จากที่เป็นข่าวในช่วงนี้ ที่ร้านสะดวกซื้อรายหนึ่งเอาเปรียบในการดำเนินธุรกิจระหว่างผู้ค้า (Supplier) .......ผมได้มีโอกาสไปตรวจประเมินโรงงานต่างๆ และได้ฟัง (การเล่า) เรื่องต่างๆที่โรงงานที่ผมไปตรวจ ได้ประสบกับร้านสะดวกซื้อรายนี้ ซึ่งใครที่คิดจะทำการค้าขาย หรือเป็นผู้ค้า ควรพิจารณาให้ดีก่อนนะครับ กระทู้นี้ผมอยากให้เป็นหนึ่งในความคิดเห็น ก่อนที่จะตัดสินใจ....
กระบวนการโดยทั่วไป ก่อนมีการซื้อ/ขายสินค้ากัน
1. ทางฝ่ายจัดซื้อหาสินค้า (หรือ Supplier นำสินค้ามานำเสนอ)
2. เมื่อมีสินค้าใหม่ ทางฝ่าย R&D กับฝ่าย MKT (ฝ่ายที่เกี่ยวข้องขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท) จะทำการทดลอง และ Test สินค้า หรือวัตถุดิบนั้นๆ
2.1 ถ้าผ่าน ก็ดำเนินการซื้อ/ขายกันตามปกติ
2.2 ถ้าไม่ผ่าน ทางฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะทำการพัฒนาร่วมกับ Supplier (ถ้าเค้าสนใจสินค้าตัวนั้นๆ) จนกว่าผล Test จะผ่าน
3. ทางทีมตรวจประเมินระบบคุณภาพของ Supplier (ส่วนใหญ่เป็นฝ่าย QA) จะตรวจใน Scope ด้านคุณภาพ และความปลอดภัยของสินค้า หรือวัตถุดิบที่จะทำการซื้อขายกัน
3.1 ถ้าผ่าน ก็มีการซื้อขายกันได้ตามปกติ
3.2 ถ้าไม่ผ่าน ทาง Supplier ต้องมีการจัดทำ Corrective Action กลับมาเพื่อเป็นการปรับปรุงในส่วนที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยของอาหาร
แต่สิ่งที่ร้านสะดวกซื้อรายหนึ่งทำคือ ในส่วนที่ 3 การตรวจประเมินโรงงาน..... ทางฝ่าย QA เข้าร่วมตรวจ Supplier กับฝ่าย R&D (ซึ่งไม่แปลก การ Audit Supplier บางที่จะมีฝ่ายอื่นๆ เข้าร่วมสังเกตุในการตรวจประเมิน) ซึ่งฝ่าย R&D ของทางร้านสะดวกซื้อรายหนึ่ง ไม่ได้เข้าไปเพื่อ Improve Process ของทาง Supplier แต่เข้าไปจดสูตรต่างๆของสินค้า (จากที่ได้ฟัง จดน้ำหนัก และกระบวนการที่เป็นหัวใจของสินค้านั้นๆแบบจิงจัง!!!!) ซึ่งถ้ารอบแรกจดไม่ครบ หรือนำรายละเอียดมาทดลองทำแล้วไม่เหมือน ทางร้านสะดวกซื้อนั้นจะหาเรื่องเข้าไปทำการ Audit ซ้ำ (แต่ผลการ Audit ด้านคุณภาพครั้งแรก "ผ่าน") (จากที่ฟังมา ทางฝ่าย QA ของร้านสะดวกซื้อ ก็ไม่ชอบฝ่าย R&D ที่ทำแบบนี้......ผมว่า QA เค้ามีจิตวิณญาณในวิชาชีพนะครับ) ซึ่งส่วนใหญ่ทาง Supplier ก็จะให้เข้ามา Audit อีกครั้ง
สังเกตุได้จากชั้นขาย ในร้านสะดวกซื้อ จะมีสินค้าที่เหมือนกันทั้งรูปแบบ และรสชาติมาวางข้างๆ แต่ราคาที่เค้าทำจะถูกกว่า (ซึ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ) (ผมว่ามันก็ดีนะครับ ผู้ซื้อจะได้มีตัวเลือกมากขึ้น และราคาถูกลง แต่ถ้าทางร้านสะดวกซื้อไม่ได้ไป Copy (ขโมยสูตร) ออกมา จนเป็นขี้ปากในวงการอุตสาหกรรมอาหาร)
การที่ผมตั้งกระทู้นี้จะให้เห็นว่า ร้านสะดวกซื้อรายหนึ่งมีความโลภที่ไม่รู้จักพอ เพราะการที่สินค้ามาขายในร้านดังกล่าว ทางร้านเองได้ค่าแรกเข้า (หรือเรียกเก็บค่าวางสินค้า) และกำไรจากการขายสินค้าได้ประมาณ 20-25% (Margin) ยังไงร้านสะดวกซื้อก็ได้กำไรจากราคาสินค้าอยู่แล้ว.......คำถามคือ มันไม่พอใช่ไหม????
