ก๊อปปี้แชร์ต่อมาจากเพจ "เที่ยวญี่ปุ่นให้ได้มากกว่าเที่ยว" >> https://www.facebook.com/jiyutravel ขออนุญาตมาแชร์อีกทีที่นี่ค่ะ
ของหายได้คืนที่ญี่ปุ่น !! ภาค 1 ที่มาที่ไปที่มันหายไป
เทศกาลซากุระของโตเกียว ที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ ที่ก็ซึ่งได้รับคำแนะนำจากคนญี่ปุ่นมาว่าต้องไปช่วงนี้จะสวยที่สุด ปรึกษากันราว 1/2 ชม. ก็ได้ข้อสรุป และซึ่ง
"Full Bloom" เนี่ย มีแค่ปีละ 1 อาทิตย์นะ แต่ต้องจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้ากันเป็นเดือนๆ (จองใกล้ๆราคาจะโหดมาก โดยเฉพาะฤดูซากุระ ราคาจะพุ่งขึ้น 2-3 เท่าเลยทีเดียวในช่วงใกล้ๆช่วง "Full Bloom" ) และจะหยิบจับยังไงให้เป๊ะนะ เรื่องดินฟ้าอากาศ เอาอะไรมาเป็นตัวประกันดี ไม่มีเลย
สุดท้าย โชคก็เข้าข้างกันสุดๆ ที่ได้ตรง "Full Bloom" ของโตเกียวพอดี !! บอกเลยว่างานนี้ ฟินเวอร์ .. แต่ก็แอบได้เทคนิคกันมาอยู่นะคะ คาดว่า ให้ปีหน้าบินไปอีก ก็จะน่าจะหยิบจับโดน Full Bloom อีก (..มั่นใจกันเกินไปเปล่าานะนี่เรา ^^;; )
และนั่น "กล้องถ่ายรูป" จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะ "ต้อง" เอาไปเก็บภาพที่รอคอย "ซากุระ"
คณะเราครั้งนี้มี 6 คน เป็นสว.(สูงวัย)อยู่ถึง 4 คน นัดเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิตอน 1 ทุ่ม ล้อเครื่องบินเริ่มถูกลากถอยหลังตอน 4 ทุ่ม 10 นาที ตรงตามเวลากำหนดการ เครื่องบินลำใหญ่มาก ที่นั่งกว้างใหญ่กว่าที่คิดมาก สายการบินสัญชาติญี่ปุ่น คนแน่นเต็มลำ 90% แลเป็นคนญี่ปุ่น อีกราว 10% แลเป็นคนไทยและมีฝรั่งนิดหน่อยค่ะ
บนเครื่องบิน ดูจากทีวีมอนิเตอร์ที่นั่ง เครื่องบินแอบบินเร็วนิดนึงนะ เฉลี่ยที่ราว 1,100 กม./ชม. แต่ท้องฟ้าปลอดโปร่งตลอดทาง (บินไฟลท์ดึก) เครื่องบินแตะรันเวย์สนามบินฮาเนดะตอนตี 5 เศษ เร็วกว่ากำหนดการ 1 ชม. ! นี่แปลว่าเรากำลังจะเริ่มเที่ยวญี่ปุ่นตั้งแต่ตี 5 สินะ ^^;;
ขอข้ามช็อตการผ่านด่านที่สนามบินไปก่อนนะคะ ไปถึงโตเกียวเช้าวันจันทร์ ตามคำบอกเล่าคนญี่ปุ่นที่รู้จักบางท่านบอกว่า ถ้าอุบัติเหตุจากคนในสถานีรถไฟ วันจันทร์นี่มีโอกาสเกิดสูงกว่าวันอื่น เหมือนว่า วันเสาร์อาทิตย์ไปคิดทบทวนบางสิ่งกันมาแล้ว .. ก็มาหวยออกที่วันจันทร์ที่บินไปถึงพอดี รถไฟดีเลย์กระจุยกระจาย ไปถึงญี่ปุ่นกันแต่เช้า เข้าเมืองได้สำเร็จไปฝากกระเป๋าที่ล็อกเกอร์รร.เสร็จ ก็ออกมาตรงเวลา RUSH HOUR พอดี !!
