เป็นเกย์พ่อแม่ก็ไม่ค่อยยอมรับ ให้ความหวังคนอื่นเหมือนจริงจัง พอเราจริงจังด้วยก็หนีไปจีบคนอื่น ไม่กลัวเวรกรรมหรอ? :'(

กระทู้สนทนา
สวัสดีนะทุกคน เรื่องราวที่เราจะบอกเล่าสู่กันฟัง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับเรา และด้วยความอัดอั้นมันทำให้เราไม่สบายใจ เครียด แค้น จนอยากระบายออกมาเล่าสู่กันฟังให้ทุกคนได้รู้ และอาจจะได้นำเรื่องราวของเราไปเป็นบทเรียนเพื่อไม่ให้ทำตาม ไม่ให้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง บางคนอาจจะเคยโดนมาแบบนี้เหมือนกับเรา เรื่องมีอยู่ว่า เราเป็นนิสิตอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรี แต่ภูมิลำเนาของเราอยู่จังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ ปกติเราเป็นคนชอบอยู่กับเพื่อน สนุกสนาน เฮฮา ตั้งแต่เข้ามาเรียนปี1 เมื่อพ.ศ.2554 และตั้งแต่ปี1 จนถึงปี3 เราไม่ค่อยชอบจีบใคร และไม่ชอบให้ใครมาจีบ เอ้อ เกือบลืมบอกไปว่า เราเป็นเพศชาย ที่ชอบเพศชายเหมือนกันนะ อิอิ และเพราะตอนนั้นเรามองว่า เรากลัวว่า ถ้าเราตกลงจริงจังกับใครเข้าสักคน เราเป็นคนรักจริง และเรื่องความรักพวกนี้อาจมาทำให้เราไม่มีกระจิตกระใจที่จะตั้งใจเรียน และอ่านหนังสือไปสอบ กลัวจะติดF นู่นนี่นั่น กลัวจบช้ากว่าเพื่อนๆ กลัวว่าต้องคบกับใคร รักคนแล้วเดี๋ยวก็ต้องมีวันเลิกรากัน เราจึงมักจะอยู่กับกลุ่มเพื่อน ไปไหนมาไหนก็ไปกับเพื่อนตลอด แต่และแล้ว เรื่องที่เรากลัวตั้งแต่ปี1ก็ได้มาเกิดขึ้นจริงตอนปี4 ซึ่งเป็นปีที่ควรจะมีกระจิตกระใจที่จะตั้งใจเรียนให้มากที่สุดเพราะเป็นปีสุดท้ายของชีวิตมหาวิทยาลัยก็จะจบแล้ว จึงควรตั้งใจเรียนเพื่อไปทำงาน แต่ทว่าทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อเราได้เริ่มคุยจีบกับรุ่นน้องคนหนึ่ง เรียนคณะเดียวกัน น้องเขาเข้ามาคุยเชิงปฏิสัมพันธ์ด้วยตั้งแต่ตอน ปิดเทอมปี3กำลังขึ้นปี4 เพราะพวกเรามีความคิดทางการเมืองที่ค่อนข้างตรงกัน จากที่คุยเรื่องการเมืองกัน จนกระทั่งได้เริ่มเปลี่ยนเป็นคุยเรื่องอื่นกับน้อง คำพูดคำจาของน้องเขา ก็ค่อนข้างที่จะออกไปในแนวจีบ บอกตรงๆเลยว่า ณ ตอนนั้น เราก็เริ่มที่จะมีใจให้น้องเขา เพราะว่าจากเดิมที่ไม่อยากมีใคร ไม่อยากจีบใคร ไม่อยากให้ใครมาจีบตั้งแต่ปี1 เพราะกลัวว่าถ้าเรารักใครเข้าจริงจัง เดี๋ยวสักวันก็ต้องเลิกรากัน ซึ่งเรากลัวการสูญเสียเป็นที่สุด แต่แล้วเราก็ตระหนักคิดได้ว่า ถ้าเราไม่อยากรักใคร ไม่อยากคบใคร เพียงเพราะว่ากลัวการเลิกรา กลัวการสูญเสีย เปรียบเหมือนว่า “สักวันหนึ่งจะต้องตายจากโลกนี้ไป แล้วจะหายใจไปทำไมในตอนนี้ ในเมื่อรู้ว่าสักวันจะต้องตาย?” ก็เพราะว่า การดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เรามองว่ามันคือการ “เรียนรู้” ในเรื่องราวต่างๆทั้งในด้านดี ด้านมดี ด้านสุข ด้านทุกข์ในแต่ละวันที่ผ่านมาในชีวิตไงล่ะ เรียนรู้ว่าความหมายของชีวิตเราคืออะไร เราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อใคร ความหมายของชีวิตคืออะไร ดังนั้น เราจึงเริ่มเปิดใจ ที่จะลองคุยกับน้องคนนั้น และไหนๆซะ เราก็อยู่ปี4แล้ว ถ้าชีวิตคือการเรียนรู้ ประสบการณ์ในการมีความรักกับใครสักคนในขณะที่ยังเป็นนิสิตในมหาวิทยาลัย ก็คือการเรียนรู้เช่นเดียวกัน (และปกติเราเป็นคนที่ชอบรุ่นพี่ ชอบคนอายุมากกว่าตั้งแต่ม.ต้น ม.ปลายแล้ว ไม่ค่อยได้คุยอะไรเชิงจีบกับรุ่นน้องเลย จนมาอยู่ปี4 สงสัยว่าเราแก่สุดในมหาลัยแล้ว ไม่มีรุ่นพี่ มีเราเป็นรุ่นพี่ใหญ่สุด เลยมีแต่คุยกับเด็ก รุ่นน้อง)
หลังจากที่เราเริ่มคุยกับน้องคนนั้นไปได้สักระยะหนึ่ง เราก็คุยกันทุกวัน ทุกวัน เรื่อยๆ จนเราบอกได้เลยว่า เรารู้สึกดีกับน้องคนนี้เอามากๆ เรามีความสุขที่ได้ถามน้องเขา ว่าทำอะไรอยู่ มีเรียนไหม สอบวันไหน ง่วงนอนยัง ตื่นนอนหรือยัง เรามีความสุขที่จะถามสารทุกข์สุกดิบของน้องเขาในทุกๆวัน จนเริ่มแปลเปลี่ยนเป็นความรัก(ซึ่งไม่รู้ว่าตอนนั้นเราคิดไปเองฝ่ายเดียวหรือเปล่า)  แม้ว่าเรากับน้องเขาจะยังไม่เคยมีโอกาสได้นั่งคุยกันสองต่อสองอย่างจริงจังเลย แล้วเราก็คุยกันไป คุยกันมาเรื่อยๆ จนมีบางบทสนทนาที่น้องเขาชวนไปคุยในเรื่องเกี่ยวกับเพศวิถีอยู่บ้าง แต่สำหรับเรา เรามองเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะว่า “มนุษย์ทุกคนล้วนเกิดขึ้นมาจากความใคร่”
สวัสดีนะทุกคน เรื่องราวที่เราจะบอกเล่าสู่กันฟัง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับเรา และด้วยความอัดอั้นมันทำให้เราไม่สบายใจ เครียด แค้น จนอยากระบายออกมาเล่าสู่กันฟังให้ทุกคนได้รู้ และอาจจะได้นำเรื่องราวของเราไปเป็นบทเรียนเพื่อไม่ให้ทำตาม ไม่ให้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง บางคนอาจจะเคยโดนมาแบบนี้เหมือนกับเรา เรื่องมีอยู่ว่า เราเป็นนิสิตอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรี แต่ภูมิลำเนาของเราอยู่จังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ ปกติเราเป็นคนชอบอยู่กับเพื่อน สนุกสนาน เฮฮา ตั้งแต่เข้ามาเรียนปี1 เมื่อพ.