ซึ่งถ้ากระทู้ที่ผมตั้งมานั้นไม่เป็นความจริง ผมว่าทางฝ่าย R&D ของทางร้านสะดวกซื้อนั้นคงเก็ง และฉลาดมากๆๆ ที่สามารถแกะสินค้าต่างๆได้อย่างเหมือนทั้งรสชาติ และผิวสัมผัสได้
กระทู้นี้ผมตั้งใจที่จะเป็นหนึ่งในข้อพิจารณาของ ผู้ผลิตรายเล็ก ที่จำนำสินค้าเข้าไปวางขายในร้านสะดวกซื้อนั้น (ถ้าสินค้าขายดี โดน Copy (ขโมยสูตร) แน่ๆ ถ้าขายไม่ดี ก็ตามมีตามเกิดของผู้ผลิตแหละครับ) ผมเพียงต้องการให้การแข่งขันทางอุตสาหกรรมอาหารมีการพัฒนา (ซึ่งอาจมีการลอกเลียนแบบในสินค้าต่างๆ แต่ก็เป็นความสามารถของฝ่าย R&D ที่จะพัฒนาให้เหมือนโดยใช้สมอง ไม่ใช่การไปขโมยสูตรจากโรงงาน) ด้วยเทคโนโลยี และความคิดให้กับเด็กรุ่นใหม่ ที่กำลังเข้าในวงการอาหารครับ.....
ความ (จริง) โลภ ของ "ร้านสะดวกซื้อ" แห่งหนึ่ง.......
กระบวนการโดยทั่วไป ก่อนมีการซื้อ/ขายสินค้ากัน
1. ทางฝ่ายจัดซื้อหาสินค้า (หรือ Supplier นำสินค้ามานำเสนอ)
2. เมื่อมีสินค้าใหม่ ทางฝ่าย R&D กับฝ่าย MKT (ฝ่ายที่เกี่ยวข้องขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท) จะทำการทดลอง และ Test สินค้า หรือวัตถุดิบนั้นๆ
2.1 ถ้าผ่าน ก็ดำเนินการซื้อ/ขายกันตามปกติ
2.2 ถ้าไม่ผ่าน ทางฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะทำการพัฒนาร่วมกับ Supplier (ถ้าเค้าสนใจสินค้าตัวนั้นๆ) จนกว่าผล Test จะผ่าน
3. ทางทีมตรวจประเมินระบบคุณภาพของ Supplier (ส่วนใหญ่เป็นฝ่าย QA) จะตรวจใน Scope ด้านคุณภาพ และความปลอดภัยของสินค้า หรือวัตถุดิบที่จะทำการซื้อขายกัน
3.1 ถ้าผ่าน ก็มีการซื้อขายกันได้ตามปกติ
3.2 ถ้าไม่ผ่าน ทาง Supplier ต้องมีการจัดทำ Corrective Action กลับมาเพื่อเป็นการปรับปรุงในส่วนที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยของอาหาร
แต่สิ่งที่ร้านสะดวกซื้อรายหนึ่งทำคือ ในส่วนที่ 3 การตรวจประเมินโรงงาน..... ทางฝ่าย QA เข้าร่วมตรวจ Supplier กับฝ่าย R&D (ซึ่งไม่แปลก การ Audit Supplier บางที่จะมีฝ่ายอื่นๆ เข้าร่วมสังเกตุในการตรวจประเมิน) ซึ่งฝ่าย R&D ของทางร้านสะดวกซื้อรายหนึ่ง ไม่ได้เข้าไปเพื่อ Improve Process ของทาง Supplier แต่เข้าไปจดสูตรต่างๆของสินค้า (จากที่ได้ฟัง จดน้ำหนัก และกระบวนการที่เป็นหัวใจของสินค้านั้นๆแบบจิงจัง!!!!) ซึ่งถ้ารอบแรกจดไม่ครบ หรือนำรายละเอียดมาทดลองทำแล้วไม่เหมือน ทางร้านสะดวกซื้อนั้นจะหาเรื่องเข้าไปทำการ Audit ซ้ำ (แต่ผลการ Audit ด้านคุณภาพครั้งแรก "ผ่าน") (จากที่ฟังมา ทางฝ่าย QA ของร้านสะดวกซื้อ ก็ไม่ชอบฝ่าย R&D ที่ทำแบบนี้......ผมว่า QA เค้ามีจิตวิณญาณในวิชาชีพนะครับ) ซึ่งส่วนใหญ่ทาง Supplier ก็จะให้เข้ามา Audit อีกครั้ง
สังเกตุได้จากชั้นขาย ในร้านสะดวกซื้อ จะมีสินค้าที่เหมือนกันทั้งรูปแบบ และรสชาติมาวางข้างๆ แต่ราคาที่เค้าทำจะถูกกว่า (ซึ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ) (ผมว่ามันก็ดีนะครับ ผู้ซื้อจะได้มีตัวเลือกมากขึ้น และราคาถูกลง แต่ถ้าทางร้านสะดวกซื้อไม่ได้ไป Copy (ขโมยสูตร) ออกมา จนเป็นขี้ปากในวงการอุตสาหกรรมอาหาร)
การที่ผมตั้งกระทู้นี้จะให้เห็นว่า ร้านสะดวกซื้อรายหนึ่งมีความโลภที่ไม่รู้จักพอ เพราะการที่สินค้ามาขายในร้านดังกล่าว ทางร้านเองได้ค่าแรกเข้า (หรือเรียกเก็บค่าวางสินค้า) และกำไรจากการขายสินค้าได้ประมาณ 20-25% (Margin) ยังไงร้านสะดวกซื้อก็ได้กำไรจากราคาสินค้าอยู่แล้ว.......คำถามคือ มันไม่พอใช่ไหม????
ซึ่งถ้ากระทู้ที่ผมตั้งมานั้นไม่เป็นความจริง ผมว่าทางฝ่าย R&D ของทางร้านสะดวกซื้อนั้นคงเก็ง และฉลาดมากๆๆ ที่สามารถแกะสินค้าต่างๆได้อย่างเหมือนทั้งรสชาติ และผิวสัมผัสได้
กระทู้นี้ผมตั้งใจที่จะเป็นหนึ่งในข้อพิจารณาของ ผู้ผลิตรายเล็ก ที่จำนำสินค้าเข้าไปวางขายในร้านสะดวกซื้อนั้น (ถ้าสินค้าขายดี โดน Copy (ขโมยสูตร) แน่ๆ ถ้าขายไม่ดี ก็ตามมีตามเกิดของผู้ผลิตแหละครับ) ผมเพียงต้องการให้การแข่งขันทางอุตสาหกรรมอาหารมีการพัฒนา (ซึ่งอาจมีการลอกเลียนแบบในสินค้าต่างๆ แต่ก็เป็นความสามารถของฝ่าย R&D ที่จะพัฒนาให้เหมือนโดยใช้สมอง ไม่ใช่การไปขโมยสูตรจากโรงงาน) ด้วยเทคโนโลยี และความคิดให้กับเด็กรุ่นใหม่ ที่กำลังเข้าในวงการอาหารครับ.....