จากแผนว่า เราจะใช้รถไฟสายที่ต่อเดียวไปถึง "คามาคุระ" ได้เลย ก็ไม่ได้ละ รถไฟดีเลย์แบบไม่รู้จะเช็คกับอะไรได้เลยว่า รถไฟจะมาเมื่อไหร่ ก็ต้องตัดสินใจเปลี่ยนแผนการเดินทางกันตรงนั้น ที่เตรียมไป เพราะเกรงใจสว.จะรอเราคิดหน้างาน ก็คือ สรุป พับแผนหมด เพราะรถไฟดีเลย์ มันใช้ไม่ได้ !
จนท.ในสายรถไฟที่ตั้งใจว่าจะใช้ไปคามาคุระตอนแรก ก็ประกาศนำเสนอรถไฟสายอื่นให้ไปใช้ได้เช่นกัน เป็นสำนวนการใช้ภาษาแบบญี่ปุ่นจริงๆ ไม่เอ่ยแบบตรงๆ แต่ก็อ้อมแบบครอบคลุมความหมาย คือ จะบอกให้ไปใช้ขบวนอื่นดีกว่าอย่ามายืนรอขบวนนี้เลย จะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ถ้าจะให้แปลตีความกันแบบภาษาบ้านๆ
จากที่คิดไว้ว่า สายรถไฟต่อเดียวถึง เราก็ต้องไปแก้ไขสถานการณ์หน้างาน ไปนั่งสายอื่น และทำยังไงให้เราเปลี่ยนรถไฟกันจนไปถึง "คามาคุระ" งานนี้ ใครเตรียมแผนไป พึ่งตำราในตำนาน น่าจะจบเห่ แก้ไขหน้างานล้วนๆ
และอานิสงค์จากการต้องเปลี่ยนรถไฟ 4 ตลบ (จากสถานี Shinagawa ถึงสถานี Hase)
ผจญภัยกับ Tokyo RUSH HOUR Full Version !!
สว.บุพการีออกอาการเมื่อยขั้นต้นด้วยการวางกระเป๋ากล้องที่ข้างในมี นิคอน รุ่น 4-5 ปีก่อน เลนส์ 2 เลนส์ ฟิลเตอร์ตัวใหม่ 1 อัน และเมมฯการ์ดอันใหม่ !
(รถไฟที่ญี่ปุ่นมีชั้นวางกระเป๋าเหนือศีรษะที่นั่ง)
ลืมอะไรกันแบบน้านนนน ลืมตอนลงที่สถานี Kamakura เปลี่ยนเป็นรถไฟสาย Eno-den ไปสถานี Hase ไปรู้สึกตัวว่า ลืมตอนจะกดบัตรออกจากสถานี Hase ด้วย รถไฟไปไหนแล้ววว .. แล้วเมื่อกี้นั่งรถไฟสายอะไร มุ่งตรงไปไหนมานะนั่น เปลี่ยนรถไฟหลายรอบด้วย ชื่อสถานีแปลกๆไม่ได้คุ้นหรือชวนให้จำได้ในครั้งเดียวเอาซะเลย แถมเช็คตารางรถไฟไม่ได้ด้วย เพราะรถไฟวันนี้ดีเลย์ .. จะเอาข้อมูลอะไรไปแจ้งเจ้าหน้าที่สถานี ?????
