สวัสดีค่ะ เพื่อนชาวพันทิปทุกท่าน
เมื่อวันฉัตรมงคล 5 พฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมา เราและพี่สาวได้มีโอกาสเดินทางไปไหว้พระที่อยุธยา (แบบกระทันหัน)
เนื่องจากพี่สาวตัวดีของเรานางดูศึก 12 ราศีมา แล้วหมอลักษณ์บอกว่า วันที่ 5 นี้เป็นวันดี
นางก็ไลน์มาหาเราตอน สี่ทุ่มกว่าๆของวันที่ 4 ว่า "แก ไปไหว้พระอยธยา 9 วัดกัน"
เราก็เออออตามนางไปเพราะเป็นวันหยุด เอาก็เอา
สรุปว่าเจอกัน 7 โมงครึ่ง ด้วยธีมเสื้อสีขาว หึหึหึหึ
ต้องออกตัวก่อนว่าเราและพี่สาวเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปมากๆทั้งคู่
พี่สาวเรามักจะมีมุมถ่ายรูปอาร์ตๆแอปเจ๋งๆมาถ่ายเล่นกันเสมอ
คือพูดง่ายๆก็คือถ้าเรื่องถ่ายรูปนี่ ต่อให้บุกน้ำลุยไฟไปถ่ายที่ไหน เราสองคนบ่ยั้นเลยค่ะ
เอ้ารออะไรล่ะคะ ไปกันเลยยยยยยย Let's gooooooo
โชคดีเรามีสารถีมือดีมาขับรถให้เป็นอาของเราเองไปมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำไม่เคยหลง
ทริปนี้จังไว้วางใจใช้บริการนางค่าาาา เดินทางถึง อยุธยาประมาณ 8 โมงครึ่งเกือบๆเก้าโมงค่ะ
วัดที่ 1 "วัดใหญ่ชัยมงคล"
เป็นวัดที่มีลานจอดรถกว้างขวางมาก พอจอดรถเสร็จสามารถเดินข้ามสะพาน เข้ามาในตัววัด
ก็จะเจอด่านแรก เป็นเหมือนศาลาที่ประดิษฐานพระพุทธรูปอยู่หลายองค์ด้วยกัน เราก็เข้าไปกราบไหว้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล
แต่ประเด็นอยู่ที่ เจดีย์ชัยมงคล ตั้งตระหง่านอยู่ทางด้านหลังของศาลา
พอเห็นก็ตาลุกวาวเลยค่ะ พุ่งตัวไปที่เจดีย์ทันที
ข้างในเจดีย์ในส่วนที่เป็นยอดสูงสุดปรากฏรอยพระพุทธบาทให้สักการะอยู่
ลักษณะเป็นบ่ลึกๆลงไปค่ะ
หากท่านใดพาผู้สูงอายุหรือเด็กไปด้วยแนะนำให้ดูแลอย่างใกล้ชิดนะคะ
เนื่องจากทางชันมาก ประกอบกับอากาศร้อนๆแดดเปรี้ยงอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุเป็นลมหน้ามืดได้ค่ะ
และอย่างที่บอกไปว่าเราชอบถ่ายรูปมาก และเราก็ได้ถ่ายรูปกับสถานที่แรกค่ะ
ฮิปสเตอร์ตัวแม่ต้องยกให้พี่สาวเราค่ะ
เจดีย์ชัยมงคลแบบมองจากไกลๆค่ะ
ไป
วัดที่ 2 กันเลยค่ะ "
วัดพนัญเชิงวรวิหาร"
ถ้ามาวัดนี้ก็ต้องเข้าไปไหว้หลวงพ่อโตค่ะ ตอนที่เราไปเขากำลังห่มจีวรอยู่
คือประชาชนก็บูชาจีวรค่ะ แล้วก็ส่งต่อขึ้นไปให้คนที่อยู่บนองค์พระห่มให้
ส่วนตัวเราก็ได้แต่ชื่นชมความงดงามของปฏิมากรรมอยู่นอกโบสถ์ อิชั้นเข้าไปไม่ถึงจริงๆค่ะ
บอกเลยว่าผ่านไปแค่สองวัด เหงื่อนี่ท่วมตัวประหนึ่งพึ่งอาบน้ำมา
ก่อนที่จะออกเดินทาง เราถามเพื่อนที่อยู่อยุธยาว่าอากาศเป็นไงร้อนมากมั๊ย นางบอกว่าเย็นสบายดีนะ ไม่ร้อนมาก
