คิดอยู่นานมาก ว่าจะเอาเหตุการณ์นี้มาลงในเว็ปดีรึป่าว แต่ด้วยความตัดสินใจที่คิดจะลง เพราะตลอดเวลาที่อยู่ในความสัมพันธ์ เราได้ไตร่ตรอง และ พูดคุยกันมาตลอด โดยที่เรามั่นใจว่า เราจริงจัง และ ชัดเจน ในการพูดคุยเสมอ เรียกว่า Deep talk เลยก็ว่าได้ ด้วยความที่เรา ไม่อยากดึงเวลาไว้นาน เพราะ ความสัมพันธ์ระหว่าง ต่างเพศ มันไม่ควรเกิดขึ้นนานเกินไป แต่ด้วยสังคมสมัยนี้ และ บ้านเมืองเรา มันคงเป็นไปได้ยากที่จะไม่คุยกันบ้างเลย อย่างน้อย่ก็ช่วงเวลานึง ...แต่ความสัมพันธ์นี้ เกิดขึ้นในออนไลน์ และ เป็นความสัมพันธ์ทางไกล เวลาก็ยิ่งยาวไกลเข้าไปอีก ...เข้าเรื่องเลยนะคะ
เรารู้จักกับคนนี้ ผ่านทางออนไลน์ ด้วยจุดประสงค์ที่เราต้องการฝึกภาษาอังกฤษ เพื่อไม่ให้ลืมการใช้รูปประโยค และ รู้กล้าพูด โดยไม่กังวล ทำให้เรารู้จักกัน และทางนั้นก็ได้พูดโดยชัดเจนว่าสนใจ ในตัวเรา ซึ่งก็เป็นปกติที่ต่างชาติส่วนมาก จะพูดจาตรงไปตรงมาชัดเจน และด้วยนิสัยของเรา ก็เป็นคนที่ชัดเจนมากเช่นกัน เราเลยบอกว่า ถ้าสนใจ ก็มาขอกับพ่อแม่เลย ...ที่เราพูดออกไปแบบนั้น เพราะ.......อ่อเราลืมบอกว่า เค้าเป็นคนแคชเมียร์ ประเทศอินเดีย นับถือศาสนาอิสลาม ที่เราพูดไปแบบนั้น เพราะเอาจริงๆ การที่คนจะเดินทางมาหาเราเลยยยยย.......มันน่าจะเป็นไปได้ยาก ถ้าเค้าไม่จริงจังกับเราขนาดนั้น ในช่วงอาทิตย์แรกเราจะสังเกตุพฤติกรรมมากเป็นพิเศษ และ เราก็จะเป็นคนตัดสินใจว่าจะเดินต่อ หรือ จะแยกย้าย ก็ตอน อาทิตย์แรกนี้ได้เลย เราอธิบายไม่ได้ว่าทำไม แต่ที่เราตัดสินเร็ว เพราะเราไม่อยากให้เวลาเลยไปมาก ... วันแรกที่คุยกัน ทางเค้าก็ขอเปิดกล้อง ซึ่งเราก็ไม่ได้ติดอะไร เราไม่ได้คาดหวังอะไรเลยในช่วงแรกที่คุยกัน แค่สังเกตุพฤติกรรม แต่อย่างนึงที่เราเห็นคือ สูบบุหรี่ ....แล้วเราก็บอกเลยว่า ถ้าคิดจะแต่งงานด้วย เราไม่ชอบคนสูบบุหรี่ ... เค้าก็บอกว่า เค้าอยากจะเลิกอยู่แล้ว แต่ขอเวลาหน่อย ...เราก็โอเค เพราะ บุหรี่ จากที่เรารู้ มันก็เลิกไม่ได้ง่ายๆ และอีกอย่าง ความคิดเริ่มต้น ความสัมพันธ์นี้คือ เราทุกคนก็ไม่ได้ดีไปซะหมด ก็ได้แย่ซะหมด ทุกอย่าง อาจต้องใช้เวลา ......ใช่ มันต้องใช้เวลา และต้องให้เวลา เราก็ค่อยสังเกตุ พฤติกรรมประจำวันเค้า เพราะด้วยเค้า ก็ชอบโทรมาหาบ่อยๆ ส่วนเราเอง เราทำงานฟรีแลนซ์อยู่กับบ้าน มันเลนทำให้เรามีเวลาคุยกัน เค้าทำงานเซลล์ ก็มีเวลาช่วงไม่ต้องไปเจอลูกค้า โฟกัสแค่การทำยอด ก็ประมาณนี้ และ สิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจให้เวลากับความสัมพันธ์นี้ คือ การที่เค้าให้เกียรติเราเสมอ ในทุกๆสถาการณ์ คำว่าให้เกียรติ มันครอบคลุมทุกอย่างจริงๆ และ ความใจเย็นของเค้าด้วย หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน เราเริ่มสังเกตุเรื่อง ศาสนา เพราะเราทั้งสองคน นับถือศาสนาอิสลาม การปฏิบัติจะไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่ นั่นคือ การละหมาด และ เค้าก็ไม่ได้ละหมาดครบ เราเริ่มเอ่ยถึงพฤติกรรมนี้ เพราะมันคือการเตือน ในเรื่องสิ่งที่ต้องทำ และไม่ว่า เราสองคน จะแต่งหรือไม่แต่งงานกัน แต่เค้าต้องทำ ....แต่เราสองคนเป็นเพื่อนกัน ก็ต่างคน ต่างจัดการชีวิตตัวเองเลย เราจะไม่ก้าวก่าย เราพูดกับเค้าแบบนี้ .....นี่คือความชัดเจนของเรา เราไม่ค่อยปล่อยผ่าน เพราะมนุษย์เรื่องจริงจังและหลักปฏิบัตินี้ บอกเลยว่า.......บางคน มันยากกกกก จริงๆ แต่ก็อยู่ช่วงเวลาที่เราให้เวลาเค้า เพราะเราเองก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไรมาก ก็ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองมาตลอด และ คาดหวังว่าจะมีผู้นำที่ดีในชีวิตเหมือนกัน .................และเวลาก็ผ่านไป 1 ปี ........2 ปี บอกเลยว่า ก็ยังต้องจ่ำจี้จ่ำไช กันตลอดเรื่องละหมาด แต่เรื่อง การพูดคุยเรื่องอื่นๆ การใช้ชีวิต การทำธุรกิจ เรื่องพวกนั้น ที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา มันเป็นไปด้วยดี เพราะต่างคนต่างสนใจ เรื่องทำธุรกิจเหมือนกัน .................และ ด้วยที่เค้าเคยลงทุนกับเพื่อนแล้วถูกเพื่อนโกงมา เราเลยซักถามเรื่องราวต่างๆ จนได้รู้ว่า ไม่ได้สัญญาลงทุนกัน ทำให้เราพูดกับเค้าไปแบบ ก็........ตรงเกิ้น ว่า........มันไม่ใช่วิธีของคนที่ฉลาดทำงานเท่าไหร่ กับการไม่ทำสัญญากับหุ้นส่วน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นเพื่อนที่โตกันมาก็ตาม ..............เค้าก็บอกกับเราว่า ไม่เคยมีใครพูดรงกับเค้าแบบนี้ เค้ายอมรับ ว่าเค้าไม่เคยคิดเรื่องนี้จริงๆ เค้าไม่มีคนที่จะปรึกษา เพราะเค้าไม่รู้ว่าคนที่เข้ามา จะมาหวังผลประโยชน์อะไรกับเค้ามั๊ย มันก็มีแค่เพื่อนเค้า ที่เค้าเองก็ไม่คิดว่า เพื่อนจะทำกับเค้าแบบนี้............................*** นอกเรื่อง จริงๆการที่เค้าจะไม่มีที่ปรึกษาแบบจริงจัง หรือ แบบ Deep talk เลย มันไม่แปลก เพราะวัฒนธรรมบ้านเค้า ก็ไม่ค่อยมีเพศตรงข้าม คุยกันได้นานๆหรอก เพราะมันเป็นกฏของอิสลาม ที่ไม่ให้ทำ .................ต่อนะ มันเลยยิ่งทำให้เราสนิทกันมากขึ้น เพราะเราคุยกันได้ทุกเรื่อง เรื่องเที่ยว เรื่องงาน เรื่องลงทุน เรื่องทำธุรกิจ เรื่องวัฒนธรรม เพราะเราเองก็สนใจ สังคม วัฒนธรรม ต่างเมือง ต่างที่ ต่างถิ่นอยู่ไม่น้อย...................