ศ.2554 และตั้งแต่ปี1 จนถึงปี3 เราไม่ค่อยชอบจีบใคร และไม่ชอบให้ใครมาจีบ เอ้อ เกือบลืมบอกไปว่า เราเป็นเพศชาย ที่ชอบเพศชายเหมือนกันนะ อิอิ และเพราะตอนนั้นเรามองว่า เรากลัวว่า ถ้าเราตกลงจริงจังกับใครเข้าสักคน เราเป็นคนรักจริง และเรื่องความรักพวกนี้อาจมาทำให้เราไม่มีกระจิตกระใจที่จะตั้งใจเรียน และอ่านหนังสือไปสอบ กลัวจะติดF นู่นนี่นั่น กลัวจบช้ากว่าเพื่อนๆ กลัวว่าต้องคบกับใคร รักคนแล้วเดี๋ยวก็ต้องมีวันเลิกรากัน เราจึงมักจะอยู่กับกลุ่มเพื่อน ไปไหนมาไหนก็ไปกับเพื่อนตลอด แต่และแล้ว เรื่องที่เรากลัวตั้งแต่ปี1ก็ได้มาเกิดขึ้นจริงตอนปี4 ซึ่งเป็นปีที่ควรจะมีกระจิตกระใจที่จะตั้งใจเรียนให้มากที่สุดเพราะเป็นปีสุดท้ายของชีวิตมหาวิทยาลัยก็จะจบแล้ว จึงควรตั้งใจเรียนเพื่อไปทำงาน แต่ทว่าทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อเราได้เริ่มคุยจีบกับรุ่นน้องคนหนึ่ง เรียนคณะเดียวกัน น้องเขาเข้ามาคุยเชิงปฏิสัมพันธ์ด้วยตั้งแต่ตอน ปิดเทอมปี3กำลังขึ้นปี4 เพราะพวกเรามีความคิดทางการเมืองที่ค่อนข้างตรงกัน จากที่คุยเรื่องการเมืองกัน จนกระทั่งได้เริ่มเปลี่ยนเป็นคุยเรื่องอื่นกับน้อง คำพูดคำจาของน้องเขา ก็ค่อนข้างที่จะออกไปในแนวจีบ บอกตรงๆเลยว่า ณ ตอนนั้น เราก็เริ่มที่จะมีใจให้น้องเขา เพราะว่าจากเดิมที่ไม่อยากมีใคร ไม่อยากจีบใคร ไม่อยากให้ใครมาจีบตั้งแต่ปี1 เพราะกลัวว่าถ้าเรารักใครเข้าจริงจัง เดี๋ยวสักวันก็ต้องเลิกรากัน ซึ่งเรากลัวการสูญเสียเป็นที่สุด แต่แล้วเราก็ตระหนักคิดได้ว่า ถ้าเราไม่อยากรักใคร ไม่อยากคบใคร เพียงเพราะว่ากลัวการเลิกรา กลัวการสูญเสีย เปรียบเหมือนว่า “สักวันหนึ่งจะต้องตายจากโลกนี้ไป แล้วจะหายใจไปทำไมในตอนนี้ ในเมื่อรู้ว่าสักวันจะต้องตาย?” ก็เพราะว่า การดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เรามองว่ามันคือการ “เรียนรู้” ในเรื่องราวต่างๆทั้งในด้านดี ด้านมดี ด้านสุข ด้านทุกข์ในแต่ละวันที่ผ่านมาในชีวิตไงล่ะ เรียนรู้ว่าความหมายของชีวิตเราคืออะไร เราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อใคร ความหมายของชีวิตคืออะไร ดังนั้น เราจึงเริ่มเปิดใจ ที่จะลองคุยกับน้องคนนั้น และไหนๆซะ เราก็อยู่ปี4แล้ว ถ้าชีวิตคือการเรียนรู้ ประสบการณ์ในการมีความรักกับใครสักคนในขณะที่ยังเป็นนิสิตในมหาวิทยาลัย ก็คือการเรียนรู้เช่นเดียวกัน (และปกติเราเป็นคนที่ชอบรุ่นพี่ ชอบคนอายุมากกว่าตั้งแต่ม.ต้น ม.ปลายแล้ว ไม่ค่อยได้คุยอะไรเชิงจีบกับรุ่นน้องเลย จนมาอยู่ปี4 สงสัยว่าเราแก่สุดในมหาลัยแล้ว ไม่มีรุ่นพี่ มีเราเป็นรุ่นพี่ใหญ่สุด เลยมีแต่คุยกับเด็ก รุ่นน้อง)
