[CR] ^^ เที่ยว วัด อยุธยา แบบ วันเดย์ทริป ด้วยงบ 300 บาท/คน^^

กระทู้รีวิว
"ทริปนี้สุดคุ้มค่ะบอกเลย ไปๆไหว้พระ ๙ วัดกันค่ะ"

เริ่มจากเวลา 07.00 น. เดินทางไปขึ้นรถตู้สายใต้ปิ่นเกล้า-อยุธยา  ใช้เวลาในการเดินทาง  1 ชม.30 นาทีโดยประมาณ

พอมาถึงท่ารถตู้สายใต้ ปุ๊บ เราก็มาซื้อตั๋วกันเลย ซึ่งการเดินทาง เราเลือกเวลาการเดินทางเป็นช่วงเวลา 07.20 น. จุดหมายปลายทางของเราคือ อยุธยานั้นเอง ซึ่งราคาตั๋วนั้นอยู่ที่ 70 บาท 3 คน 210 บาทเวลารถออกคือ 07.30 น.

ถึงแล้วท่ารถอยุธยา ตลาดเจ้าพรหม เวลา  08.30 น.โดยประมาณ เราเริ่มจากการเดินเท้าไปตามล่าหาร้านเช่ารถมอไซค์กันค่ะ....

เจอแล้วนะ ร้านเช่ารถมอไซค์  ToTo  HOUSE อยู่ซอย  Guest house  เดินมาประมาณ  300 เมตร

ค่าเช่ารถราคาอยู่ที่ 200  บาท  เต็มน้ำมันเอง 30  บาทหยอดเหรียญขับได้รอบเมืองเลยจ๊ะ

วัดที่หนึ่งวัดพนัญเชิงวรวิหาร  ตั้งอยู่  ริมแม่น้ำป่าสักทางทิศใต้
ฝั่งตรงข้ามของเกาะเมือง   อ.พระนครศรีอยุธยา  จ.พระนครศรีอยุธยา

วัดพนัญเชิงอยู่ทางขวามือ ป้ายใหญ่ชัดเจน ไหว้พระพุทธไตรรัตนนายกหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าหลวงพ่อโต

ประวัติวัดพนัญเชิงวรวิหาร เป็นวัดที่มีประวัติอันยาวนาน ก่อสร้างก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาและไม่ปรากฎหลักฐานที่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง ตามหนังสือพงศาวดารเหนือกล่าวว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นผู้สร้าง และพระราชทานนามว่า วัดเจ้าพระนางเชิงและในพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐกล่าวไว้ว่า ได้มีการสถาปนาพระพุทธรูปพุทธชื่อ”พระเจ้าพแนงเชิง” เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๖๗ ซึ่งก่อนพระเจ้าอู่ทองจะสถาปนากรุงศรีอยุธยาถึง ๒๖ ปีเปิดทุกวันเวลา 7.00-18.00 น.ที่มาของข้อมูล  https://th.wikipedia.org/wiki/วัดพนัญเชิง

วัดที่สอง วัดใหญ่ชัยมงคล

จุดหมายปลายทางของเราต่อไปก็คือวัดใหญ่ชัยมงคล  ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก

วัดใหญ่ชัยมงคล เดิมชื่อ "วัดป่าแก้ว" หรือ "วัดเจ้าไท" ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะพระนคร ปัจจุบันเป็นพื้นที่ตำบลคลองสวนพลูอำเภอพระนครศรีอยุธยาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จุดเด่นของวัดได้แก่เจดีย์องค์ใหญ่ที่เชื่อกันว่า ได้รับการปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ภายในได้มีการค้นพบชัยมงคลคาถาบรรจุอยู่ ภายในพระอุโบสถ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชัยมงคล พระประธานที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของวัด นอกจากนี้แล้ว ภายในวัดยังเป็นที่ประดิษฐาน ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2544 อีกด้วยเปิดทุกวันเวลา 08.00-17.00 น.ที่มาของข้อมูล  https://th.wikipedia.org/wiki/วัดใหญ่ชัยมงคล