จึงให้สมาชิกในกรุ๊ปนั่งรอในสถานี Hase ก่อน ยกโขยงกันไปหมด เราสินะจะเหนื่อย ทุกคนก็เหนื่อยด้วย ที่สำคัญ ไม่ได้แปลว่าจะทำให้กล้องนั้นมีโอกาสเจอสูงขึ้นแต่ประการใด ให้คิดกันไปตรงๆ ก็นั่งพักกันไปละกัน วิน-วิน
ระหว่างทางกลับไปสถานี JR Kamakura ก็คิดๆๆๆ
.. จะแจ้งบอก จนท. อย่างไรดีนะๆๆ
.. แล้ว จนท.จะช่วยได้ไหมนะๆๆ
.. รถไฟที่ลงสถานี Kamakura ลงตอนราวกี่โมงนะ ตอนลงก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องพลิกนาฬิกาดูเลยสักนิด แถมตอนซื้อตั๋วรถไฟสาย Eno-den คนก็เยอะ รอไปกี่นาทีก็ไม่รู้ คำนวณย้อนกลับจากเวลาปัจจุบัน ประมาณเอา
.. โชคยังเข้าข้างที่จำชื่อสถานีรถไฟที่รถไฟขบวนที่นั่ง(ยืน)มาจะไปปลายทางได้ !! นับเป็นข้อมูลล้ำค่า เท่าที่มี !! (เพราะไม่มีอะไรนอกจากนี้อีกเลยยย)
ลงจากสถานี Kamakura (Eno-den Line) ก็ต้องข้ามไปฝั่งสถานี JR Kamakura ที่มี จนท. อยู่ คนเยอะได้อีก
วิธีก็ไม่ยาก .. เดินหา (ปีก่อนเป็นอย่างไร กลับไปเที่ยวใหม่ ก็ยังเป็นเหมือนเดิมล่ะเรา หาหน้างานตล๊อดด .. แต่สนุกกว่านะ ความเห็นส่วนตัวล้วนๆ)
หาเจอตู้จนท.สถานีตรงเกทเข้าออกสถานี จนท.คนที่ 1 บอกให้ไปอีกฝั่ง เข้าไปในสถานีได้เลยไม่ต้องกดตั๋ว (คนญี่ปุ่นเค้าเชื่อใจคนเรื่องความซื่อสัตย์จริงๆ ให้เข้าได้เลยแบบนี้)
เดินฝ่าฝูงชนในสถานีข้ามไปอีกด้านหนึ่งของสถานีตามคำบอก บอกว่า ลืมของ .. จนท.บอกให้ไปทาง Tourist Information ให้ออกจากสถานีได้เลย (ให้ผ่านกันง่ายๆอีกแล้ว)
ที่สถานี JR Kamakura มีจุด Tourist Information จนท.สปีคอิงลิชได้ ก็เท่ากับมีให้ผู้ใช้บริการเลือก อยากได้ภาษาไหนระหว่างอังกฤษกับญี่ปุ่น กับงานบริการแบบญี่ปุ่น ก็ไม่ต้องห่วงล่ะ เต็มที่หายห่วง ยิ้มแย้ม .. ส่วนเรานี่ก็อยู่ในสถานะตื่นตระหนก ก็กล้องหายไปทั้งกระเป๋าแบบนี้นี่นา เริ่มแจ้งให้ข้อมูลจากตรงไหนยังไงก่อนดีล่ะ เริ่มด้วยประโยคเลยว่า
"ลืมของในรถไฟ"
จนท.สอบถามข้อมูลว่ารถไฟสายไหน เวลาเท่าไหร่ .. เราก็บอกประมาณ 9 โมงครึ่งลงจากสถานีคามาคุระ รถไฟสายอะไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ารถไฟขบวนนั้นไปปลายทางที่ Atami (จริงๆมันเช็คได้ แต่วันนั้นคือ ทางฝ่ายเราเช็คไม่ได้ เพราะ ตารางรถไฟมันไม่ตรงกับที่วิ่งจริง ก็ต้องให้จนท.เป็นฝ่ายให้ข้อมูลเราว่า คือรถไฟสายอะไรที่ไปสถานี Atami)
