สวัสดีนะทุกคน เรื่องราวที่เราจะบอกเล่าสู่กันฟัง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับเรา และด้วยความอัดอั้นมันทำให้เราไม่สบายใจ เครียด แค้น จนอยากระบายออกมาเล่าสู่กันฟังให้ทุกคนได้รู้ และอาจจะได้นำเรื่องราวของเราไปเป็นบทเรียนเพื่อไม่ให้ทำตาม ไม่ให้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง บางคนอาจจะเคยโดนมาแบบนี้เหมือนกับเรา เรื่องมีอยู่ว่า เราเป็นนิสิตอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรี แต่ภูมิลำเนาของเราอยู่จังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ ปกติเราเป็นคนชอบอยู่กับเพื่อน สนุกสนาน เฮฮา ตั้งแต่เข้ามาเรียนปี1 เมื่อพ.ศ.2554 และตั้งแต่ปี1 จนถึงปี3 เราไม่ค่อยชอบจีบใคร และไม่ชอบให้ใครมาจีบ เอ้อ เกือบลืมบอกไปว่า เราเป็นเพศชาย ที่ชอบเพศชายเหมือนกันนะ อิอิ และเพราะตอนนั้นเรามองว่า เรากลัวว่า ถ้าเราตกลงจริงจังกับใครเข้าสักคน เราเป็นคนรักจริง และเรื่องความรักพวกนี้อาจมาทำให้เราไม่มีกระจิตกระใจที่จะตั้งใจเรียน และอ่านหนังสือไปสอบ กลัวจะติดF นู่นนี่นั่น กลัวจบช้ากว่าเพื่อนๆ กลัวว่าต้องคบกับใคร รักคนแล้วเดี๋ยวก็ต้องมีวันเลิกรากัน เราจึงมักจะอยู่กับกลุ่มเพื่อน ไปไหนมาไหนก็ไปกับเพื่อนตลอด แต่และแล้ว เรื่องที่เรากลัวตั้งแต่ปี1ก็ได้มาเกิดขึ้นจริงตอนปี4 ซึ่งเป็นปีที่ควรจะมีกระจิตกระใจที่จะตั้งใจเรียนให้มากที่สุดเพราะเป็นปีสุดท้ายของชีวิตมหาวิทยาลัยก็จะจบแล้ว จึงควรตั้งใจเรียนเพื่อไปทำงาน แต่ทว่าทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อเราได้เริ่มคุยจีบกับรุ่นน้องคนหนึ่ง เรียนคณะเดียวกัน น้องเขาเข้ามาคุยเชิงปฏิสัมพันธ์ด้วยตั้งแต่ตอน ปิดเทอมปี3กำลังขึ้นปี4 เพราะพวกเรามีความคิดทางการเมืองที่ค่อนข้างตรงกัน จากที่คุยเรื่องการเมืองกัน จนกระทั่งได้เริ่มเปลี่ยนเป็นคุยเรื่องอื่นกับน้อง คำพูดคำจาของน้องเขา ก็ค่อนข้างที่จะออกไปในแนวจีบ บอกตรงๆเลยว่า ณ ตอนนั้น เราก็เริ่มที่จะมีใจให้น้องเขา เพราะว่าจากเดิมที่ไม่อยากมีใคร ไม่อยากจีบใคร ไม่อยากให้ใครมาจีบตั้งแต่ปี1 เพราะกลัวว่าถ้าเรารักใครเข้าจริงจัง เดี๋ยวสักวันก็ต้องเลิกรากัน ซึ่งเรากลัวการสูญเสียเป็นที่สุด แต่แล้วเราก็ตระหนักคิดได้ว่า ถ้าเราไม่อยากรักใคร ไม่อยากคบใคร เพียงเพราะว่ากลัวการเลิกรา กลัวการสูญเสีย เปรียบเหมือนว่า “สักวันหนึ่งจะต้องตายจากโลกนี้ไป แล้วจะหายใจไปทำไมในตอนนี้ ในเมื่อรู้ว่าสักวันจะต้องตาย?” ก็เพราะว่า การดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เรามองว่ามันคือการ “เรียนรู้” ในเรื่องราวต่างๆทั้งในด้านดี ด้านมดี ด้านสุข ด้านทุกข์ในแต่ละวันที่ผ่านมาในชีวิตไงล่ะ เรียนรู้ว่าความหมายของชีวิตเราคืออะไร เราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อใคร ความหมายของชีวิตคืออะไร ดังนั้น เราจึงเริ่มเปิดใจ ที่จะลองคุยกับน้องคนนั้น และไหนๆซะ เราก็อยู่ปี4แล้ว ถ้าชีวิตคือการเรียนรู้ ประสบการณ์ในการมีความรักกับใครสักคนในขณะที่ยังเป็นนิสิตในมหาวิทยาลัย ก็คือการเรียนรู้เช่นเดียวกัน (และปกติเราเป็นคนที่ชอบรุ่นพี่ ชอบคนอายุมากกว่าตั้งแต่ม.ต้น ม.ปลายแล้ว ไม่ค่อยได้คุยอะไรเชิงจีบกับรุ่นน้องเลย จนมาอยู่ปี4 สงสัยว่าเราแก่สุดในมหาลัยแล้ว ไม่มีรุ่นพี่ มีเราเป็นรุ่นพี่ใหญ่สุด เลยมีแต่คุยกับเด็ก รุ่นน้อง)
หลังจากที่เราเริ่มคุยกับน้องคนนั้นไปได้สักระยะหนึ่ง เราก็คุยกันทุกวัน ทุกวัน เรื่อยๆ จนเราบอกได้เลยว่า เรารู้สึกดีกับน้องคนนี้เอามากๆ เรามีความสุขที่ได้ถามน้องเขา ว่าทำอะไรอยู่ มีเรียนไหม สอบวันไหน ง่วงนอนยัง ตื่นนอนหรือยัง เรามีความสุขที่จะถามสารทุกข์สุกดิบของน้องเขาในทุกๆวัน จนเริ่มแปลเปลี่ยนเป็นความรัก(ซึ่งไม่รู้ว่าตอนนั้นเราคิดไปเองฝ่ายเดียวหรือเปล่า) แม้ว่าเรากับน้องเขาจะยังไม่เคยมีโอกาสได้นั่งคุยกันสองต่อสองอย่างจริงจังเลย แล้วเราก็คุยกันไป คุยกันมาเรื่อยๆ จนมีบางบทสนทนาที่น้องเขาชวนไปคุยในเรื่องเกี่ยวกับเพศวิถีอยู่บ้าง แต่สำหรับเรา เรามองเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะว่า “มนุษย์ทุกคนล้วนเกิดขึ้นมาจากความใคร่”
เราสองคนคุยกันไปมาเรื่อยๆ และมีอยู่วันหนึ่ง(จันทร์ที่13ตุลาคม พ.ศ.2557) ระหว่างที่กำลังนั่งเรียนอยู่ น้องเขาก็แอบหันมามองเรา แล้วส่งข้อความแชทมาว่า “ตั้งใจเรียนนะ” พร้อมทั้งส่งรูปหัวเราะมา ตอนนั้น เรารู้สึกดีใจมากๆนะ ที่น้องเค้ามาทักเราแบบนี้ <3
และเมื่อ1วันก่อนที่เราจะนัดน้องไปนั่งคุยกัน คืนวันพฤหัสที่16ตุลาคม พ.ศ.2557 น้องเขาทักแชทมาคุยLineกับเรา แล้วถามเรา แบบที่เราดีใจอิ่มเอิบสุดๆเมื่อเห็นคำพูดนี้ของน้องเขา คือ “พี่จะไปต่างประเทศเมื่อไหร่?” “ กำลังคิดว่าจะใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มยังไงดี”