จุดหมายปลายทางของเราต่อไปก็คือร้านก๋วยเตี๋ยวเรือแม่ปราณี
ร้านนี้อยู่ตรง(ท่ารถ99  กรุงเทพ - อยุธยา)บอกตรงๆค่ะมาถึงอยุธยาต้องกิน

จัดไปกับคนที่ชอบกินก๋วยเตี๋ยวเรือ  ต้องโดนร้านนี้ มีทั้งหมูทั้งเนื้อเป็นชิ้นๆเลยราคาชามละ 15บาท  พิเศษกากหมูเด็ดมากกับต้มเล้ง  น้ำซุปอร่อยๆ ซดโล่งๆคอกันไปเลยประทับใจสุดๆร้านอยู่ริมทางสังเกตุนิดนึงจะมีผ้าใบบังแดด
ก๋วยเตี๋ยว 5 ถ้วย              75  บาท
กากหมูเจียว 3 ถ้วย         60  บาท    
น้ำเปล่า                         10 บาท
เล้ง 1 ถ้วย                     30  บาท
รวมค่าอาหารมื้อนี้  175  บาท

วัดที่สาม  ที่เรามากันก็คือ  วัดแม่นางปลื้ม  ตั้งอยู่  ตำบลหัวรอ

ชอบวัดนี้มาก ดูสวย ขลัง ร่มรื่น เย็นสบาย  เข้ามาแล้วสบายตัวสบายใจมาก

ประวัติวัดนี้ แม่ปลื้มเป็นชาวบ้านอยู่ริมน้ำชานพระนครคนเดียว ไม่มีลูกหลาน วันหนึ่งสมเด็จพระนเรศวร(ทรง)พายเรือมาแต่พระองค์เดียว ท่ามกลางสายฝนเมื่อเสด็จมาถึงเห็น(ทอดพระเนตร)กระท่อมยังมีแสงตะเกียงอยู่ เวลานั้นค่ำอยู่ สมเด็จพระนเรศวรจึงได้(ทรง)แวะขึ้นมาในกระท่อมแม่นางปลื้มเห็น ชายฉกรรจ์เสื้อผ้าเปียกขึ้นมา จึงได้กล่าวเชื้อเชิญด้วยความมีน้ำใจ แต่พระองค์ท่านทรงเสียงดังตามบุคลิกของนักรบชายชาตรี แม่ปลื้มได้กล่าวเตือนว่า ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าเสียงดังนักเลย เวลานี้ค่ำมากแล้วเดี๋ยวพระเจ้าแผ่นดินท่านทรงได้ยินจะโกรธเอาพระองค์กลับตรัสด้วยเสียงอันดังขึ้นอีกว่า ข้าอยากดื่มน้ำจันทร์ ข้าเปียกข้าหนาว อยากได้น้ำจันทร์ให้ร่างกายอบอุ่นพลันแม่ปลื้มยิ่งตกใจขึ้นมากอีก เพราะว่าวันนี้เป็นวันพระ แม่ปลื้มได้กล่าวว่า ถ้าจะดื่มจริงๆ เจ้าต้องสัญญาว่า ไม่ให้เรื่องแพร่หลายเดี๋ยวพระเจ้า แผ่นดินรู้ จะอันตราย พระนเรศวรรับปาก แม่ปลื้มจึงหยิบน้ำจันทร์ให้กิน(เสวย) สมเด็จพระนเรศวรได้ประทับค้างคืนที่บ้านของแม่ปลื้มเช้าได้เสด็จกลับวัง ต่อมาได้จัดขบวนมารับแม่ปลื้มไปเลี้ยงในวัง ด้วยความที่แม่ปลื้มเป็นคนมีเมตตา จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ หลังจากแม่ปลื้มเสียชีวิต สมเด็จพระนเรศวรจัดงานศพให้สมเกียรติ แล้วสมเด็จพระนเรศวรจึงสร้างวัดให้แม่ปลื้ม นามว่า “วัดแม่นางปลื้ม” พระประทานของที่นี่ คือ หลวงพ่อขาว ซึ่งสวยงามมากเปิดทุกวันเวลา 08.30-16.30 น.
ที่มาของข้อมูล http://ww2.ayutthaya.go.th/travel/detail/47