พอผ่านไปสองวัดเท่านั้นแหละ ในใจอินี่ "ไหนแกบอกไม่ร้อนไง!!!!!!!! "
มาถึง
วัดที่ 3 ค่ะ เค้าน่าจะเรียกว่าเป็นวิหารนะคะ
"วิหารพระมงคลบพิตร"
ป้ายหน้าถนนจะเขียนว่า ศรีสรรเพชร
ทางเดินเข้าสู่วิหารจะเป็นทางลาดยาวมาก ปูด้วยอิฐสีแดง สวยงามเลยค่ะ
ตรงเข้าไปจะเป็นวิหารที่ประดิษฐานพระมงคลบพิตรค่ะ
ยังค่ะยังไม่จบแค่นี้นะคะ หากเราหันหน้าเข้าสู่วิหารแห่งนี้ ทางขวามือจะเป็นพระราชวังโบราณ
ค่ะไม่ต้องสืบค่ะ สองศรีชะนีพี่น้องพุ่งตัวเข้าไปด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. (เสียค่าเข้าคนละ 10 บาท สำหรับคนไทยส่วนชาวต่างชาติน่าจะอีกราคานึง)
มันอาร์ตมากจริงๆค่ะคุณผู้ชม แต่แดดนี่แบบว่า นึกภาพตามนะคะ ลานโล่งๆไม่ร่มไม้มากนัก
โบราณสถานเรียงรายท้าแดดอยู่ และประเด็นคือเป็นแดดตอนเที่ยงกว่าๆ ไม่ต้องสืบค่ะ สุดท้ายเราก็ได้ภาพเหล่านี้มา
โดยแลกกับหยาดเหงื่อโทรมกายค่ะ (ยิ่งใหญ่มาก)
ส่วนตัวชอบภาพนี้มากค่ะถ่ายโดยพี่สาวสุดฮิปสเตอร์ของเราเอง
ภาพนี้เราถ่ายเองค่ะ อิอิ
มุมเดียวกันค่ะ
เห็นหน้าระรื่นแบบนี้ไม่ใช่ไม่ร้อนนะคะ
คือ ณ จุดๆนี้ เหนื่อยและเพลียมากจริงๆนะคะ แทบจะถอดใจกันเลยทีเดียว
แต่โอกาสดีๆไม่ได้มีบ่อยๆ ต้องมุ่งสู่เป้าหมาย (หราาา) ดื่มน้ำดื่มท่ากันจนสดชื่นแล้วก็ไปกันต่อเลยค่ะ
วัดที่ 4 วัดแม่นางปลื้ม
วัดนี้พอเดินเข้าไปปรากฎว่า โบสถ์หลักที่ประดิษฐานหลวงพ่อขาว ปิดปรับปรุง 7 เดือนค่ะ
แต่จะมีโบสถ์สำรองให้กราบไหว้อยู่ค่ะ ด้านหลังจะเป็นเจดีย์เก่าซึ่งก็สวยอีกแล้ว เราชอบจัง
หลายคนอาจจะสงสัยที่มาที่ไปของวัดแม่นางปลื้ม ทำไมถึงชื่อนี้ใช่มั๊ยคะ
สืบเนื่องจากสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงว่างเว้นจากการทำศึก
ก็ล่องเรือไปตามแม่น้ำบังเอิญว่าขณะนั้นฝนเกิดตกลงมาพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นบ้านหลังหนึ่งซึ่งยังจุดตะเกียงอยู่
จึงเทียบเรือเข้าไปที่ท่าน้ำแล้วเข้าไปบ้านหลังนั้นก็คือบ้านของยายปลื้ม สาวตาบอดคนหนึ่งซึ่งอยู่บ้านคนเดียว ไม่มีลูกหลาน
ด้วยวิสัยของนักรบ ก็อาจจะพูดจาโผงผาง เสียงดัง ทำให้ยายปลื้มแกตกใจ พูดออกไปว่า พ่อหนุ่มเบาๆหน่อย อย่าเสียงดังไป
ถ้าพระเจ้าอยู่หัวท่านได้ยินท่านจะโกรธเอา จากนั้นพระนเรศวรก็มีรับสั่งกับยายปลื้มว่า อยากเสวยน้ำจันท์ แต่เนื่องจากวันนั้น
เป็นวันพระ ยายปลื้มจึงพูดออกไปว่า กินได้แต่อย่าให้พระเจ้าอยู่หัวรู้นะมันไม่ดี และคืนนั้นพระนเรศวรพร้อมคณะผู้ติดตามก็ค้างที่บ้านของยายปลื้ม