” เมื่อเราเห็นน้องเขาพูดแบบนี้ เราเลยคิดว่า น้องเขาต้องคิดจริงจังกับเราเข้าแล้วสิ ^^ จนกระทั่งเราตัดสินใจที่จะนัดน้องเขาไปกินเหล้าด้วยกันที่ริมหาด และเมื่อถึงวันที่นัดกัน(ศุกร์ที่17ตุลาคม พ.ศ.2557) ตอนกลางวันของวันนั้น เราตัดสินใจไปซื้อน้ำหอมอันใหม่ กลิ่นใหม่ ลองแล้วลองอีกว่ากลิ่นไหนกันน้อ จะทำให้น้องเขาประทบใจเมื่อไก้อยู่ใกล้เรา เพราะเราจริงจังมากๆกับการนัดกับน้องเขาครั้งนี้ เราต้องการสร้างความประทับใจครั้งแรกที่ได้พบเจอกันอย่างใกล้ชิด ^^ (อันที่จริงเราเจอกันไป เจอกันมา เห็นผ่านๆกันมาก่อนหน้านี้แล้วเพราะมีวิชาหนึ่งที่ต้องนั่งเรียนคลาสเดียวกัน) แต่จริงๆแล้วตอนแรกเราชวนน้องเขาไปนั่งคุยกันที่ร้านนมริมชายหาด แต่น้องเขาต้องกินข้าวกับเพื่อนๆเลยมาช้า แล้วน้องเขาถามเราว่า ถ้าไปร้านนมไม่ทัน ไปร้านเหล้าแทนได้ไหม เราเองก็ตกลงไปตามนั้น และน้องก็โทรมาบอกว่าพร้อมแล้ว เมื่อตอนสามทุ่มครึ่งแล้วน้องเขาบอกว่าไม่มีรถ ให้ขี่มอไซค์ไปรับด้วย และเราก็ไปรับน้องเขาไปริมหาดด้วยกันเพื่อหาร้านเหล้าสักร้านในการนั่งคุยกัน แต่และแล้ว ในคืนวันนั้นเป็นวันศุกร์ คนเยอะมากๆ และร้านเหล้าแต่ละร้านก็แทบจะไม่มีที่นั่งเลย บางร้านก็เหลือที่ว่างโต๊ะเดียว คนเยอะ แลดูแออัด ซึ่งเราอยากจะนั่งคุยกับน้องเขาแค่สองต่อสอง ในการพบเจอกันอย่างจริงจังครั้งแรก การนั่งในร้านที่มีคนแออัด เสียงดัง เบียดเสียดกัน มันคงไม่เป็นผลดีแน่ๆ อาจจะทำให้เรารู้สึกรำคาญกับสภาพแวดล้อม เมื่อเรากับน้องเขาขี่มอไซค์กันตระเวนไปรอบริมหาดในหลายๆร้าน เรากับน้องก็ตกลงกันว่า งั้นเอาอย่างงี้ เราไปซื้อเหล้าซื้อเบียร์ที่เซเว่น แล้วไปหาที่นั่งคุยกันตรงริมหาดอะไรอย่างงี้ดีกว่า และพอไปเซเว่น ไปเลือกเครื่องดื่มของแต่ละคนมาเรียบร้อยแล้ว น้องเขาก็บอกว่า “พี่ๆ งั้นเราไปนั่งกันตรงที่เขามีออกกำลังกายตอนเย็นๆดีกว่า ตรงนั้นมืดดี คนเงียบดี” เราก็โอเคตามนั้น แต่เราก็เริ่มสงสัยแล้วว่า “น้องเขารู้ได้ไงวะ? หรือว่าเคยไปทำอะไรที่ตรงนั้น?” และพอเราไปถึงที่ตรงนั้นตามที่น้องเขาบอก ก็เป็นที่เงียบๆจริงๆ แต่ไม่ถึงกับเปลี่ยวหรือวังเวง เพราะมียามที่อยู่แถวนั้นคอยเดินตรวจตราอยู่ และก็มีคู่อื่นๆมานั่งคุย มายืนคุยกันแถวๆนั้นหลายคู่ด้วย และ ณ จุดนั้นก็ไม่ห่างจากร้านเหล้า จึงได้ยินเสียงร้านเหล้าบ้าง สรุปคือ ไม่ได้เปล่าเปลี่ยว มืดมิดอะไรเหมือนที่น้องเขาบอกตอนแรก แล้วคืนนั้นเราก็นั่งคุยกันเริ่มตั้งแต่สี่ทุ่มนิดๆ น้องเขาสูบบุหรี่ ตอนที่กำลังจะนั่งคุยกันที่สวนนั้น น้องเขาก็แลดูเป็นห่วงเป็นใยเรา สังเกตได้จากการที่บอกให้เราไปนั่งในอีกทางที่ลมไม่ผ่าน เพราะน้องเขากลัวว่าถ้าสูบบุหรี่แล้วเดี๋ยวลมจะพัดมาหาเรา จึงให้เราไปนั่งอีกข้างหนึ่ง ถึงแม้ว่าแค่เรื่องเล็กๆแค่นี้ มันจะดูเล็กมากและไม่น่าเก็บมาคิดอะไร เรากลับรู้สึกอิ่มเอิบมาก กับการที่เขาแคร์เรา แคร์ว่าเราจะได้รับควันบุหรี่จากทิศทางลม และเรากับน้องก็นั่งไป