หายจากพันทิพย์ไปเสียนาน นานเสียจนเกือบลืมรหัสผ่านของตัวเอง ความจริงก็ไม่ได้ล้มหายตายจาก หรือโดนยึดล็อคอิน ตามกระแสฮิตของห้อง รดน.ในยุคของ คสช.หรอกนะ เพียงแต่ทนเห็นเพื่อนพ้องน้องพี่ โดนยึดล็อคอินกันไปทีละคน 2 คน ผมจำไม่ได้ว่ามีใครบ้าง แต่เคยมีคนเอาล็อคอินในสายแดงมาแต่งเป็นกลอนแปด ได้ยาวพอสมควร จากชายภีม มานายภีมระยะเวลากว่าสิบปีที่ใช้ชื่อนี้ ผมย่อมรักและหวงของผม ทางที่ดีเมื่อน้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ ก็มุดนี้ไปก่อน รอแสงสว่างของ ปชต.ในประเทศนี้ส่องมาถึงห้อง รดน. ค่อยออกมาวาดลวดลายกันอีกที
ตอนนี้ในต่างจังหวัดเฉพาะภาคกลางแล้งมากๆ เช้าวันที่ 30 มีค.ประมาณ6โมง ผมนำเจ้าเมอริดา คู่ชีพออกปั่นไปตามเส้นทาง วัดประโชติการาม เลี้ยวขวาไปวัดสะเดา สองข้างทางตอนนี้ท้องทุ่งแห้งแล้งมาก มีแต่ตอซังยืนแห้งตาย มีบางพื้นที่ ที่ชาวนากัดฟันสูบน้ำบาดาลขึ้นมาทำนา แต่ก็ต้องผจญกับกองทัพหนูนาที่อดอยากมารุมทึ้งกัดกินต้นข้าว บางแปลง20ไร่ได้ข้าว 2 เกวียนราคาหกพัน เจ็ดพัน ไม่รู้จะร้องไห้เป็นภาษาอะไรดี มีอีกแปลงลงทุนสูบน้ำจากแม่น้ำน้อยมาลงคลอง สูบจากคลองมาเข้าคูน้ำ สูบจากคูน้ำเข้านา เพื่อเลี้ยงต้นข้าว 30 ไร่ สรุปได้ข้าว 1 เกวียนพอดี อันนี้คงต้องร้องไห้ภาษาคาเมรูน มีบางส่วนของชาวนาหันมาปลูกถั่ว ก็เจอกับอากาศที่ร้อนแล้ง จนต้องปล่อยให้ตายไปตามกรรม เห็นแปลงหนึ่งประมาณ ห้าหกไร่ ปลูกเผือก ดูท่าจะดี แต่เผือกก็ต้องใช้น้ำ ชาวบ้านก็ต้องสูบน้ำเลี้ยงแปลงอยู่ดีนั่นแหล่ะ ผ่านมาเรื่อยๆ เจอแต่ประกาศขายที่นา ลงได้ว่าชาวนาขายที่ทำกิน แสดงว่าหมดทางแล้ว จำนนแล้ว ยอมแพ้แล้ว เงินที่ได้คงใช้หนี้เกือบหมด แล้วก็หันมารับจ้างทำนา หรือเช่านาตัวเองทำในที่สุด
ผ่านมาเรื่อยๆ เห็นชาวบ้านนั่งคุยกัน ท่าทางบ่งบอกถึงความเศร้า เสื้อไม่ใส่ กางเกงขาก๊วย ผ้าขาวม้าคาดพุง สูบบุหร่ใบจากควันโขมง ไม่ต้องมากลีลา ไม่รู้คุยกันเรื่องอะไร ผมปั่นผ่านออกไปกลางทุ่งนา ออกมาทาง รร.