วัดที่สี่   วัดพระงาม

โบราณสถานวัดพระงาม เป็นวัดร้าง มีจุดเด่น คือ ซุ้มประตูที่ถูกโอบล้อมด้วยต้นโพธิ์ ได้รับขนานนานว่า "ประตูแห่งกาลเวลา" บรรยากาศเงียบสงบ ลึกลับน่าค้นหา จะมีผู้คนมักแวะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก

เจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมหลังพระอุโบสถ  ในส่วนของพระอุโบสถจะมองเห็นพระพุทธรูปที่แตกหักอยู่1องค์

วัดที่ห้า วัดเจ้าย่า

วัดเจ้าย่า เป็นวัดร้าง ตั้งอยู่ตำบลคลองสระบัว อำเภอพระนครศรีอยุธยา ไม่ปรากฎหลักฐานในพระราชพงศาวดารเกี่ยวกับการสร้างวัดนี้ ปัจจุบันนี้คงเหลือแต่ฐานอาคารให้เห็นเท่านั้น วัดนี้ถูกถนนตัดผ่านออกเป็นสองส่วน
ที่มาของข้อมูลhttp://www.reocities.com/RainForest/7153/thai/ayut/way_chaoya.htm

บรรยากาศมีทั้งสองฝั่ง  แอบวังเวงอยู่นิดๆ เงียบมากๆ

วัดที่หก ที่เราไปก็คือ  วัดพระเมรุราชิการาม

วัดหน้าพระเมรุ" บริเวณนอกเกาะเมือง เพราะนี่เป็นเพียงวัดเดียวในกรุงศรีอยุธยา ที่รอดจากการถูกเผาทำลายอย่างไม่น่าเชื่อ สำหรับสาเหตุนั้นได้มีการบันทึกไว้ที่วัดหน้าพระเมรุว่า เนื่องมาจากตั้งอยู่ใกล้พระราชวังหลวง และพม่ายังได้ใช้วัดแห่งนี้เป็นที่ตั้งกองทัพ ทำให้ไม่ถูกทำลายด้วยประการทั้งปวง ด้วยเหตุนี้วัดหน้าพระเมรุจึงยังคงมีงานศิลปกรรมของสมัยอยุธยาแท้ๆ ตกทอดมาให้อนุชนคนรุ่นหลังได้ชมกันจนทุกวันนี้ เปิดทุกวันเวลา 8.00 – 18.00 น.ที่มาของข้อมูลhttp://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9490000023250

หลวงพ่อพระพุทธนิมิตฯ 500กว่าปีอยู่ในพระอุโบสถ

หลวงพ่อพระคันธารราฐ  1500กว่าปี อยู่ในพระวิหารน้อย

หลวงพ่อเซียนแสน  700กว่าปี

หลวงพ่อขาว  500กว่าปี  เจดีย์ด้านหลังพระอุโบสถ์

วัดที่เจ็ด  ที่เราไปก็คือ  วัดธรรมิกราช
อยู่ไม่ไกลกันเลย


วัดธรรมิกราชมีวิหารขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นวิหารหลวง โดยโครงสร้างของวิหารไม่ได้มีโครงเหล็กเป็นรากฐาน แต่มีความมั่นคงแข็งแรงมาก เพราะใช้ปูนเปลือกหอยและประสานด้วยน้ำตาลอ้อยเคยเป็นที่ประดิษฐานพระประธาน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่ แต่ถูกพม่าเผาทำลายเหลือเพียงพระเศียร ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยาพระพุทธรูปสำริดองค์นี้ยังถือเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะอู่ทอง หรือศิลปะยุคก่อนกรุงศรีอยุธยาคือพระพักตร์เป็นสี่เหลี่ยม แลดูเคร่งเครียด พระพักตร์ถทึง จนชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่า “หล่วงพ่อแก่”
เปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30  ที่มาของข้อมูล  https://watboran.wordpress.com/category

วัดที่แปด วัดมหาธาตุ

เปิดให้เข้าชมทุก วันตั้งแต่เวลา 08.30–16.30 น.