นั่งมา คุยกันมาเรื่อยๆ บรรยากาศตอนนั้น มันบอกไม่ถูกต้องชัดเจน คือมันรู้สึกดีมากๆ!! เรามีความสุขกับเรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ ก็พอใจแล้ว มันเป็นจุดเริ่มต้นของการที่เรารู้สึกว่า การได้อยู่ใกล้ชิดกับใครสักคน ที่เรารู้จักและรู้สึกมีใจให้กับเขา มันมีความสุขเหมือนที่เพื่อนๆหลายคนเคยเพ้อมาก่อนหน้านี้ มันเป็นแบบนี้นี่เอง เจอเข้ากับตัวแล้ว ไร้คำพูดเลยทีเดียว ^^คุยกันไปเรื่อยๆน้องก็บอกว่า วันนี้ที่จริงมีนัดกับเพื่อนคนนึง ไปเดินวอกกิ้งกัน แต่พิดีว่านัดพี่ไว้ก่อนเลยมานั่งกินเหล้ากันตามนัด(ได้ยินแล้วรู้สึกเหมือนการนัดของเราก็มีความสำคัญกับเขาเหมือนกันนะ ><) แล้วสักพักหนึ่งเพื่อนสาวของเราก็ส่งข้อความมาในLineบอกว่า ตอนนี้อยู่ร้านเหล้าร้านหนึ่ง ใกล้ๆกับที่เราอยู่(ก่อนหน้านี้เราบอกกับเพื่อนคนนี้ไปแล้วว่า คืนนี้จะไปนั่งคุยกับน้องคนนี้)เพื่อนเรามันก็เลยบอกว่า “มาหามั้ย ตอนนี้อยู่ร้านเหล้าริมหาด ชวนน้องของแกมาด้วยก็ได้” เราก็เลยถามน้องเขาว่าไปหาเพื่อนพี่มั้ย ก่อนกลับ เพื่อนพี่อยากเจอน่ะ555 เราบอกไปอย่างงี้ น้องก็โอเคตามเรา แล้วเราก็ขี่มอไซค์(โดยมีน้องเขาซ้อนท้าย) จนไปถึงร้านที่เพื่อนสาวเรากำลังนั่งอยู่กับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ไปถึงร้านเมื่อตอนห้าทุ่มนิดๆ
เพื่อนเราก็ถามน้องเขาเขิงทำความรู้จักว่า “พรุ่งนี้น้องมีเรียนมั้ย” น้องก็ตอบว่า “ไม่มีเรียนครับ” แล้วเพื่อนสาวเราก็เลยให้เราไปนั่งใกล้ๆน้อง ข้างๆน้อง เพื่อที่มันจะได้ถ่ายรูปคู่ให้ระหว่างเรากับน้องเขา ตอนนั้นอ่ะ คือ เราเขินมากกกกกก ต้องนั่งใกล้ๆ เอาหน้าไปใกล้ๆ เพื่อถ่ายรูปคู่กัน >< ดีใจนะ ที่ได้มีโอกาสแบบนี้ แล้วสักพักเราก็ขอตัวกลับ เพราะเช้าวันเสาร์เรามีเรียนแปดโมงเช้า แล้วเราก็ไปส่งน้อง น้องเขาก็ขอถ่ายรูปคู่แบบเซลฟี่กับเรา ข้างๆร้าน ถ่ายไป2รูป ถ่ายรูปเสร็จน้องก็พูดว่า “เย้!” เราก็คิดแล้วว่า น้องเขาก็คงดีใจที่ได้มากับเราอ่ะนะ แล้วเราก็ขี่รถกลับไปด้วยกัน ระหว่างทางกลับ น้องเขาเอาหัวมาพิงหลังเราด้วย! แล้วมีการพูดแซวๆเราว่า “อย่าฉุดลงข้างทางนะ” 55555ไอ้เราก็เขิน คือตอนนั้นก็คงคิดว่า น้องเขาคงพูดแซวเล่นๆอะไรงี้น่ะ
แล้วทางขากลับที่ไปส่งน้องกลับ มันเป็นอีกทางที่ไม่ใช่ทางใหญ่ไง เป็นทางที่มีป่า มีที่เปลี่ยวเยอะมากๆ เราก็เลยรีบๆขี่ไป แล้วพอถึงที่พักน้องเขา รากำลังจะตีหัวรถกลับ น้องเขาก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่นอนกับน้องหรอ” เราเลยตอบไปว่า “ไม่เอาง่ะ ง่วงมาก พรุ่งนี้พี่มีเรียนเช้าด้วย เรียนแปดโมง ต้องตื่นเจ็ดโมงแหน่ะ” น้องก็พูดตอบกลับว่า “โอเคครับ งั้นขี่รถดีๆนะครับ”
