เมื่อ 5-6 ปีก่อน เอเคยชอบเพื่อนสนิทของเรา (ขอนามสมมติว่า บี) ซึ่งเป็นผู้ชายนะคะ ตอนนั้นเอถึงขั้นรุกจีบบีเต็มที่ แต่บีไม่ได้ชอบ ทำให้เอเสียใจหนักมาก หลังจากนั้นเอก็ตัดผมสั้น กลายเป็นทอม คบผู้หญิงมาตลอด และบีก็เลยกลายเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่เอเคยชอบ
เวลาผ่านไปหลายปี เรากับแก๊งเพื่อนบีมีแพลนไปเที่ยวกัน แล้วเอก็มาขอไปด้วย เพราะเพิ่งเลิกกับแฟนสาวที่คบกันมาเป็นปี เราก็โอเคเพราะคิดว่าคงไม่มีอะไรแล้ว แต่ปัญหาคือเอไม่มีรถมา และบ้านเอดันอยู่ในเส้นทางที่บีต้องผ่านพอดี เราเลยบอกให้บีไปรับ แต่เอทักมาบอกเราว่า “ไม่สะดวกใจ” ที่จะให้บีมารับ สุดท้ายเราเลยให้แฟนเราไปรับเอแทน
ระหว่างนั่งรถไปเที่ยว เราก็คุยกับเอเรื่องผู้ชายที่เอเพิ่งบอกว่าปลื้มที่มหาลัย คุยไปคุยมา เอกลับโยงไปเรื่องบี บอกว่ายังเจ็บปวดกับเรื่องเมื่อหลายปีก่อน แล้วก็ร้องไห้ออกมา พร้อมบอกว่าอยากลองใช้เวลากับบีอีกครั้งในฐานะเพื่อน เพราะตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่เคยได้คุยกันอีกเลย
ตอนนั้นบีที่นั่งอยู่ด้านหลังก็สังเกตเห็นเอร้องไห้ แล้วแอบมาถามเรา เราเลยเล่าให้ฟังว่าเอยังเสียใจอยู่ แต่ก็อยากใช้เวลาแบบเพื่อนกับบีในทริปนี้ เราก็บอกบีว่า “ลองชวนเอคุยบ้าง” ซึ่งบีก็ตกลง
ระหว่างทริป บีก็เริ่มชวนเอคุย ช่วยถือกระเป๋าเดินทาง เราเห็นก็คิดว่าดีแล้ว ทั้งสองคงเริ่มกลับมาสนิทกันบ้าง แต่เรื่องกลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะเอเข้ามาหาเราบอกว่า รู้สึกแปลกๆ เหมือนบีเข้ามาใส่ใจเกินไป ทำให้เอกำลังเริ่มรู้สึกดีอีกครั้ง และคิดว่ามัน ไม่แฟร์
เราฟังแล้วก็งงค่ะ… เพราะก่อนหน้านี้เอเพิ่งบอกว่าอยากใช้เวลากับบีในฐานะเพื่อน แต่พอบีเข้ามาคุย กลับบอกว่าทำให้รู้สึกไม่ดีอีก เราเลยพยายามอธิบายว่า บีทำแบบนี้กับเพื่อนผู้หญิงคนอื่นๆ เหมือนกัน ไม่ได้พิเศษกับเอหรอก แต่เอเถียงตลอด จนเรารู้สึกว่า จริงๆ แล้วเอไม่ได้อยากฟังคำแนะนำ แต่แค่อยากได้คำตอบที่ซัพพอร์ตความรู้สึกตัวเอง
ทีนี้เอก็ถามเราเพิ่มว่า บีมีคนคุยหรือเปล่า เราก็ตอบตามความจริงว่า “บีคุยไปเรื่อย” เพราะเราสนิทกับบีเลยรู้ดี แล้วเอพูดกลับมาว่า “บีเxี้ยเนอะ” เราเลยคิดว่าโอเค เอคงตัดใจแล้ว แต่ที่ไหนได้… พอตอนเย็นที่ต้องไปตลาดซื้อของปาร์ตี้ เอก็อาสาไป (เพราะตอนกลางวันที่ออกไปเที่ยวเรากับแฟนรถล้มเลยออกไปไม่ได้ค่ะ) และบีก็ขอไปด้วย เอก็ตอบตกลงโอเค
หลังจากนั้นเราสังเกตว่า บรรยากาศระหว่างเอกับบีเริ่มเปลี่ยนไป ทั้งนั่งใกล้กัน คุยกันเยอะขึ้น จนถึงขั้นตอนกลางคืนที่เราเดินเข้าไปในห้อง ตอนตีสอง เห็นบีกับเอนั่งดื่มเหล้าด้วยกันสองต่อสอง ห่มผ้าผืนเดียวกัน เราเลยยิ่งคิดว่า เอก็เต็มใจนี่นา ไม่ได้รู้สึก ขนลุกเวลาอยู่ใกล้ผู้ชาย อย่างที่เคยพูดกับเราเลย
จนวันกลับ บีอาสาไปส่งเอ เราก็เห็นว่าเอก็ดูยอมไปกับบีอย่างเต็มใจ เลยไม่ได้ให้แฟนเราไปส่งแทน แต่คืนนั้นเอง เอโทรหาเราแต่เราไม่ได้รับ พอเราว่างถึงได้รู้ว่าเอกำลังโทรคุยกับกลุ่มเพื่อนฝั่งตัวเองอยู่ และรอเราเข้ามา
ประเด็นคือ เอบอกเพื่อนว่าบีขอเป็นคนคุย เพื่อนๆ หลายคนพยายามเตือนว่าอย่าไปยุ่ง เพราะบีกะล่อน แต่เอไม่เชื่อ ต้องการคนมายืนยัน จนถึงตาเรา เราเลยพูดความจริงว่า “บีคุยไปเรื่อย ไม่จริงจัง”
แต่เอกลับเถียงตลอดเวลา บอกว่า “เรื่องนี้ถามบีมาแล้ว” “เรื่องนั้นบีก็เล่าแล้ว” เราเลยรู้สึกหงุดหงิดว่า ถ้าเชื่อบีมากกว่า แล้วจะถามเพื่อนทำไม?