จนเข้าปีที่ 3 เรารู้สึกว่า เราใช้เวลากันมานานมากแล้ว เราคุยกันเรื่องแต่งงานกันแล้ว พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้ และ ต่างคนต่างก็เห็นกันแล้ว เราตั้งใจว่า ถ้าเค้าไม่มาภายในปีนี้ ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตาม เราจะจบความสัมพันธ์โดยทันที แล้วช่วงเดือนเมษายนของปีนี้ เป็นต้นมา เค้าทำบ้านใหม่ เค้ามีเรื่องต่างๆ เกินขึ้นในระหว่างทาง เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย และมีที่เค้ามาปรึกษาเรา เราเริ่มรู้สึกว่า ผู้ชายคนนี้เราต้องผลักดันเค้าตลอด มันเหมือนเค้าคิดเองไม่ได้ .................แต่ ก็ไม่ใช่แค่นั้น พอเราแนะนำวิธีการ หรือ หนทางให้ เค้าก็จะ ปฎิเสธ ...............แล้วเราก็เลย งง ว่า แล้วมาถามเราทำไม จนรู้เริ่มเบื่อหน่ายและ ...............และเรื่องการละหมาดก็ไม่ได้ดีขึ้นด้วย สูบบุหรี่ก็ไม่เลิก ต่อรองกันมาเป็นปี เราทักตลอดเวลา เวลาคุยกันแล้วสูบบุหรี่ เราไม่ชอบ และ ก็ไม่อยากเห็นด้วย คุยเรื่องนี้เหมือนผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ จนเมื่อ อาทิตย์ที่ผ่าน มันก็ช่วงต้นเดือน พฤศจิกายน เนอะ มันก็แค่อีก 2 เดือน ก็จะหมดปีแล้ว เรายังไม่เห็นสัญญาณการจอตั๋ว หรือ การพูดคุยใดๆ เกี่ยวกับการจะมาไทยเลย เราก็เลยถาม .............และเราก็ยังเห็นเค้าสูบบุหรี่อยู่ เราคิดในใจ เราว่ามันไม่ได้แล้วละ 2 เดือน ถ้าเลิกบุหรี่ได้คือ ต้องหักดิบอย่างเดียว แต่ทีท่า มันไม่มีให้เห็น เราเลยถามไปตรงๆว่า จะเริ่มละหมาดได้เมื่อไหร่ จะเลิกบุรี่ได้เมื่อไหร่ ......................คำตอบที่ได้คือ ถ้าไปที่โน่น เดี่ยวก็จะทำทุำอย่างได้เอง .......................มันเป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีทาง เพราะตลอดเวลา 3 ปี ตั้งแต่ช่วงแรก เราคุยกันเสมอ คุยกันตลอด สำหรับเรา ไม่เคยลกละ ไม่เคยยอมเลย ไม่มีทางยอมรับ แต่ยอมให้เวลา จนล่วงเลยมา จะ 3 ปีแล้ว .....................................สุดท้าย เราบอกว่า ถ้างั้น ยกเลิกเรื่องแต่งงานเถอะ มันไม่น่าจะเป็นไปได้ ...............คำตอบเค้าคือ As you wish .............เราก็ตแค่สั้นๆ Bye ......................และกลับมาคุยกับตัวเอง นี่กูรออะไรเนี่ย กูใจเย็นไปเหรอ ...................แต่จริงๆแล้วเปล่าหรอก เราแค่ให้เวลาเค้า เพราะการที่คนเราปรับปรุงตุวเอง มันก็ต้องใช้เวลา และ ความคิดมาก ทั้งนั้นแหละ ....................เรากลับมารู้สึกเบาหัวอีกครั้ง เบาอย่างบอกไม่ถูก เราไม่ได้บล็อคช่องทางที่เราคุยกัน เพราะเราจะทำให้ตัวเองรู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องหนี เราก็อยู่ได้ เพราะใจเราไม่เหลืออะไรแล้ววววว แต่เป็นเค้าที่พยายามเข้ามาคุย แล้วเรก็เตือนแล้วว่า ุ่าไม่หยุดส่งข้อความ เราจะบล็อค เค้าก็บอกว่าโอเค อีโก้ยังมี ไม่ขอร้องอะไรเรา แต่ชอบส่ง โน่นนี่นั่นมาให้ดู แต่สุดท้ายเตือนไม่ฟัง ก็ต้องบล็อคทุกช่องไป ..................ไม่เหลืออะไรไว้เลย ไม่รู้สึกอะไรเลย