พอกลับเข้าวันก็พายายปลื้มไปเลี้ยงดูอย่างดี ด้วยทรงพอพระทัยในความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว และเมื่อยายปลื้มเสียชีวิต
สมเด็จพระนเรศวรก็สร้างวัดเพื่ออุทิศแด่ยายปลื้มค่ะ (หลายๆคนอาจจะคุ้นๆฉากนี้ในหนังตำนานสมเด็จพระนเรศวร)
วัดที่ 5 วัดธรรมมิกราช
วัดนี้อาจจะมีรูปน้อยนิดนึง เนื่องจากเราเข้าผิดทาง ไปเข้าด้านหลัง พอไหว้เสร็จกำลังจะไปต่ออีกวัด พึ่งจะเห็นทางเข้าด้านหน้าค่ะ 5555
แต่ด้านหลังก็มีศาลาให้ไหว้นะคะ และก็ได้รูปสวยๆมาฝากด้วยค่ะ
ผ่านมาครึ่งทางแล้วนะคะ ตอนนี้ทั้งหิวทั้งเหนื่อย คือวัยหนุ่มสาวอย่างเรายังหมดแรงอ่ะค่ะ
แต่เมื่อตั้งใจไว้แล้วต้องสู้ๆต้องสู้ จึงจะชนะ 55555
วัดที่ 6 วัดหน้าพระเมรุ
วัดนี้ก็มีตำนานที่ชวนขนลุกค่ะ คือวัดส่วนใหญ่ที่ยังคงสภาพอยู่จนถึงปัจจุบันไม่ถูกพม่าเผาทำลาย
เนื่องมาจาก เมื่อพม่ายกทับมาตีกรุงศรี ก็ต้องยึดวัดวาอารามเป็นค่ายค่ะ
หนึ่งในวัดที่ถูกใช้เป็นค่ายของพม่ารามัญก็คือวัดหน้าพระเมรุเนี่ยแหละค่ะ ว่ากันว่า ตอนที่แม่ทัพของพม่ายกทัพมา แล้วก็ขนปืนใหญ่มาตั้งป้อมไว้ที่วัด
แม่ทัพพม่านายหนึ่ง (เราจำชื่อไม่ได้ลองไปอ่านๆกันที่วัดนะคะ) ก็คึกค่ะ คุมการยิงปืนใหญ่เอง แต่ปรากฎว่าปืนใหญ่กระบอกนั้นแตก โดนแม่ทัพคนนั้นจนล้มเจ็บ ส่งผลให้พม่าต้องยกทัพกลับเมืองและเสียชีวิตลงระหว่างทาง กรุงศรีก็แคล้วคลาดไปอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งชาวบ้านในยุคสมัยนั้นเชื่อกันว่าพระประธานที่ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์
ท่านปกป้องคุ้มครองบ้านเมืองจากข้าศึก จึงเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านมาจวบจนปัจจุบัน
พระประธานวัดนี้งดงามมากค่ะ เรานั่งชื่นชมอยู่นาน งามทุกมุมมอง อิ่มใจค่ะ
วัดที่ 7 วัดเชิงท่า
ไม่มีสตอรี่จะเล่าอ่ะ ดูรูปเลยละกัน เริ่มเหนื่อยมากละ5555
วัดที่ 8 วัดท่าการ้อง
ถ้าไม่มาวัดนี้เหมือนมาไม่ถึงอยุธยา โด่งดังไปไกล
ดารามากันเป็นโขยง แต่ส่วนตัวเรารู้สึกว่าเป็นวัดเชิงพาณิชย์มากกว่า
แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นกุศโลบายให้คนหันมาเข้าวัดมากขึ้น ให้คนรู้สึกสนุกมากกว่าน่าเบื่อ
เป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญสืบไป
หลังวัดจะมีตลาดน้ำให้เดิน ชเอป ชิม ชิล
มีกิจกรรมให้ทำเยอะแยะเต็มไปหมด เนื่องจากเราหมดแรงแล้วเลยได้มาแค่รูปเดียว 5555
พี่เสือตัวใหญ่น่ารักดี ชอบๆ
เย้ !!! วัดสุดท้ายแล้ววววววววว
วัดที่ 9 วัดกษัตราธิราชวรวิหาร