จนท.บอกไม่ได้ว่า เป็นรถไฟขบวนที่เท่าไหร่อย่างไร เพราะ วันนี้รถไฟดีเลย์ เช็คไม่ได้ และเช็คไม่ได้ด้วยว่า รถไฟตอนนี้วิ่งไปถึงสถานีไหนแล้ว ถามกลับเราว่า มาเที่ยวญี่ปุ่นใช่ไหม (ตอบใช่) จะยังอยู่ญี่ปุ่นอีกกี่วัน เผื่อไม่ได้เจอทันวันนี้ อาจจะต้องรอไปอีกวันสองวันหรือนานกว่านั้น (ตอบให้ช้อมูลไปพร้อมบอกว่า จะไปต่อที่ไหนบ้าง)
และจนท.ยังคงพูดจายิ้มแย้มใจเย็น ช่วยผ่อนคลายความตระหนกเราได้อยู่เช่นกันค่ะ บอกให้กำลังใจเราทำนองว่า "โอกาสการได้เจอสูงมาก ทางเราคิดว่าไม่หาย แต่อาจต้องใช้เวลา และรถไฟไปปลายทางค่อนข้างไกล ต้องรอให้ถึงปลายทาง และจนท.ที่ปลายทางจะเข้าเช็คในรถไฟ ขอให้เรากลับไปเที่ยวทำใจให้สบายก่อน ช่วงบ่ายๆค่อยกลับมาสอบถามที่นี่เพิ่มเติมใหม่ก็ได้ ถ้าจะให้ทางเราโทรติดต่อไปยังศูนย์ลืมของให้"
จนท.ยังย้ำอีกครั้งว่า "โอกาสการเจอสูงมากๆ"
เค้าช่างมั่นใจในความซื่อสัตย์ไม่ลักขโมยของพลเมืองคนชาติเค้ามาก ! หรือแค่ให้กำลังใจให้ความหวังเรานะ ?
ส่วนทางเราก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ทำใจไปก่อนนะว่าจะได้ไปถ่ายรูปพระใหญ่คามาคุระด้วยกล้องมือถือไปก่อน หรืออาจจะต้องถ่ายซากุระด้วยกล้องมือถือนี้ไปอีกทั้งทริป ....... ช่างเป็นการเปิดทริปซากุระที่รอคอยที่แอบไม่สุนทรีย์เบาๆ
(มีต่อ)
แชร์บอกเล่าเล็กๆน้อยๆประสบการณ์ตรง "ของหายได้คืนที่ญี่ปุ่น !!" เมื่อตอนบินไปเที่ยวชมซากุระปีนี้
ของหายได้คืนที่ญี่ปุ่น !! ภาค 1 ที่มาที่ไปที่มันหายไป
เทศกาลซากุระของโตเกียว ที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ ที่ก็ซึ่งได้รับคำแนะนำจากคนญี่ปุ่นมาว่าต้องไปช่วงนี้จะสวยที่สุด ปรึกษากันราว 1/2 ชม. ก็ได้ข้อสรุป และซึ่ง "Full Bloom" เนี่ย มีแค่ปีละ 1 อาทิตย์นะ แต่ต้องจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้ากันเป็นเดือนๆ (จองใกล้ๆราคาจะโหดมาก โดยเฉพาะฤดูซากุระ ราคาจะพุ่งขึ้น 2-3 เท่าเลยทีเดียวในช่วงใกล้ๆช่วง "Full Bloom" ) และจะหยิบจับยังไงให้เป๊ะนะ เรื่องดินฟ้าอากาศ เอาอะไรมาเป็นตัวประกันดี ไม่มีเลย
สุดท้าย โชคก็เข้าข้างกันสุดๆ ที่ได้ตรง "Full Bloom" ของโตเกียวพอดี !! บอกเลยว่างานนี้ ฟินเวอร์ .. แต่ก็แอบได้เทคนิคกันมาอยู่นะคะ คาดว่า ให้ปีหน้าบินไปอีก ก็จะน่าจะหยิบจับโดน Full Bloom อีก (..มั่นใจกันเกินไปเปล่าานะนี่เรา ^^;; )