และด้วยความง่วงจัด สิ้นสุดบทสนทนานั้น เราก็เลยรีบไปอาบน้ำนอนทันที วันต่อมา วันเสาร์ตอนเย็นๆ น้องเขาก็มาถามในLine ต่อว่า “วันนี้มานอนกับน้องสิพี่” เราก็ตอบไปว่า “ไม่เอาง่ะ ไม่กล้า ก็น้องมีคนอยู่ด้วยเยอะง่ะ” น้องเขาก็ตอบว่า “ว๊า แย่จัง 555 “ (คือที่เรายังไม่อยากไปนอนกับน้อง เพราะถ้ารารู้สึกตัวว่า เราตกหลุมรักใคร อยากรักคนๆนั้นด้วยความจริงใจ เราจะให้เกียร์ติเขา ที่เราจะไม่มีอะไรเกินเลย จนกว่าเราจะแน่ใจว่า สิ่งที่เราคิด ที่เรารู้สึก เราไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียว) แล้วหลังจากวันนั้น ในวันอาทิตย์ น้องเขาก็เงียบหายไป แต่ไม่ถึงกับเงียบสนิท มีทักบ้าง แต่ไม่ได้ทักบ่อยเหมือนเช่นเคยอย่างเมื่อก่อน
จนถึงวันจันทร์(20 ตุลาคม พ.ศ.2557) ที่เรากับน้องมีเรียนคลาสเดียวกัน มีเรียนด้วยกันตอนห้าโมงเย็นน่ะ ตอนเช้าวันนั้น เราตัดสินใจ ไปซื้อดอกกุหราบสีแดงสด เพื่อเอามาเก็บไว้ที่ห้อง แช่แจกัน(กระติกน้ำ เอามาดัดแปลงเป็นแจกัน กลัวว่าดอกกุหราบจะเหี่ยว) แล้วเราก็ไปนั่งเรียนวิชาตอนบ่ายกับเพื่อนสาว จนถึงห้าโมงเย็น เรากลับไปที่ห้องพัก เพื่อไปเอาดอกกุหราบ ใส่ซองสีน้ำตาล ที่ให้เพราะอยากบอกรักน้องเขาไปจริงๆจังๆ ไม่ได้เอาความรู้สึกมาล้อเล่น แล้วเอาไปมอบให้น้องในห้องเรียน(กลัวว่าถ้าให้เป็นดอกเลย คนอื่นๆในคลาสเรียนจะเห็นแล้วฮือฮา) แล้วพอเลิกเรียน กลับถึงที่ห้องพักเรา น้องก็ส่งLine มาหาว่า “ขอบคุณมากๆนะ สำหรับดอกกุหราบสวยๆ”
คนรักเพศเดียวกัน ก็ต้องการคนจริงจังด้วยเหมือนกัน เมื่อความรักแปลเปลี่ยนเป็นความแค้น วิธีแก้แค้นคืนเราทำถูกมั้ย?
หลังจากที่เราเริ่มคุยกับน้องคนนั้นไปได้สักระยะหนึ่ง เราก็คุยกันทุกวัน ทุกวัน เรื่อยๆ จนเราบอกได้เลยว่า เรารู้สึกดีกับน้องคนนี้เอามากๆ เรามีความสุขที่ได้ถามน้องเขา ว่าทำอะไรอยู่ มีเรียนไหม สอบวันไหน ง่วงนอนยัง ตื่นนอนหรือยัง เรามีความสุขที่จะถามสารทุกข์สุกดิบของน้องเขาในทุกๆวัน จนเริ่มแปลเปลี่ยนเป็นความรัก(ซึ่งไม่รู้ว่าตอนนั้นเราคิดไปเองฝ่ายเดียวหรือเปล่า) แม้ว่าเรากับน้องเขาจะยังไม่เคยมีโอกาสได้นั่งคุยกันสองต่อสองอย่างจริงจังเลย แล้วเราก็คุยกันไป คุยกันมาเรื่อยๆ จนมีบางบทสนทนาที่น้องเขาชวนไปคุยในเรื่องเกี่ยวกับเพศวิถีอยู่บ้าง แต่สำหรับเรา เรามองเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะว่า “มนุษย์ทุกคนล้วนเกิดขึ้นมาจากความใคร่”