ความสัมพันธ์ 3 ปี ความสัมพันธ์ทางไกล และ สุดท้ายต้องต่างคนต่างแยกย้าย (ความสัมพันธ์มุสลิม)
เรารู้จักกับคนนี้ ผ่านทางออนไลน์ ด้วยจุดประสงค์ที่เราต้องการฝึกภาษาอังกฤษ เพื่อไม่ให้ลืมการใช้รูปประโยค และ รู้กล้าพูด โดยไม่กังวล ทำให้เรารู้จักกัน และทางนั้นก็ได้พูดโดยชัดเจนว่าสนใจ ในตัวเรา ซึ่งก็เป็นปกติที่ต่างชาติส่วนมาก จะพูดจาตรงไปตรงมาชัดเจน และด้วยนิสัยของเรา ก็เป็นคนที่ชัดเจนมากเช่นกัน เราเลยบอกว่า ถ้าสนใจ ก็มาขอกับพ่อแม่เลย ...ที่เราพูดออกไปแบบนั้น เพราะ.......อ่อเราลืมบอกว่า เค้าเป็นคนแคชเมียร์ ประเทศอินเดีย นับถือศาสนาอิสลาม ที่เราพูดไปแบบนั้น เพราะเอาจริงๆ การที่คนจะเดินทางมาหาเราเลยยยยย.......มันน่าจะเป็นไปได้ยาก ถ้าเค้าไม่จริงจังกับเราขนาดนั้น ในช่วงอาทิตย์แรกเราจะสังเกตุพฤติกรรมมากเป็นพิเศษ และ เราก็จะเป็นคนตัดสินใจว่าจะเดินต่อ หรือ จะแยกย้าย ก็ตอน อาทิตย์แรกนี้ได้เลย เราอธิบายไม่ได้ว่าทำไม แต่ที่เราตัดสินเร็ว เพราะเราไม่อยากให้เวลาเลยไปมาก ... วันแรกที่คุยกัน ทางเค้าก็ขอเปิดกล้อง ซึ่งเราก็ไม่ได้ติดอะไร เราไม่ได้คาดหวังอะไรเลยในช่วงแรกที่คุยกัน แค่สังเกตุพฤติกรรม แต่อย่างนึงที่เราเห็นคือ สูบบุหรี่ ....แล้วเราก็บอกเลยว่า ถ้าคิดจะแต่งงานด้วย เราไม่ชอบคนสูบบุหรี่ ... เค้าก็บอกว่า เค้าอยากจะเลิกอยู่แล้ว แต่ขอเวลาหน่อย ...เราก็โอเค เพราะ บุหรี่ จากที่เรารู้ มันก็เลิกไม่ได้ง่ายๆ และอีกอย่าง ความคิดเริ่มต้น ความสัมพันธ์นี้คือ เราทุกคนก็ไม่ได้ดีไปซะหมด ก็ได้แย่ซะหมด ทุกอย่าง อาจต้องใช้เวลา ......ใช่ มันต้องใช้เวลา และต้องให้เวลา เราก็ค่อยสังเกตุ พฤติกรรมประจำวันเค้า เพราะด้วยเค้า ก็ชอบโทรมาหาบ่อยๆ ส่วนเราเอง เราทำงานฟรีแลนซ์อยู่กับบ้าน มันเลนทำให้เรามีเวลาคุยกัน เค้าทำงานเซลล์ ก็มีเวลาช่วงไม่ต้องไปเจอลูกค้า โฟกัสแค่การทำยอด ก็ประมาณนี้ และ สิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจให้เวลากับความสัมพันธ์นี้ คือ การที่เค้าให้เกียรติเราเสมอ ในทุกๆสถาการณ์ คำว่าให้เกียรติ มันครอบคลุมทุกอย่างจริงๆ และ ความใจเย็นของเค้าด้วย หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน เราเริ่มสังเกตุเรื่อง ศาสนา เพราะเราทั้งสองคน นับถือศาสนาอิสลาม การปฏิบัติจะไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่ นั่นคือ การละหมาด และ เค้าก็ไม่ได้ละหมาดครบ เราเริ่มเอ่ยถึงพฤติกรรมนี้ เพราะมันคือการเตือน ในเรื่องสิ่งที่ต้องทำ และไม่ว่า เราสองคน จะแต่งหรือไม่แต่งงานกัน แต่เค้าต้องทำ ....