บ้านไม้ดัด แวะที่ โรงพักบางระจัน มีโปลิศท่านหนึ่งเดินมาถามไถ่ ว่าปั่นมาจากไหน ผมบอกว่าจากในเมือง ท่านทำท่าไม่เชื่อ นั่งดื่มน้ำอยู่พักหนึ่งก็ปั่นต่อไปทางวัดน้ำผึ้ง แวะเยี่ยมเพื่อนเก่าคนหนึ่ง คุยกันพักใหญ่ ปั่นต่อไปโครงการชัณสูตร ต้นน้ำแม่น้ำน้อย ข้ามสะพานมาฝั่งตลาด ชักหิวแวะหาอะไรรองท้องหน่อยดีกว่า เห็นมีแม่ค้าขายข้าวเหนียวหน้าหมูเป็นห่อๆ สั่งไป 1 ห่อ ถามราคาแม่ค้าบอก10บาท น่าสงสารมากเลยสั่งเพิ่มเป็น 2 ห่อ ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถขายราคานี้ได้ ได้ข้าวเหนียวแต่ยังไม่กินปั่นต่อมาอีกหน่อย ผ่าน รพ.บางระจันเลี้ยวซ้ายลงชายน้ำ ไม่น่าเชื่อว่านี่คือแม่น้ำน้อยอันเกรียงไกร แทบไม่มีน้ำ มีแต่วัชพืชปกคลุมเต็มไปหมด น้ำน้อยมากๆจนแทบไม่มีติดก้นแม้น้ำ ปั่นไปอีกหน่อยเจอศาลา แวะกินข้าวดีกว่า กินไป 2 ห่อ อิ่มเลย หนังตาหย่อนแล้ว นอนเล่นที่เปลดีกว่า นอนไปสักพักหลับไปงีบหนึ่ง ตื่นมาพอดีเพื่อนมารับไปเที่ยว เลยเอาจักรยานขึ้นรถเพื่อน ขับไปเที่ยวกัน 2 คน จบทริปแค่นี้เอง ไม่เป็นไปตามเป้า วันหน้าเอาใหม่ ขอบคุณท่านที่ทนอ่านจนจบ อาจไร้สาระไปนิด แต่ต้องการสะท้อนภาพจริงของชาวนาที่สิงห์บุรีตอนนี้ ที่แทบจะไม่มีอาชีพอะไรเลย ที่จะนำมาเลี้ยงปากท้องตัวเองและครอบครัว คงได้แต่ตั้งหน้ารอฝนฟ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้นเอง และหากทำนาได้ข้าวมาแล้ว ขอท่าน รัฐบาล.แสดงฝีมือยกระดับราคาข้าวพอให้เขาอยู่ได้ด้วยเทอญ สาธุ
ปั่นจักรยาน ดูชาวบ้านเขาทำมาหากิน
ตอนนี้ในต่างจังหวัดเฉพาะภาคกลางแล้งมากๆ เช้าวันที่ 30 มีค.ประมาณ6โมง ผมนำเจ้าเมอริดา คู่ชีพออกปั่นไปตามเส้นทาง วัดประโชติการาม เลี้ยวขวาไปวัดสะเดา สองข้างทางตอนนี้ท้องทุ่งแห้งแล้งมาก มีแต่ตอซังยืนแห้งตาย มีบางพื้นที่ ที่ชาวนากัดฟันสูบน้ำบาดาลขึ้นมาทำนา แต่ก็ต้องผจญกับกองทัพหนูนาที่อดอยากมารุมทึ้งกัดกินต้นข้าว บางแปลง20ไร่ได้ข้าว 2 เกวียนราคาหกพัน เจ็ดพัน ไม่รู้จะร้องไห้เป็นภาษาอะไรดี มีอีกแปลงลงทุนสูบน้ำจากแม่น้ำน้อยมาลงคลอง สูบจากคลองมาเข้าคูน้ำ สูบจากคูน้ำเข้านา เพื่อเลี้ยงต้นข้าว 30 ไร่ สรุปได้ข้าว 1 เกวียนพอดี อันนี้คงต้องร้องไห้ภาษาคาเมรูน มีบางส่วนของชาวนาหันมาปลูกถั่ว ก็เจอกับอากาศที่ร้อนแล้ง