เราสองคนคุยกันไปมาเรื่อยๆ และมีอยู่วันหนึ่ง(จันทร์ที่13ตุลาคม พ.ศ.2557) ระหว่างที่กำลังนั่งเรียนอยู่ น้องเขาก็แอบหันมามองเรา แล้วส่งข้อความแชทมาว่า “ตั้งใจเรียนนะ” พร้อมทั้งส่งรูปหัวเราะมา ตอนนั้น เรารู้สึกดีใจมากๆนะ ที่น้องเค้ามาทักเราแบบนี้ <3
และเมื่อ1วันก่อนที่เราจะนัดน้องไปนั่งคุยกัน คืนวันพฤหัสที่16ตุลาคม พ.ศ.2557 น้องเขาทักแชทมาคุยLineกับเรา แล้วถามเรา แบบที่เราดีใจอิ่มเอิบสุดๆเมื่อเห็นคำพูดนี้ของน้องเขา คือ “พี่จะไปต่างประเทศเมื่อไหร่?” “ กำลังคิดว่าจะใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มยังไงดี”
” เมื่อเราเห็นน้องเขาพูดแบบนี้ เราเลยคิดว่า น้องเขาต้องคิดจริงจังกับเราเข้าแล้วสิ ^^ จนกระทั่งเราตัดสินใจที่จะนัดน้องเขาไปกินเหล้าด้วยกันที่ริมหาด และเมื่อถึงวันที่นัดกัน(ศุกร์ที่17ตุลาคม พ.ศ.2557) ตอนกลางวันของวันนั้น เราตัดสินใจไปซื้อน้ำหอมอันใหม่ กลิ่นใหม่ ลองแล้วลองอีกว่ากลิ่นไหนกันน้อ จะทำให้น้องเขาประทบใจเมื่อไก้อยู่ใกล้เรา เพราะเราจริงจังมากๆกับการนัดกับน้องเขาครั้งนี้ เราต้องการสร้างความประทับใจครั้งแรกที่ได้พบเจอกันอย่างใกล้ชิด ^^ (อันที่จริงเราเจอกันไป เจอกันมา เห็นผ่านๆกันมาก่อนหน้านี้แล้วเพราะมีวิชาหนึ่งที่ต้องนั่งเรียนคลาสเดียวกัน) แต่จริงๆแล้วตอนแรกเราชวนน้องเขาไปนั่งคุยกันที่ร้านนมริมชายหาด แต่น้องเขาต้องกินข้าวกับเพื่อนๆเลยมาช้า แล้วน้องเขาถามเราว่า ถ้าไปร้านนมไม่ทัน ไปร้านเหล้าแทนได้ไหม เราเองก็ตกลงไปตามนั้น และน้องก็โทรมาบอกว่าพร้อมแล้ว เมื่อตอนสามทุ่มครึ่งแล้วน้องเขาบอกว่าไม่มีรถ ให้ขี่มอไซค์ไปรับด้วย และเราก็ไปรับน้องเขาไปริมหาดด้วยกันเพื่อหาร้านเหล้าสักร้านในการนั่งคุยกัน แต่และแล้ว ในคืนวันนั้นเป็นวันศุกร์ คนเยอะมากๆ และร้านเหล้าแต่ละร้านก็แทบจะไม่มีที่นั่งเลย บางร้านก็เหลือที่ว่างโต๊ะเดียว คนเยอะ แลดูแออัด ซึ่งเราอยากจะนั่งคุยกับน้องเขาแค่สองต่อสอง ในการพบเจอกันอย่างจริงจังครั้งแรก การนั่งในร้านที่มีคนแออัด เสียงดัง เบียดเสียดกัน มันคงไม่เป็นผลดีแน่ๆ อาจจะทำให้เรารู้สึกรำคาญกับสภาพแวดล้อม เมื่อเรากับน้องเขาขี่มอไซค์กันตระเวนไปรอบริมหาดในหลายๆร้าน เรากับน้องก็ตกลงกันว่า งั้นเอาอย่างงี้ เราไปซื้อเหล้าซื้อเบียร์ที่เซเว่น แล้วไปหาที่นั่งคุยกันตรงริมหาดอะไรอย่างงี้ดีกว่า และพอไปเซเว่น ไปเลือกเครื่องดื่มของแต่ละคนมาเรียบร้อยแล้ว น้องเขาก็บอกว่า “พี่ๆ งั้นเราไปนั่งกันตรงที่เขามีออกกำลังกายตอนเย็นๆดีกว่า ตรงนั้นมืดดี คนเงียบดี” เราก็โอเคตามนั้น แต่เราก็เริ่มสงสัยแล้วว่า “น้องเขารู้ได้ไงวะ? หรือว่าเคยไปทำอะไรที่ตรงนั้น?” และพอเราไปถึงที่ตรงนั้นตามที่น้องเขาบอก ก็เป็นที่เงียบๆจริงๆ แต่ไม่ถึงกับเปลี่ยวหรือวังเวง เพราะมียามที่อยู่แถวนั้นคอยเดินตรวจตราอยู่ และก็มีคู่อื่นๆมานั่งคุย มายืนคุยกันแถวๆนั้นหลายคู่ด้วย และ ณ จุดนั้นก็ไม่ห่างจากร้านเหล้า จึงได้ยินเสียงร้านเหล้าบ้าง สรุปคือ ไม่ได้เปล่าเปลี่ยว มืดมิดอะไรเหมือนที่น้องเขาบอกตอนแรก แล้วคืนนั้นเราก็นั่งคุยกันเริ่มตั้งแต่สี่ทุ่มนิดๆ น้องเขาสูบบุหรี่ ตอนที่กำลังจะนั่งคุยกันที่สวนนั้น น้องเขาก็แลดูเป็นห่วงเป็นใยเรา สังเกตได้จากการที่บอกให้เราไปนั่งในอีกทางที่ลมไม่ผ่าน เพราะน้องเขากลัวว่าถ้าสูบบุหรี่แล้วเดี๋ยวลมจะพัดมาหาเรา จึงให้เราไปนั่งอีกข้างหนึ่ง ถึงแม้ว่าแค่เรื่องเล็กๆแค่นี้ มันจะดูเล็กมากและไม่น่าเก็บมาคิดอะไร เรากลับรู้สึกอิ่มเอิบมาก กับการที่เขาแคร์เรา แคร์ว่าเราจะได้รับควันบุหรี่จากทิศทางลม และเรากับน้องก็นั่งไป นั่งมา คุยกันมาเรื่อยๆ บรรยากาศตอนนั้น มันบอกไม่ถูกต้องชัดเจน คือมันรู้สึกดีมากๆ!! เรามีความสุขกับเรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ ก็พอใจแล้ว มันเป็นจุดเริ่มต้นของการที่เรารู้สึกว่า การได้อยู่ใกล้ชิดกับใครสักคน ที่เรารู้จักและรู้สึกมีใจให้กับเขา มันมีความสุขเหมือนที่เพื่อนๆหลายคนเคยเพ้อมาก่อนหน้านี้ มันเป็นแบบนี้นี่เอง เจอเข้ากับตัวแล้ว ไร้คำพูดเลยทีเดียว ^^คุยกันไปเรื่อยๆน้องก็บอกว่า วันนี้ที่จริงมีนัดกับเพื่อนคนนึง ไปเดินวอกกิ้งกัน แต่พิดีว่านัดพี่ไว้ก่อนเลยมานั่งกินเหล้ากันตามนัด(ได้ยินแล้วรู้สึกเหมือนการนัดของเราก็มีความสำคัญกับเขาเหมือนกันนะ ><) แล้วสักพักหนึ่งเพื่อนสาวของเราก็ส่งข้อความมาในLineบอกว่า ตอนนี้อยู่ร้านเหล้าร้านหนึ่ง ใกล้ๆกับที่เราอยู่(ก่อนหน้านี้เราบอกกับเพื่อนคนนี้ไปแล้วว่า คืนนี้จะไปนั่งคุยกับน้องคนนี้)เพื่อนเรามันก็เลยบอกว่า “มาหามั้ย ตอนนี้อยู่ร้านเหล้าริมหาด ชวนน้องของแกมาด้วยก็ได้” เราก็เลยถามน้องเขาว่าไปหาเพื่อนพี่มั้ย ก่อนกลับ เพื่อนพี่อยากเจอน่ะ555 เราบอกไปอย่างงี้ น้องก็โอเคตามเรา แล้วเราก็ขี่มอไซค์(โดยมีน้องเขาซ้อนท้าย) จนไปถึงร้านที่เพื่อนสาวเรากำลังนั่งอยู่กับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ไปถึงร้านเมื่อตอนห้าทุ่มนิดๆ