สุดท้ายเอก็โยนความผิดใส่เรา บอกว่า
ทำไมเราไม่ห้าม ไม่คั่นกลาง
ทำไมเราไม่เป็นคนไปตลาดกับเอ
ทำไมเราไม่เรียกรถให้เอกลับบ้าน
ทำไมเราเอาแต่สนใจแฟน ไม่สนใจเอ
ทั้งที่ตอนนั้นเรากับแฟนยังเจ็บจากอุบัติเหตุรถล้ม และจริงๆ เราก็บอกเอแล้วตั้งแต่แรกว่า “บีคุยไปเรื่อย” แต่เอไม่ยอมเชื่อ
และเอยังบอกว่าเราพูดไม่เหมือนที่บีพูดเลย คือตอนที่เอมาเล่าให้เราฟังเรื่องที่เคยไปจีบบี เราเลยถามว่าเรื่องไหน
เอตอบว่า “เราบอกว่า ที่บีไม่ปฏิเสธเอในทันทีตอนถูกจีบ เพราะบีรู้สึกว่าชอบที่มีคนมาชอบ มันทำให้ดูพราวด์ดี” - อันนี้ประโยคของเอที่เอพูด
ทุกคนลองอ่านอีกประโยคนะคะ
“เราคิดว่า ที่บีไม่ปฏิเสธเอในทันทีตอนถูกจีบ อาจจะเพราะบีรู้สึกว่าชอบที่มีคนมาชอบ มันทำให้ดูพราวด์ดี” - อันนี้ประโยคที่เราพูด
แล้วเอก็บอกว่าเรากลับคำพูดตัวเอง ทั้งๆที่เราวิเคราะห์ในบริบทของเราแต่เอเอาไปเหมารวมว่า นี่คือคำพูดของบีจริงๆ
ทำไมเวลาเราพูดเราไม่แยกแยะ ตรงนี้เราเลยถามเอกลับว่าแล้วเลาคนอื่นพูด ไม่คิด วิเคราะห์ แยกแยะเลยหรอ ว่าอันไหนคือคำพูดจากบีจริงๆ อันไหนคือการวิเคราะห์ของเรา (หรือเราใช้รูปประโยคผิด แนะนำได้นะคะ)
เอยังโทษเราอีกว่า เราเป็นคนรื้อฟื้นเรื่องบีมาทำให้เอเจ็บ ซึ่งคือ เราถามเรื่องผู้ชายที่มหาลัยที่เอกำลังปลื้มๆอยู่ จากนั้นเอก็โยงไปถึงปมเรื่องบีว่ายังเจ็บปวดกับการจีบผู้ชายอยู่ เราเลยถามเอกลับว่าประโยคไหนที่เราเป็นฝ่ายรื้อฟื้น เผื่อเราพูดแล้วลืมเอง แต่เอกลับตอบว่า “จำไม่ได้” ทำให้เพื่อนในสายสนทนาตอนนั้นไม่มีใครเชื่อเอว่าเราเป็นคนรื้อฟื้นก่อน
เราบอกว่าเอเป็นคนเข้ามาปรึกษาเราเรื่องบีก่อน - พอจบประโยคนี่เอเถียงเรากลับมาว่า เอไม่ได้ขอคำปรึกษา เอต้องการความคิดเห็นจากเราเฉยๆ (มันไม่เหมือนกันหรอคะ วอนผู้รู้ตอบทีค่ะ)
ท้ายที่สุด เอบอกเราว่า “เราถีบเอลงนรก เพราะเรารู้ว่าบีเป็นยังไงแต่ไม่เตือน” แล้วก็ตัดสาย บล็อคเราทุกช่องทาง แถมด่ากราดเราผ่านแชทเพื่อน เพื่อนอธิบายไปเยอะมากๆ สุดท้ายจบที่คำว่า เอไม่สนใจเหตุผลอะไรของเราทั้งนั้น และดราม่า ร้องไห้ ว่าทำไมไม่มีใครเข้าใจเอเลย
เราเป็นคนผิดจริงๆ ไหมที่ไม่คั่นกลางหรือไม่ห้าม?
ขอความคิดเห็นจากชาวพันทิปหน่อยค่ะ 🙏