วัดนี้บรรยากาศดีค่ะ ตั้งอยู่ริมน้ำ บรรยากาศตอนเย็นคงชิลน่าดู
เนื่องจากหิว และหมดแรง จึงไม่มีรูปมาฝากนะคะ
พอไหว้พระครบ 9 วัด แล้ว เมื่อมาถึงอยุธยาก็ต้องทำอะไรคะ?? ค่ะ กินกุ้งค่ะ
ล็อกพิกัด ตลาดกลาง แล้วก็เลือกร้านได้ตามสบายค่ะ มีเป็นสิบร้าน เราเลือกร้านรุ่งฟ้าค่ะ รสชาติอาหารจัดว่าดี
น้ำจิ้มอร่อย ต้มยำก็อร่อย รสชาติดี ปลาหมึกผัดไข่เค็มก็อร่อยลืมม สรุปให้ 9/10 คะแนนเลยค่าาาา
หักค่าส้มตำไม่แซ่บ ปลาร้าไม่นัว 5555555
ต้องขออภัยด้วยที่ไม่ได้บอกทางนะคะ เพราะเราจำทางไม่ได้จริงๆ นั่งอย่างเดี๋ยวถ้าใครจะตามก็เปิดกูเกิ้ลแมปแล้วขับตามเลยนะคะ5555
เราว่าถ้ามีโอกาสจะชวนเพื่อนไปเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เน้นถ่ายรูปเป็นหลักดีกว่า555 เราชอบบ้านเมืองมากจริงๆ หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วเด้อค่าาา
รูปอาจจะไม่ชัดบ้าง เบลอบ้าง แต่เรามองว่ามันเป็นสไตล์ของแต่ละคน
สถานที่เดียวกันคนสิบคนไป ก็มองเห็นความสวยงามกันคนละแบบ มองเห็นมุมดีๆ กันคนละด้าน
รูปภาพก็เหมือนกัน นอกจากจะมีหน้าที่บันทึกเรื่องราวแล้ว ยังสะท้อนตัวตนของแต่ละบุคคลด้วย
สุดท้ายนี้ผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
ไหว้พระอยุธยาเมืองเก่า 9 วัด แบบมีสไตล์
เมื่อวันฉัตรมงคล 5 พฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมา เราและพี่สาวได้มีโอกาสเดินทางไปไหว้พระที่อยุธยา (แบบกระทันหัน)
เนื่องจากพี่สาวตัวดีของเรานางดูศึก 12 ราศีมา แล้วหมอลักษณ์บอกว่า วันที่ 5 นี้เป็นวันดี
นางก็ไลน์มาหาเราตอน สี่ทุ่มกว่าๆของวันที่ 4 ว่า "แก ไปไหว้พระอยธยา 9 วัดกัน"
เราก็เออออตามนางไปเพราะเป็นวันหยุด เอาก็เอา
สรุปว่าเจอกัน 7 โมงครึ่ง ด้วยธีมเสื้อสีขาว หึหึหึหึ
ต้องออกตัวก่อนว่าเราและพี่สาวเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปมากๆทั้งคู่
พี่สาวเรามักจะมีมุมถ่ายรูปอาร์ตๆแอปเจ๋งๆมาถ่ายเล่นกันเสมอ
คือพูดง่ายๆก็คือถ้าเรื่องถ่ายรูปนี่ ต่อให้บุกน้ำลุยไฟไปถ่ายที่ไหน เราสองคนบ่ยั้นเลยค่ะ
เอ้ารออะไรล่ะคะ ไปกันเลยยยยยยย Let's gooooooo
โชคดีเรามีสารถีมือดีมาขับรถให้เป็นอาของเราเองไปมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำไม่เคยหลง
ทริปนี้จังไว้วางใจใช้บริการนางค่าาาา เดินทางถึง อยุธยาประมาณ 8 โมงครึ่งเกือบๆเก้าโมงค่ะ
วัดที่ 1 "วัดใหญ่ชัยมงคล"
เป็นวัดที่มีลานจอดรถกว้างขวางมาก พอจอดรถเสร็จสามารถเดินข้ามสะพาน เข้ามาในตัววัด