แต่เราสองคนเป็นเพื่อนกัน ก็ต่างคน ต่างจัดการชีวิตตัวเองเลย เราจะไม่ก้าวก่าย เราพูดกับเค้าแบบนี้ .....นี่คือความชัดเจนของเรา เราไม่ค่อยปล่อยผ่าน เพราะมนุษย์เรื่องจริงจังและหลักปฏิบัตินี้ บอกเลยว่า.......บางคน มันยากกกกก จริงๆ แต่ก็อยู่ช่วงเวลาที่เราให้เวลาเค้า เพราะเราเองก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไรมาก ก็ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองมาตลอด และ คาดหวังว่าจะมีผู้นำที่ดีในชีวิตเหมือนกัน .................และเวลาก็ผ่านไป 1 ปี ........2 ปี บอกเลยว่า ก็ยังต้องจ่ำจี้จ่ำไช กันตลอดเรื่องละหมาด แต่เรื่อง การพูดคุยเรื่องอื่นๆ การใช้ชีวิต การทำธุรกิจ เรื่องพวกนั้น ที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา มันเป็นไปด้วยดี เพราะต่างคนต่างสนใจ เรื่องทำธุรกิจเหมือนกัน .................และ ด้วยที่เค้าเคยลงทุนกับเพื่อนแล้วถูกเพื่อนโกงมา เราเลยซักถามเรื่องราวต่างๆ จนได้รู้ว่า ไม่ได้สัญญาลงทุนกัน ทำให้เราพูดกับเค้าไปแบบ ก็........ตรงเกิ้น ว่า........มันไม่ใช่วิธีของคนที่ฉลาดทำงานเท่าไหร่ กับการไม่ทำสัญญากับหุ้นส่วน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นเพื่อนที่โตกันมาก็ตาม ..............เค้าก็บอกกับเราว่า ไม่เคยมีใครพูดรงกับเค้าแบบนี้ เค้ายอมรับ ว่าเค้าไม่เคยคิดเรื่องนี้จริงๆ เค้าไม่มีคนที่จะปรึกษา เพราะเค้าไม่รู้ว่าคนที่เข้ามา จะมาหวังผลประโยชน์อะไรกับเค้ามั๊ย มันก็มีแค่เพื่อนเค้า ที่เค้าเองก็ไม่คิดว่า เพื่อนจะทำกับเค้าแบบนี้............................*** นอกเรื่อง จริงๆการที่เค้าจะไม่มีที่ปรึกษาแบบจริงจัง หรือ แบบ Deep talk เลย มันไม่แปลก เพราะวัฒนธรรมบ้านเค้า ก็ไม่ค่อยมีเพศตรงข้าม คุยกันได้นานๆหรอก เพราะมันเป็นกฏของอิสลาม ที่ไม่ให้ทำ .................ต่อนะ มันเลยยิ่งทำให้เราสนิทกันมากขึ้น เพราะเราคุยกันได้ทุกเรื่อง เรื่องเที่ยว เรื่องงาน เรื่องลงทุน เรื่องทำธุรกิจ เรื่องวัฒนธรรม เพราะเราเองก็สนใจ สังคม วัฒนธรรม ต่างเมือง ต่างที่ ต่างถิ่นอยู่ไม่น้อย...................จนเข้าปีที่ 3 เรารู้สึกว่า เราใช้เวลากันมานานมากแล้ว เราคุยกันเรื่องแต่งงานกันแล้ว พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้ และ ต่างคนต่างก็เห็นกันแล้ว เราตั้งใจว่า ถ้าเค้าไม่มาภายในปีนี้ ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตาม เราจะจบความสัมพันธ์โดยทันที แล้วช่วงเดือนเมษายนของปีนี้ เป็นต้นมา เค้าทำบ้านใหม่ เค้ามีเรื่องต่างๆ เกินขึ้นในระหว่างทาง เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย และมีที่เค้ามาปรึกษาเรา เราเริ่มรู้สึกว่า ผู้ชายคนนี้เราต้องผลักดันเค้าตลอด มันเหมือนเค้าคิดเองไม่ได้ .................