หลังจากที่เราเริ่มคุยกับน้องคนนั้นไปได้สักระยะหนึ่ง เราก็คุยกันทุกวัน ทุกวัน เรื่อยๆ จนเราบอกได้เลยว่า เรารู้สึกดีกับน้องคนนี้เอามากๆ เรามีความสุขที่ได้ถามน้องเขา ว่าทำอะไรอยู่ มีเรียนไหม สอบวันไหน ง่วงนอนยัง ตื่นนอนหรือยัง เรามีความสุขที่จะถามสารทุกข์สุกดิบของน้องเขาในทุกๆวัน จนเริ่มแปลเปลี่ยนเป็นความรัก(ซึ่งไม่รู้ว่าตอนนั้นเราคิดไปเองฝ่ายเดียวหรือเปล่า)  แม้ว่าเรากับน้องเขาจะยังไม่เคยมีโอกาสได้นั่งคุยกันสองต่อสองอย่างจริงจังเลย แล้วเราก็คุยกันไป คุยกันมาเรื่อยๆ จนมีบางบทสนทนาที่น้องเขาชวนไปคุยในเรื่องเกี่ยวกับเพศวิถีอยู่บ้าง แต่สำหรับเรา เรามองเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะว่า “มนุษย์ทุกคนล้วนเกิดขึ้นมาจากความใคร่”
  เราสองคนคุยกันไปมาเรื่อยๆ และมีอยู่วันหนึ่ง(จันทร์ที่13ตุลาคม พ.ศ.2557) ระหว่างที่กำลังนั่งเรียนอยู่ น้องเขาก็แอบหันมามองเรา แล้วส่งข้อความแชทมาว่า “ตั้งใจเรียนนะ” พร้อมทั้งส่งรูปหัวเราะมา ตอนนั้น เรารู้สึกดีใจมากๆนะ ที่น้องเค้ามาทักเราแบบนี้ <3
และเมื่อ1วันก่อนที่เราจะนัดน้องไปนั่งคุยกัน คืนวันพฤหัสที่16ตุลาคม พ.ศ.2557 น้องเขาทักแชทมาคุยLineกับเรา แล้วถามเรา แบบที่เราดีใจอิ่มเอิบสุดๆเมื่อเห็นคำพูดนี้ของน้องเขา คือ  “พี่จะไปต่างประเทศเมื่อไหร่?” “ กำลังคิดว่าจะใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มยังไงดี”


เมื่อเราเห็นน้องเขาพูดแบบนี้ เราเลยคิดว่า น้องเขาต้องคิดจริงจังกับเราเข้าแล้วสิ เพราะเรากลัวว่า เกิดน้องเขาจริงจังกับเราจริงๆ แล้วเราแค่เล่นๆ จะเป็นบาปกรรมกับเรานะ จนกระทั่งเราตัดสินใจที่จะนัดน้องเขาไปกินเหล้าด้วยกันที่ริมหาด และเมื่อถึงวันที่นัดกัน(ศุกร์ที่17ตุลาคม พ.ศ.2557) ตอนกลางวันของวันนั้น เราตัดสินใจไปซื้อน้ำหอมอันใหม่ กลิ่นใหม่ ลองแล้วลองอีก
ว่ากลิ่นไหนกันน้อ จะทำให้น้องเขาประทบใจเมื่อไก้อยู่ใกล้เรา เพราะเราจริงจังมากๆกับการนัดกับน้องเขาครั้งนี้ เราต้องการสร้างความประทับใจครั้งแรกที่ได้พบเจอกันอย่างใกล้ชิด ^^
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่