ก็จะเจอด่านแรก เป็นเหมือนศาลาที่ประดิษฐานพระพุทธรูปอยู่หลายองค์ด้วยกัน เราก็เข้าไปกราบไหว้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล
แต่ประเด็นอยู่ที่ เจดีย์ชัยมงคล ตั้งตระหง่านอยู่ทางด้านหลังของศาลา
พอเห็นก็ตาลุกวาวเลยค่ะ พุ่งตัวไปที่เจดีย์ทันที
ข้างในเจดีย์ในส่วนที่เป็นยอดสูงสุดปรากฏรอยพระพุทธบาทให้สักการะอยู่
ลักษณะเป็นบ่ลึกๆลงไปค่ะ
หากท่านใดพาผู้สูงอายุหรือเด็กไปด้วยแนะนำให้ดูแลอย่างใกล้ชิดนะคะ
เนื่องจากทางชันมาก ประกอบกับอากาศร้อนๆแดดเปรี้ยงอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุเป็นลมหน้ามืดได้ค่ะ
และอย่างที่บอกไปว่าเราชอบถ่ายรูปมาก และเราก็ได้ถ่ายรูปกับสถานที่แรกค่ะ
ฮิปสเตอร์ตัวแม่ต้องยกให้พี่สาวเราค่ะ
เจดีย์ชัยมงคลแบบมองจากไกลๆค่ะ
ไปวัดที่ 2 กันเลยค่ะ "วัดพนัญเชิงวรวิหาร"
ถ้ามาวัดนี้ก็ต้องเข้าไปไหว้หลวงพ่อโตค่ะ ตอนที่เราไปเขากำลังห่มจีวรอยู่
คือประชาชนก็บูชาจีวรค่ะ แล้วก็ส่งต่อขึ้นไปให้คนที่อยู่บนองค์พระห่มให้
ส่วนตัวเราก็ได้แต่ชื่นชมความงดงามของปฏิมากรรมอยู่นอกโบสถ์ อิชั้นเข้าไปไม่ถึงจริงๆค่ะ
บอกเลยว่าผ่านไปแค่สองวัด เหงื่อนี่ท่วมตัวประหนึ่งพึ่งอาบน้ำมา
ก่อนที่จะออกเดินทาง เราถามเพื่อนที่อยู่อยุธยาว่าอากาศเป็นไงร้อนมากมั๊ย นางบอกว่าเย็นสบายดีนะ ไม่ร้อนมาก
พอผ่านไปสองวัดเท่านั้นแหละ ในใจอินี่ "ไหนแกบอกไม่ร้อนไง!!!!!!!! "
มาถึงวัดที่ 3 ค่ะ เค้าน่าจะเรียกว่าเป็นวิหารนะคะ "วิหารพระมงคลบพิตร"
ป้ายหน้าถนนจะเขียนว่า ศรีสรรเพชร
ทางเดินเข้าสู่วิหารจะเป็นทางลาดยาวมาก ปูด้วยอิฐสีแดง สวยงามเลยค่ะ
ตรงเข้าไปจะเป็นวิหารที่ประดิษฐานพระมงคลบพิตรค่ะ
ยังค่ะยังไม่จบแค่นี้นะคะ หากเราหันหน้าเข้าสู่วิหารแห่งนี้ ทางขวามือจะเป็นพระราชวังโบราณ
ค่ะไม่ต้องสืบค่ะ สองศรีชะนีพี่น้องพุ่งตัวเข้าไปด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. (เสียค่าเข้าคนละ 10 บาท สำหรับคนไทยส่วนชาวต่างชาติน่าจะอีกราคานึง)
มันอาร์ตมากจริงๆค่ะคุณผู้ชม แต่แดดนี่แบบว่า นึกภาพตามนะคะ ลานโล่งๆไม่ร่มไม้มากนัก
โบราณสถานเรียงรายท้าแดดอยู่ และประเด็นคือเป็นแดดตอนเที่ยงกว่าๆ ไม่ต้องสืบค่ะ สุดท้ายเราก็ได้ภาพเหล่านี้มา
โดยแลกกับหยาดเหงื่อโทรมกายค่ะ (ยิ่งใหญ่มาก)
ส่วนตัวชอบภาพนี้มากค่ะถ่ายโดยพี่สาวสุดฮิปสเตอร์ของเราเอง
ภาพนี้เราถ่ายเองค่ะ อิอิ
มุมเดียวกันค่ะ
เห็นหน้าระรื่นแบบนี้ไม่ใช่ไม่ร้อนนะคะ
คือ ณ จุดๆนี้ เหนื่อยและเพลียมากจริงๆนะคะ แทบจะถอดใจกันเลยทีเดียว