แต่ ก็ไม่ใช่แค่นั้น พอเราแนะนำวิธีการ หรือ หนทางให้ เค้าก็จะ ปฎิเสธ ...............แล้วเราก็เลย งง ว่า แล้วมาถามเราทำไม จนรู้เริ่มเบื่อหน่ายและ ...............และเรื่องการละหมาดก็ไม่ได้ดีขึ้นด้วย สูบบุหรี่ก็ไม่เลิก ต่อรองกันมาเป็นปี เราทักตลอดเวลา เวลาคุยกันแล้วสูบบุหรี่ เราไม่ชอบ และ ก็ไม่อยากเห็นด้วย คุยเรื่องนี้เหมือนผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ จนเมื่อ อาทิตย์ที่ผ่าน มันก็ช่วงต้นเดือน พฤศจิกายน เนอะ มันก็แค่อีก 2 เดือน ก็จะหมดปีแล้ว เรายังไม่เห็นสัญญาณการจอตั๋ว หรือ การพูดคุยใดๆ เกี่ยวกับการจะมาไทยเลย เราก็เลยถาม .............และเราก็ยังเห็นเค้าสูบบุหรี่อยู่ เราคิดในใจ เราว่ามันไม่ได้แล้วละ 2 เดือน ถ้าเลิกบุหรี่ได้คือ ต้องหักดิบอย่างเดียว แต่ทีท่า มันไม่มีให้เห็น เราเลยถามไปตรงๆว่า จะเริ่มละหมาดได้เมื่อไหร่ จะเลิกบุรี่ได้เมื่อไหร่ ......................คำตอบที่ได้คือ ถ้าไปที่โน่น เดี่ยวก็จะทำทุำอย่างได้เอง .......................มันเป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีทาง เพราะตลอดเวลา 3 ปี ตั้งแต่ช่วงแรก เราคุยกันเสมอ คุยกันตลอด สำหรับเรา ไม่เคยลกละ ไม่เคยยอมเลย ไม่มีทางยอมรับ แต่ยอมให้เวลา จนล่วงเลยมา จะ 3 ปีแล้ว .....................................สุดท้าย เราบอกว่า ถ้างั้น ยกเลิกเรื่องแต่งงานเถอะ มันไม่น่าจะเป็นไปได้ ...............คำตอบเค้าคือ As you wish .............เราก็ตแค่สั้นๆ Bye ......................และกลับมาคุยกับตัวเอง นี่กูรออะไรเนี่ย กูใจเย็นไปเหรอ ...................แต่จริงๆแล้วเปล่าหรอก เราแค่ให้เวลาเค้า เพราะการที่คนเราปรับปรุงตุวเอง มันก็ต้องใช้เวลา และ ความคิดมาก ทั้งนั้นแหละ ....................เรากลับมารู้สึกเบาหัวอีกครั้ง เบาอย่างบอกไม่ถูก เราไม่ได้บล็อคช่องทางที่เราคุยกัน เพราะเราจะทำให้ตัวเองรู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องหนี เราก็อยู่ได้ เพราะใจเราไม่เหลืออะไรแล้ววววว แต่เป็นเค้าที่พยายามเข้ามาคุย แล้วเรก็เตือนแล้วว่า ุ่าไม่หยุดส่งข้อความ เราจะบล็อค เค้าก็บอกว่าโอเค อีโก้ยังมี ไม่ขอร้องอะไรเรา แต่ชอบส่ง โน่นนี่นั่นมาให้ดู แต่สุดท้ายเตือนไม่ฟัง ก็ต้องบล็อคทุกช่องไป ..................ไม่เหลืออะไรไว้เลย ไม่รู้สึกอะไรเลย