เพื่อนเราก็ถามน้องเขาเขิงทำความรู้จักว่า “พรุ่งนี้น้องมีเรียนมั้ย” น้องก็ตอบว่า “ไม่มีเรียนครับ” แล้วเพื่อนสาวเราก็เลยให้เราไปนั่งใกล้ๆน้อง ข้างๆน้อง เพื่อที่มันจะได้ถ่ายรูปคู่ให้ระหว่างเรากับน้องเขา ตอนนั้นอ่ะ คือ เราเขินมากกกกกก ต้องนั่งใกล้ๆ เอาหน้าไปใกล้ๆ เพื่อถ่ายรูปคู่กัน >< ดีใจนะ ที่ได้มีโอกาสแบบนี้ แล้วสักพักเราก็ขอตัวกลับ เพราะเช้าวันเสาร์เรามีเรียนแปดโมงเช้า แล้วเราก็ไปส่งน้อง น้องเขาก็ขอถ่ายรูปคู่แบบเซลฟี่กับเรา ข้างๆร้าน ถ่ายไป2รูป ถ่ายรูปเสร็จน้องก็พูดว่า “เย้!” เราก็คิดแล้วว่า น้องเขาก็คงดีใจที่ได้มากับเราอ่ะนะ แล้วเราก็ขี่รถกลับไปด้วยกัน ระหว่างทางกลับ น้องเขาเอาหัวมาพิงหลังเราด้วย! แล้วมีการพูดแซวๆเราว่า “อย่าฉุดลงข้างทางนะ” 55555ไอ้เราก็เขิน คือตอนนั้นก็คงคิดว่า น้องเขาคงพูดแซวเล่นๆอะไรงี้น่ะ
แล้วทางขากลับที่ไปส่งน้องกลับ มันเป็นอีกทางที่ไม่ใช่ทางใหญ่ไง เป็นทางที่มีป่า มีที่เปลี่ยวเยอะมากๆ เราก็เลยรีบๆขี่ไป แล้วพอถึงที่พักน้องเขา รากำลังจะตีหัวรถกลับ น้องเขาก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่นอนกับน้องหรอ” เราเลยตอบไปว่า “ไม่เอาง่ะ ง่วงมาก พรุ่งนี้พี่มีเรียนเช้าด้วย เรียนแปดโมง ต้องตื่นเจ็ดโมงแหน่ะ” น้องก็พูดตอบกลับว่า “โอเคครับ งั้นขี่รถดีๆนะครับ”
และด้วยความง่วงจัด สิ้นสุดบทสนทนานั้น เราก็เลยรีบไปอาบน้ำนอนทันที วันต่อมา วันเสาร์ตอนเย็นๆ น้องเขาก็มาถามในLine ต่อว่า “วันนี้มานอนกับน้องสิพี่” เราก็ตอบไปว่า “ไม่เอาง่ะ ไม่กล้า ก็น้องมีคนอยู่ด้วยเยอะง่ะ” น้องเขาก็ตอบว่า “ว๊า แย่จัง 555 “ (คือที่เรายังไม่อยากไปนอนกับน้อง เพราะถ้ารารู้สึกตัวว่า เราตกหลุมรักใคร อยากรักคนๆนั้นด้วยความจริงใจ เราจะให้เกียร์ติเขา ที่เราจะไม่มีอะไรเกินเลย จนกว่าเราจะแน่ใจว่า สิ่งที่เราคิด ที่เรารู้สึก เราไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียว) แล้วหลังจากวันนั้น ในวันอาทิตย์ น้องเขาก็เงียบหายไป แต่ไม่ถึงกับเงียบสนิท มีทักบ้าง แต่ไม่ได้ทักบ่อยเหมือนเช่นเคยอย่างเมื่อก่อน
จนถึงวันจันทร์(20 ตุลาคม พ.ศ.2557) ที่เรากับน้องมีเรียนคลาสเดียวกัน มีเรียนด้วยกันตอนห้าโมงเย็นน่ะ ตอนเช้าวันนั้น เราตัดสินใจ ไปซื้อดอกกุหราบสีแดงสด เพื่อเอามาเก็บไว้ที่ห้อง แช่แจกัน(กระติกน้ำ เอามาดัดแปลงเป็นแจกัน กลัวว่าดอกกุหราบจะเหี่ยว) แล้วเราก็ไปนั่งเรียนวิชาตอนบ่ายกับเพื่อนสาว จนถึงห้าโมงเย็น เรากลับไปที่ห้องพัก เพื่อไปเอาดอกกุหราบ ใส่ซองสีน้ำตาล ที่ให้เพราะอยากบอกรักน้องเขาไปจริงๆจังๆ ไม่ได้เอาความรู้สึกมาล้อเล่น แล้วเอาไปมอบให้น้องในห้องเรียน(กลัวว่าถ้าให้เป็นดอกเลย คนอื่นๆในคลาสเรียนจะเห็นแล้วฮือฮา) แล้วพอเลิกเรียน กลับถึงที่ห้องพักเรา น้องก็ส่งLine มาหาว่า “ขอบคุณมากๆนะ สำหรับดอกกุหราบสวยๆ”