แต่โอกาสดีๆไม่ได้มีบ่อยๆ ต้องมุ่งสู่เป้าหมาย (หราาา) ดื่มน้ำดื่มท่ากันจนสดชื่นแล้วก็ไปกันต่อเลยค่ะ
วัดที่ 4 วัดแม่นางปลื้ม
วัดนี้พอเดินเข้าไปปรากฎว่า โบสถ์หลักที่ประดิษฐานหลวงพ่อขาว ปิดปรับปรุง 7 เดือนค่ะ
แต่จะมีโบสถ์สำรองให้กราบไหว้อยู่ค่ะ ด้านหลังจะเป็นเจดีย์เก่าซึ่งก็สวยอีกแล้ว เราชอบจัง
หลายคนอาจจะสงสัยที่มาที่ไปของวัดแม่นางปลื้ม ทำไมถึงชื่อนี้ใช่มั๊ยคะ
สืบเนื่องจากสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงว่างเว้นจากการทำศึก
ก็ล่องเรือไปตามแม่น้ำบังเอิญว่าขณะนั้นฝนเกิดตกลงมาพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นบ้านหลังหนึ่งซึ่งยังจุดตะเกียงอยู่
จึงเทียบเรือเข้าไปที่ท่าน้ำแล้วเข้าไปบ้านหลังนั้นก็คือบ้านของยายปลื้ม สาวตาบอดคนหนึ่งซึ่งอยู่บ้านคนเดียว ไม่มีลูกหลาน
ด้วยวิสัยของนักรบ ก็อาจจะพูดจาโผงผาง เสียงดัง ทำให้ยายปลื้มแกตกใจ พูดออกไปว่า พ่อหนุ่มเบาๆหน่อย อย่าเสียงดังไป
ถ้าพระเจ้าอยู่หัวท่านได้ยินท่านจะโกรธเอา จากนั้นพระนเรศวรก็มีรับสั่งกับยายปลื้มว่า อยากเสวยน้ำจันท์ แต่เนื่องจากวันนั้น
เป็นวันพระ ยายปลื้มจึงพูดออกไปว่า กินได้แต่อย่าให้พระเจ้าอยู่หัวรู้นะมันไม่ดี และคืนนั้นพระนเรศวรพร้อมคณะผู้ติดตามก็ค้างที่บ้านของยายปลื้ม
พอกลับเข้าวันก็พายายปลื้มไปเลี้ยงดูอย่างดี ด้วยทรงพอพระทัยในความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว และเมื่อยายปลื้มเสียชีวิต
สมเด็จพระนเรศวรก็สร้างวัดเพื่ออุทิศแด่ยายปลื้มค่ะ (หลายๆคนอาจจะคุ้นๆฉากนี้ในหนังตำนานสมเด็จพระนเรศวร)
วัดที่ 5 วัดธรรมมิกราช
วัดนี้อาจจะมีรูปน้อยนิดนึง เนื่องจากเราเข้าผิดทาง ไปเข้าด้านหลัง พอไหว้เสร็จกำลังจะไปต่ออีกวัด พึ่งจะเห็นทางเข้าด้านหน้าค่ะ 5555
แต่ด้านหลังก็มีศาลาให้ไหว้นะคะ และก็ได้รูปสวยๆมาฝากด้วยค่ะ
ผ่านมาครึ่งทางแล้วนะคะ ตอนนี้ทั้งหิวทั้งเหนื่อย คือวัยหนุ่มสาวอย่างเรายังหมดแรงอ่ะค่ะ
แต่เมื่อตั้งใจไว้แล้วต้องสู้ๆต้องสู้ จึงจะชนะ 55555
วัดที่ 6 วัดหน้าพระเมรุ
วัดนี้ก็มีตำนานที่ชวนขนลุกค่ะ คือวัดส่วนใหญ่ที่ยังคงสภาพอยู่จนถึงปัจจุบันไม่ถูกพม่าเผาทำลาย
เนื่องมาจาก เมื่อพม่ายกทับมาตีกรุงศรี ก็ต้องยึดวัดวาอารามเป็นค่ายค่ะ
หนึ่งในวัดที่ถูกใช้เป็นค่ายของพม่ารามัญก็คือวัดหน้าพระเมรุเนี่ยแหละค่ะ ว่ากันว่า ตอนที่แม่ทัพของพม่ายกทัพมา แล้วก็ขนปืนใหญ่มาตั้งป้อมไว้ที่วัด
