เข็มสีน้ำเงิน “เข็มบอกเวลาที่ไร้กาลเวลา” (นาฬิกา)

การบอกเวลาของนาฬิกานั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าหากมนุษย์เราไม่ได้คิดค้น “เข็มนาฬิกา” ขึ้นมา และจากความสงสัยของผมเองว่าทำไมนาฬิกาที่ราคาแพงจึงมีเข็มที่เป็น “สีน้ำเงิน” อาจฟังดูแล้วเหมือนเป็นเรื่องที่ธรรมดาแต่ประวัติศาสตร์ความเป็นมาและวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังชิ้นส่วนที่สำคัญชิ้นนี้มันไม่ธรรมดาเลย

ในช่วงเวลาที่มนุษย์เราได้สามารถสร้างกลไกที่แม่นยำได้ เราก็ได้เริ่มใช้เข็มในการบอกเวลา เริ่มแรกนาฬิกาจะมีเข็มเพียงเข็มเดียวในการกำหนดชั่วโมง จนกระทั่งปี ค.ศ. 1691 เมื่อช่างทำนาฬิกาชาวอังกฤษที่มีชื่อว่า Daniel Quare1 ได้เริ่มใช้สองเข็มเพื่อบอกทั้งชั่วโมงและนาทีบนแกนเดียวกัน นาฬิกาสมัยโบราณจะไม่มีกระจกคอยปิดหน้าปัทม์ ด้วยเหตุผลนี้เข็มถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่และแข็งแรง เพราะวิธีเดียวในการปรับเวลาคือการใช้นิ้วดันเข็มให้หมุนไปตามต้องการ ความสวยงามของเข็มจึงถูกจำกัดด้วยวิธีการใช้งานดังกล่าว และด้วยกาลเวลาที่ผ่านไปเข็มนาฬิกาถูกออกแบบให้มีขนาดเล็กและเบาลงกว่าเดิม จึงทำให้ดูสวยงามและมีการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น เช่น power reserve indicator ของนาฬิกาแบบขันลาน

เข็มนั้นมีหลายแบบ ที่นิยมเป็นส่วนใหญ่คือ Bâton, Dauphine, Feuille, Poire และ Breguet (ตามรูปด้านล่าง)


เข็มนาฬิกาในปัจจุบันนั้นทำมาจากหลายวัสดุมากมาย และยังมีมากมายหลายสีให้เลือก เนื่องจากกรรมวิธีทางไฟฟ้าเคมีที่ก้าวหน้า ทำให้เราสามารถเคลือบผิวของโลหะได้อย่างสวยงามและไม่มีจุดบกพร่อง แต่สีน้ำเงินของเข็มนาฬิกานั้นจะมาจากกรรมวิธีที่แตกต่างออกไป โดยเข็มสีน้ำเงินที่เราเห็นนั้นจะทำจากเหล็กหรือเหล็กกล้าไร้สนิม โดยเข็มดังกล่าวจะถูกนำไปเผาที่อุณหภูมิสูงในระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้เกิดชั้นออกไซต์ของเหล็กที่มีสีเงิน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้สีออกมาเป็นสีน้ำเงินเพราะจะต้องใช้ความรู้ทางด้านโลหะศาสตร์เล็กน้อยเนื่องจากสีของพื้นผิวจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและเวลาที่ใช้ในเตาด้วย ในรูปด้านล่างนี้คือสีของชั้นออกไซด์ในอุณหภูมิต่างๆ

คำถามต่อมาคือ “ทำไมสีถึงแตกต่างกัน?”