สันนิษฐานว่าวัดนี้ได้ริเริ่มสร้างองค์พระมหาธาตุขึ้นในแผ่นดินสมเด็จบรมราชาธิราชที่ ๑(ขุนหลวงพระงั่ว) แต่อาจจะยังไม่สำเร็จในรัชกาลของพระองค์ จนถึงรัชกาของสมเด็จพระราเมศวรจึงทรงสร้างเพิ่มเติมจนเสร็จบริบูรณ์เป็นพระอาราม แล้วขนานนามว่า”วัดมหาธาตุ”
ที่มาของข้อมูล  https://watboran.wordpress.com/category

มีสิ่งที่โดดเด่น คือ เศียรพระพุทธรูปกว่าร้อยปีใน รากไม้  โดยเศียรพระพุทธรูป เป็นพระพุทธรูปหินทรายเหลือแค่ส่วนเศียร สำหรับองค์พระนั้นหายไป และเป็นเศียรพระพุทธรูปเป็น ศิลปะอยุธยา วางอยู่ในรากโพธิ์ข้างวิหาร คาดว่าเศียรพระพุทธรูปนี้จะหล่นลงมาอยู่ที่โคนต้นไม้ในสมัยเสียกรุงจนรากไม้ขึ้นปกคลุม
ที่มาของข้อมูล  http://www.paiduaykan.com/76_province/central/ayutthaya/watpramahathat.html

วัดที่เก้า ที่เราไป  วัดราชบูรณะ

ปรางค์ประธานมีขนาดสูงใหญ่ก่อด้วยศิลาแลงบนฐานสี่เหลี่ยมซึ่งมีเจดีย์อยู่ทั้งสี่ทิศมีบันไดสู่องค์ปรางค์ทางทิศตะวันออกถือเป็นปรางค์แบบไทยที่นิยมทำฐานสูง  ต่างจากปรางค์แบบขอมที่มักมีฐานเตี้ยนอกจากนี้หน้าปรางค์เป็นมุขใหญ่  ยื่นออกมาเป็นห้องคูหาส่วนยอดเรียวแหลมสูง  คล้ายฝักข้าวโพด  ยอดมีฝักเพกาในขณะที่ขอมไม่มี
ที่มาของข้อมูล  https://watboran.wordpress.com/category/

ตอนที่เราไปมีการปรับปรุงอยู่

เก็บภาพ บรรยากาศ วิวสวยๆ วัดสุดท้ายแล้ว
หมดเวลาสนุกแล้วสิ 17.30น. ได้เวลากลับบ้านขึ้นรถกลับสายใต้  ค่ารถอยู่ที่คนละ 70 บาท 3 คน 210บาท

(สรุปค่าใช้จ่ายในการเดินทาง)
- ค่ารถตู้ขาไปอยุธยา 70 บาท3คน          210  บาท
- ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์                         200  บาท
-ค่าก๋วยเตี๋ยวเรือแม่ปราณีรวมเครื่องดื่ม     175  บาท
-ค่าน้ำมันหยอดตู้                           30  บาท
-ค่ารถตู้ขากกลับ 70 บาท3คน              210  บาท
ค่าบัตรเข้าชมสถานที่ต่างๆฟรี
*สรุปค่าใช้จ่ายตลอดทั้งทริป 825 บาทคนละ 275 บาทเท่านั้นเองค่ะ
ชื่อสินค้า:   พระนครศรีอยุธยา
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่