แม่ทัพพม่านายหนึ่ง (เราจำชื่อไม่ได้ลองไปอ่านๆกันที่วัดนะคะ) ก็คึกค่ะ คุมการยิงปืนใหญ่เอง แต่ปรากฎว่าปืนใหญ่กระบอกนั้นแตก โดนแม่ทัพคนนั้นจนล้มเจ็บ ส่งผลให้พม่าต้องยกทัพกลับเมืองและเสียชีวิตลงระหว่างทาง กรุงศรีก็แคล้วคลาดไปอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งชาวบ้านในยุคสมัยนั้นเชื่อกันว่าพระประธานที่ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์
ท่านปกป้องคุ้มครองบ้านเมืองจากข้าศึก จึงเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านมาจวบจนปัจจุบัน
พระประธานวัดนี้งดงามมากค่ะ เรานั่งชื่นชมอยู่นาน งามทุกมุมมอง อิ่มใจค่ะ
วัดที่ 7 วัดเชิงท่า
ไม่มีสตอรี่จะเล่าอ่ะ ดูรูปเลยละกัน เริ่มเหนื่อยมากละ5555
วัดที่ 8 วัดท่าการ้อง
ถ้าไม่มาวัดนี้เหมือนมาไม่ถึงอยุธยา โด่งดังไปไกล
ดารามากันเป็นโขยง แต่ส่วนตัวเรารู้สึกว่าเป็นวัดเชิงพาณิชย์มากกว่า
แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นกุศโลบายให้คนหันมาเข้าวัดมากขึ้น ให้คนรู้สึกสนุกมากกว่าน่าเบื่อ
เป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญสืบไป
หลังวัดจะมีตลาดน้ำให้เดิน ชเอป ชิม ชิล
มีกิจกรรมให้ทำเยอะแยะเต็มไปหมด เนื่องจากเราหมดแรงแล้วเลยได้มาแค่รูปเดียว 5555
พี่เสือตัวใหญ่น่ารักดี ชอบๆ
เย้ !!! วัดสุดท้ายแล้ววววววววว
วัดที่ 9 วัดกษัตราธิราชวรวิหาร
วัดนี้บรรยากาศดีค่ะ ตั้งอยู่ริมน้ำ บรรยากาศตอนเย็นคงชิลน่าดู
เนื่องจากหิว และหมดแรง จึงไม่มีรูปมาฝากนะคะ
พอไหว้พระครบ 9 วัด แล้ว เมื่อมาถึงอยุธยาก็ต้องทำอะไรคะ?? ค่ะ กินกุ้งค่ะ
ล็อกพิกัด ตลาดกลาง แล้วก็เลือกร้านได้ตามสบายค่ะ มีเป็นสิบร้าน เราเลือกร้านรุ่งฟ้าค่ะ รสชาติอาหารจัดว่าดี
น้ำจิ้มอร่อย ต้มยำก็อร่อย รสชาติดี ปลาหมึกผัดไข่เค็มก็อร่อยลืมม สรุปให้ 9/10 คะแนนเลยค่าาาา
หักค่าส้มตำไม่แซ่บ ปลาร้าไม่นัว 5555555
ต้องขออภัยด้วยที่ไม่ได้บอกทางนะคะ เพราะเราจำทางไม่ได้จริงๆ นั่งอย่างเดี๋ยวถ้าใครจะตามก็เปิดกูเกิ้ลแมปแล้วขับตามเลยนะคะ5555
เราว่าถ้ามีโอกาสจะชวนเพื่อนไปเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เน้นถ่ายรูปเป็นหลักดีกว่า555 เราชอบบ้านเมืองมากจริงๆ หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วเด้อค่าาา
รูปอาจจะไม่ชัดบ้าง เบลอบ้าง แต่เรามองว่ามันเป็นสไตล์ของแต่ละคน
สถานที่เดียวกันคนสิบคนไป ก็มองเห็นความสวยงามกันคนละแบบ มองเห็นมุมดีๆ กันคนละด้าน
รูปภาพก็เหมือนกัน นอกจากจะมีหน้าที่บันทึกเรื่องราวแล้ว ยังสะท้อนตัวตนของแต่ละบุคคลด้วย
สุดท้ายนี้ผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