การที่สีแตกต่างกันก็เพราะว่าความสามารถในการแพร่ของออกซิเจนในเหล็กที่อุณหภูมิต่างๆนั้นไม่เท่ากัน ยิ่งอุณหภูมิสูงขึ้นความสามารถในการแพร่ก็สูงขึ้น ยิ่งแพร่เข้าไปได้ง่ายก็ออกซิเจนก็จะจับกับเหล็กได้ง่ายขึ้นและชั้นของออกไซด์ก็จะหนาขึ้นตามไปด้วย และเนื่องจากชั้นออกไซด์สามารถให้แสงลอดผ่านเข้าไปได้ จึงทำให้เกิดการแทรกสอดระหว่างคลื่นที่สะท้อนจากผิวและพื้นของชั้นออกไซด์ (ตามรูปด้าล่าง)

ลองจินตนาการดูนะครับ ชั้นออกไซด์แสงส่วนที่หนึ่ง (Reflected Light_1) ก็จะสะท้อนกลับมาจากผิวของชั้นออกไซด์ถ้ามีชั้นออกไซด์ แสงบางส่วนก็จะถูกหักเหลงไปถึงสุดขอบของชั้นออกไซด์แล้วสะท้อนกลับมาอีก (Reflected Light_2) ทำให้คลื่นแสงทั้ง 1 และ 2 แทรกสอดกัน ถ้าชั้นออกไซด์หนาขึ้นก็จะทำให้การแทรกสอดของคลื่นทั้งสองเปลี่ยนไป เป็นที่มาของสีที่แตกต่างกันนั่นเอง (เช่นเดียวกับการที่เราเป่าลูกโป่งวิทยาศาสตร์หรือฟองสบู่แล้วเห็นสีหลายๆสี)

วิธีการทำให้เข็มเป็นสีน้ำเงินสมัยนี้อาจจะง่ายเพราะเครื่องมือที่แม่นยำ แต่ถ้าเป็นสมัยโบราณนั้น ช่างทำนาฬิกาจะค่อยๆเอาไฟเผาเข็มแล้วก็ค่อยๆดูสีด้วยตา เพราะถ้าอุณหภูมิสูงเกินไปก็ไม่สามารถนำสีน้ำเงินกลับคืนมาได้อีก หรือถ้าอุณหภูมิน้อยไปก็ไม่ได้สีที่กำหนด นอกจากนี้ระยะเวลาของการเผาเข็มก็เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นเดียวกัน จึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความชำนาญในการทำ (ในวิดีโอของนาฬิกายี่ห้อ Breguet มีการแสดงวิธีการทำเข็มสีน้ำเงินดังกล่าวอยู่ตั้งแต่นาทีที่ 6.16 เป็นต้นไป)
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ในปัจจุบันยังมีนาฬิกาที่ใช้เข็มสีน้ำเงินอยู่ เช่น Breguet, Vacheron Constantin, Patek Philippe, Cartier, Girard-Perregaux, Blancpain และ Jaeger-Le-Coultre
 แต่จะเป็นเฉพาะรุ่นพิเศษหรือรุ่นคลาสสิกเท่านั้น ดังนั้น “เข็มสีน้ำเงิน” จึงเป็นสัญลักษณ์ของความประณีตและแสดงความสวยงามแบบไร้กาลเวลา จึงเรียกได้ว่า “เข็มบอกเวลาที่ไร้กาลเวลา”

[รูปตัวอย่างของเข็มสีน้ำเงินในนาฬิกา Breguet]


ข้อมูลจาก - montre24.com, euro-inox : Europian Stainless Steel Development Association, หนังสือฟิสิกส์ และ wikipedia

1Daniel Quare ยังเป็นผู้คิดค้นกลไก Repeater ในปี ค.ศ. 1680 (นาฬิกาที่สามารถตีบอกเวลาได้)


*บทความนี้ผมเขียนจากการศึกษาค้นคว้าและทำความเข้าใจด้วยตนเองอาจจะมีข้อผิดพลาดในการใช้ศัพท์ทางวิทยาศาสตร์รวมไปถึงความถูกต้องของเนื้อหาได้

"Time is the most valuable thing a man can spend." - Theophrastus (372 BC-287 BC)

ถ้าชอบฝากกดไลค์ - Luxury Watches Thailand - Facebook
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  นาฬิกา ประวัติศาสตร์ ฟิสิกส์ เทคโนโลยี
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่