และนั่น "กล้องถ่ายรูป" จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะ "ต้อง" เอาไปเก็บภาพที่รอคอย "ซากุระ"
คณะเราครั้งนี้มี 6 คน เป็นสว.(สูงวัย)อยู่ถึง 4 คน นัดเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิตอน 1 ทุ่ม ล้อเครื่องบินเริ่มถูกลากถอยหลังตอน 4 ทุ่ม 10 นาที ตรงตามเวลากำหนดการ เครื่องบินลำใหญ่มาก ที่นั่งกว้างใหญ่กว่าที่คิดมาก สายการบินสัญชาติญี่ปุ่น คนแน่นเต็มลำ 90% แลเป็นคนญี่ปุ่น อีกราว 10% แลเป็นคนไทยและมีฝรั่งนิดหน่อยค่ะ
บนเครื่องบิน ดูจากทีวีมอนิเตอร์ที่นั่ง เครื่องบินแอบบินเร็วนิดนึงนะ เฉลี่ยที่ราว 1,100 กม./ชม. แต่ท้องฟ้าปลอดโปร่งตลอดทาง (บินไฟลท์ดึก) เครื่องบินแตะรันเวย์สนามบินฮาเนดะตอนตี 5 เศษ เร็วกว่ากำหนดการ 1 ชม. ! นี่แปลว่าเรากำลังจะเริ่มเที่ยวญี่ปุ่นตั้งแต่ตี 5 สินะ ^^;;
ขอข้ามช็อตการผ่านด่านที่สนามบินไปก่อนนะคะ ไปถึงโตเกียวเช้าวันจันทร์ ตามคำบอกเล่าคนญี่ปุ่นที่รู้จักบางท่านบอกว่า ถ้าอุบัติเหตุจากคนในสถานีรถไฟ วันจันทร์นี่มีโอกาสเกิดสูงกว่าวันอื่น เหมือนว่า วันเสาร์อาทิตย์ไปคิดทบทวนบางสิ่งกันมาแล้ว .. ก็มาหวยออกที่วันจันทร์ที่บินไปถึงพอดี รถไฟดีเลย์กระจุยกระจาย ไปถึงญี่ปุ่นกันแต่เช้า เข้าเมืองได้สำเร็จไปฝากกระเป๋าที่ล็อกเกอร์รร.เสร็จ ก็ออกมาตรงเวลา RUSH HOUR พอดี !!
จากแผนว่า เราจะใช้รถไฟสายที่ต่อเดียวไปถึง "คามาคุระ" ได้เลย ก็ไม่ได้ละ รถไฟดีเลย์แบบไม่รู้จะเช็คกับอะไรได้เลยว่า รถไฟจะมาเมื่อไหร่ ก็ต้องตัดสินใจเปลี่ยนแผนการเดินทางกันตรงนั้น ที่เตรียมไป เพราะเกรงใจสว.จะรอเราคิดหน้างาน ก็คือ สรุป พับแผนหมด เพราะรถไฟดีเลย์ มันใช้ไม่ได้ !
จนท.ในสายรถไฟที่ตั้งใจว่าจะใช้ไปคามาคุระตอนแรก ก็ประกาศนำเสนอรถไฟสายอื่นให้ไปใช้ได้เช่นกัน เป็นสำนวนการใช้ภาษาแบบญี่ปุ่นจริงๆ ไม่เอ่ยแบบตรงๆ แต่ก็อ้อมแบบครอบคลุมความหมาย คือ จะบอกให้ไปใช้ขบวนอื่นดีกว่าอย่ามายืนรอขบวนนี้เลย จะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ถ้าจะให้แปลตีความกันแบบภาษาบ้านๆ
และอานิสงค์จากการต้องเปลี่ยนรถไฟ 4 ตลบ (จากสถานี Shinagawa ถึงสถานี Hase) ผจญภัยกับ Tokyo RUSH HOUR Full Version !!