จนต้องปล่อยให้ตายไปตามกรรม เห็นแปลงหนึ่งประมาณ ห้าหกไร่ ปลูกเผือก ดูท่าจะดี แต่เผือกก็ต้องใช้น้ำ ชาวบ้านก็ต้องสูบน้ำเลี้ยงแปลงอยู่ดีนั่นแหล่ะ ผ่านมาเรื่อยๆ เจอแต่ประกาศขายที่นา ลงได้ว่าชาวนาขายที่ทำกิน แสดงว่าหมดทางแล้ว จำนนแล้ว ยอมแพ้แล้ว เงินที่ได้คงใช้หนี้เกือบหมด แล้วก็หันมารับจ้างทำนา หรือเช่านาตัวเองทำในที่สุด
ผ่านมาเรื่อยๆ เห็นชาวบ้านนั่งคุยกัน ท่าทางบ่งบอกถึงความเศร้า เสื้อไม่ใส่ กางเกงขาก๊วย ผ้าขาวม้าคาดพุง สูบบุหร่ใบจากควันโขมง ไม่ต้องมากลีลา ไม่รู้คุยกันเรื่องอะไร ผมปั่นผ่านออกไปกลางทุ่งนา ออกมาทาง รร.บ้านไม้ดัด แวะที่ โรงพักบางระจัน มีโปลิศท่านหนึ่งเดินมาถามไถ่ ว่าปั่นมาจากไหน ผมบอกว่าจากในเมือง ท่านทำท่าไม่เชื่อ นั่งดื่มน้ำอยู่พักหนึ่งก็ปั่นต่อไปทางวัดน้ำผึ้ง แวะเยี่ยมเพื่อนเก่าคนหนึ่ง คุยกันพักใหญ่ ปั่นต่อไปโครงการชัณสูตร ต้นน้ำแม่น้ำน้อย ข้ามสะพานมาฝั่งตลาด ชักหิวแวะหาอะไรรองท้องหน่อยดีกว่า เห็นมีแม่ค้าขายข้าวเหนียวหน้าหมูเป็นห่อๆ สั่งไป 1 ห่อ ถามราคาแม่ค้าบอก10บาท น่าสงสารมากเลยสั่งเพิ่มเป็น 2 ห่อ ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถขายราคานี้ได้ ได้ข้าวเหนียวแต่ยังไม่กินปั่นต่อมาอีกหน่อย ผ่าน รพ.บางระจันเลี้ยวซ้ายลงชายน้ำ ไม่น่าเชื่อว่านี่คือแม่น้ำน้อยอันเกรียงไกร แทบไม่มีน้ำ มีแต่วัชพืชปกคลุมเต็มไปหมด น้ำน้อยมากๆจนแทบไม่มีติดก้นแม้น้ำ ปั่นไปอีกหน่อยเจอศาลา แวะกินข้าวดีกว่า กินไป 2 ห่อ อิ่มเลย หนังตาหย่อนแล้ว นอนเล่นที่เปลดีกว่า นอนไปสักพักหลับไปงีบหนึ่ง ตื่นมาพอดีเพื่อนมารับไปเที่ยว เลยเอาจักรยานขึ้นรถเพื่อน ขับไปเที่ยวกัน 2 คน จบทริปแค่นี้เอง ไม่เป็นไปตามเป้า วันหน้าเอาใหม่ ขอบคุณท่านที่ทนอ่านจนจบ อาจไร้สาระไปนิด แต่ต้องการสะท้อนภาพจริงของชาวนาที่สิงห์บุรีตอนนี้ ที่แทบจะไม่มีอาชีพอะไรเลย ที่จะนำมาเลี้ยงปากท้องตัวเองและครอบครัว คงได้แต่ตั้งหน้ารอฝนฟ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้นเอง และหากทำนาได้ข้าวมาแล้ว ขอท่าน รัฐบาล.แสดงฝีมือยกระดับราคาข้าวพอให้เขาอยู่ได้ด้วยเทอญ สาธุ