สว.บุพการีออกอาการเมื่อยขั้นต้นด้วยการวางกระเป๋ากล้องที่ข้างในมี นิคอน รุ่น 4-5 ปีก่อน เลนส์ 2 เลนส์ ฟิลเตอร์ตัวใหม่ 1 อัน และเมมฯการ์ดอันใหม่ !
(รถไฟที่ญี่ปุ่นมีชั้นวางกระเป๋าเหนือศีรษะที่นั่ง)
ลืมอะไรกันแบบน้านนนน ลืมตอนลงที่สถานี Kamakura เปลี่ยนเป็นรถไฟสาย Eno-den ไปสถานี Hase ไปรู้สึกตัวว่า ลืมตอนจะกดบัตรออกจากสถานี Hase ด้วย รถไฟไปไหนแล้ววว .. แล้วเมื่อกี้นั่งรถไฟสายอะไร มุ่งตรงไปไหนมานะนั่น เปลี่ยนรถไฟหลายรอบด้วย ชื่อสถานีแปลกๆไม่ได้คุ้นหรือชวนให้จำได้ในครั้งเดียวเอาซะเลย แถมเช็คตารางรถไฟไม่ได้ด้วย เพราะรถไฟวันนี้ดีเลย์ .. จะเอาข้อมูลอะไรไปแจ้งเจ้าหน้าที่สถานี ?????
จึงให้สมาชิกในกรุ๊ปนั่งรอในสถานี Hase ก่อน ยกโขยงกันไปหมด เราสินะจะเหนื่อย ทุกคนก็เหนื่อยด้วย ที่สำคัญ ไม่ได้แปลว่าจะทำให้กล้องนั้นมีโอกาสเจอสูงขึ้นแต่ประการใด ให้คิดกันไปตรงๆ ก็นั่งพักกันไปละกัน วิน-วิน
ระหว่างทางกลับไปสถานี JR Kamakura ก็คิดๆๆๆ
.. จะแจ้งบอก จนท. อย่างไรดีนะๆๆ
.. แล้ว จนท.จะช่วยได้ไหมนะๆๆ
.. รถไฟที่ลงสถานี Kamakura ลงตอนราวกี่โมงนะ ตอนลงก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องพลิกนาฬิกาดูเลยสักนิด แถมตอนซื้อตั๋วรถไฟสาย Eno-den คนก็เยอะ รอไปกี่นาทีก็ไม่รู้ คำนวณย้อนกลับจากเวลาปัจจุบัน ประมาณเอา
.. โชคยังเข้าข้างที่จำชื่อสถานีรถไฟที่รถไฟขบวนที่นั่ง(ยืน)มาจะไปปลายทางได้ !! นับเป็นข้อมูลล้ำค่า เท่าที่มี !! (เพราะไม่มีอะไรนอกจากนี้อีกเลยยย)
ลงจากสถานี Kamakura (Eno-den Line) ก็ต้องข้ามไปฝั่งสถานี JR Kamakura ที่มี จนท. อยู่ คนเยอะได้อีก
วิธีก็ไม่ยาก .. เดินหา (ปีก่อนเป็นอย่างไร กลับไปเที่ยวใหม่ ก็ยังเป็นเหมือนเดิมล่ะเรา หาหน้างานตล๊อดด .. แต่สนุกกว่านะ ความเห็นส่วนตัวล้วนๆ)
หาเจอตู้จนท.สถานีตรงเกทเข้าออกสถานี จนท.คนที่ 1 บอกให้ไปอีกฝั่ง เข้าไปในสถานีได้เลยไม่ต้องกดตั๋ว (คนญี่ปุ่นเค้าเชื่อใจคนเรื่องความซื่อสัตย์จริงๆ ให้เข้าได้เลยแบบนี้)
เดินฝ่าฝูงชนในสถานีข้ามไปอีกด้านหนึ่งของสถานีตามคำบอก บอกว่า ลืมของ .. จนท.บอกให้ไปทาง Tourist Information ให้ออกจากสถานีได้เลย (ให้ผ่านกันง่ายๆอีกแล้ว)
ที่สถานี JR Kamakura มีจุด Tourist Information จนท.สปีคอิงลิชได้ ก็เท่ากับมีให้ผู้ใช้บริการเลือก อยากได้ภาษาไหนระหว่างอังกฤษกับญี่ปุ่น กับงานบริการแบบญี่ปุ่น ก็ไม่ต้องห่วงล่ะ เต็มที่หายห่วง ยิ้มแย้ม .. ส่วนเรานี่ก็อยู่ในสถานะตื่นตระหนก ก็กล้องหายไปทั้งกระเป๋าแบบนี้นี่นา เริ่มแจ้งให้ข้อมูลจากตรงไหนยังไงก่อนดีล่ะ เริ่มด้วยประโยคเลยว่า "ลืมของในรถไฟ"
จนท.สอบถามข้อมูลว่ารถไฟสายไหน เวลาเท่าไหร่ .. เราก็บอกประมาณ 9 โมงครึ่งลงจากสถานีคามาคุระ รถไฟสายอะไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ารถไฟขบวนนั้นไปปลายทางที่ Atami (จริงๆมันเช็คได้ แต่วันนั้นคือ ทางฝ่ายเราเช็คไม่ได้ เพราะ ตารางรถไฟมันไม่ตรงกับที่วิ่งจริง ก็ต้องให้จนท.เป็นฝ่ายให้ข้อมูลเราว่า คือรถไฟสายอะไรที่ไปสถานี Atami)
จนท.บอกไม่ได้ว่า เป็นรถไฟขบวนที่เท่าไหร่อย่างไร เพราะ วันนี้รถไฟดีเลย์ เช็คไม่ได้ และเช็คไม่ได้ด้วยว่า รถไฟตอนนี้วิ่งไปถึงสถานีไหนแล้ว ถามกลับเราว่า มาเที่ยวญี่ปุ่นใช่ไหม (ตอบใช่) จะยังอยู่ญี่ปุ่นอีกกี่วัน เผื่อไม่ได้เจอทันวันนี้ อาจจะต้องรอไปอีกวันสองวันหรือนานกว่านั้น (ตอบให้ช้อมูลไปพร้อมบอกว่า จะไปต่อที่ไหนบ้าง)
และจนท.ยังคงพูดจายิ้มแย้มใจเย็น ช่วยผ่อนคลายความตระหนกเราได้อยู่เช่นกันค่ะ บอกให้กำลังใจเราทำนองว่า "โอกาสการได้เจอสูงมาก ทางเราคิดว่าไม่หาย แต่อาจต้องใช้เวลา และรถไฟไปปลายทางค่อนข้างไกล ต้องรอให้ถึงปลายทาง และจนท.ที่ปลายทางจะเข้าเช็คในรถไฟ ขอให้เรากลับไปเที่ยวทำใจให้สบายก่อน ช่วงบ่ายๆค่อยกลับมาสอบถามที่นี่เพิ่มเติมใหม่ก็ได้ ถ้าจะให้ทางเราโทรติดต่อไปยังศูนย์ลืมของให้"
เค้าช่างมั่นใจในความซื่อสัตย์ไม่ลักขโมยของพลเมืองคนชาติเค้ามาก ! หรือแค่ให้กำลังใจให้ความหวังเรานะ ?
ส่วนทางเราก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ทำใจไปก่อนนะว่าจะได้ไปถ่ายรูปพระใหญ่คามาคุระด้วยกล้องมือถือไปก่อน หรืออาจจะต้องถ่ายซากุระด้วยกล้องมือถือนี้ไปอีกทั้งทริป ....... ช่างเป็นการเปิดทริปซากุระที่รอคอยที่แอบไม่สุนทรีย์เบาๆ
(มีต่อ)