คนที่เคยอ่านหนังสือ “กำลังภายในจีน” ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นคนยุคก่อนจะต้องรู้จักคำว่า “วิชามาร” ซึ่งเป็นวิชาความรู้ในการต่อสู้ที่รุนแรง ร้ายกาจ โหดเหี้ยม และบางครั้งก็มักจะไม่คำนึงถึง “จรรยาบรรณ” หรือ “กติกา” ในการต่อสู้
และคนที่ใช้วิชาแบบนี้ก็มักจะเป็นผู้ร้ายหรือเป็น “
มาร” ส่วนคนที่เป็นพระเอกหรือคนดีที่เป็น “
เทพ” นั้น
ก็มักจะใช้วิชาอีกแบบหนึ่งที่มีลักษณะตรงกันข้ามในเรื่องของรูปแบบ เช่น ไม่รุนแรงโหดเหี้ยม
แต่อาจจะอาศัยแรงของคู่ต่อสู้ที่ทำให้เขา “แพ้ภัยตัวเอง” วิชาเทพนั้นมักจะ “อ่อนโยนและสงบนิ่ง” กว่า
นอกจากนั้นก็มักจะต้องยึดถือ “จรรยาบรรณ” ในการต่อสู้ ไม่คดโกงหรือลอบกัดฝ่ายตรงข้าม
การต่อสู้ระหว่างมารและเทพนั้น แม้ว่าในระยะแรกดูเหมือนมารจะได้เปรียบ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เทพก็มักจะเป็นฝ่ายชนะ
ผมเองนั้นไม่ใช่คนที่ชอบอ่านหนังสือกำลังภายในเลย อย่างไรก็ตาม แนวคิดเรื่องวิชาเทพ-วิชามารนั้น
ผมคิดว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเรื่องของการลงทุนได้ดี สิ่งที่จะต้องประกาศไว้ก่อนเพื่อป้องกันการเข้าใจผิดก็คือ
ในเรื่องของการลงทุนนั้น “
วิชามาร” ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นสิ่งที่เลวร้าย และคนที่ใช้มันก็ไม่ใช่คนที่ไม่ดีเสมอไป
เช่นเดียวกัน “
วิชาเทพ” เองก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป และคนที่ใช้ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนที่ดีเสมอไป เช่นเดียวกัน
คนที่ใช้วิชาเทพมากก็ไม่ใช่ว่าจะต้องชนะ และผู้ที่ใช้วิชามารเป็นหลักก็ไม่ใช่ว่าจะต้องแพ้
บ่อยครั้งมันอาจจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์เช่นเดียวกับความสามารถของผู้ใช้ เหนือสิ่งอื่นใด
มีนักลงทุ
นน้อยคนที่จะใช้เฉพาะวิชามารหรือวิชาเทพเพียงอย่างเดียวในการลงทุน
ในบางโอกาส แม้แต่คนที่ยึดถือวิชาเทพเป็นหลักมากๆ ก็ยังใช้วิชามารเข้าเล่นด้วย
เช่นเดียวกัน คนที่ดูเหมือนจะใช้วิชามารเป็นส่วนใหญ่ก็มักจะงัดวิชาเทพออกมาใช้ ดังนั้น ความหมายที่ผมต้องการสื่อก็คือ
วิชาก็คือวิชา มันเป็นกลาง มันเป็นเสมือนอาวุธและลีลาที่ใครจะนำไปใช้ก็ได้ที่จะทำให้เขา “
ชนะ”
ในเรื่องของการลงทุนนั้น นิยามกว้างๆ ที่ผมจะกำหนดว่าแบบไหนเป็นวิชามารและแบบไหนเป็นวิชาเทพนั้น
จะล้อไปกับเรื่องของกำลังภายใน หลักๆ ก็คือ ถ้าเป็นเรื่อง “รุนแรง”
นั่นก็คือ ลงทุนแล้วได้เสียมากและเร็วมาก ก็จะถือว่าเป็น “วิชามาร” นั่นคือ
ข้อแรก
ข้อสอง ถ้าเป็นเรื่องที่ “ร้ายกาจ” นั่นคือ เข้าไปเล่นหุ้นตัวใดตัวหนึ่งแล้ว เรา “ชนะ” คือสามารถทำกำไรได้มโหฬาร
แต่คนที่ “แพ้” คือคนที่เล่นหุ้นตัวเดียวกันต้องขาดทุนอย่างหนัก
พูดง่ายๆ คนที่ชนะ
“กินเงินจากผู้แพ้” แบบนี้ถือว่าเป็นวิชามาร
ตรงกันข้าม
ถ้าคนที่ชนะไม่ได้ได้เงินจากนักลงทุนคนอื่น
แต่ได้จากการที่บริษัทสามารถทำกำไรได้มากขึ้นมากทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปมากและไม่ตกลงมาที่ทำให้คนอื่นขาดทุน
นิยาม
ข้อสุดท้าย ก็คือ เรื่องของความ “โหดเหี้ยม” และ/หรือ “ไร้จรรยาบรรณ”
นั่นก็คือ การ
“ปั่นหุ้น” และการ
“ใช้ข้อมูลภายใน” ในการลงทุน
นี่ถือว่าเป็น “วิชามาร” ขั้นสุดยอดจริงๆ และคนที่เล่นแบบนี้ก็ต้องถือว่าเป็น “มาร” จริงๆ ในแง่ที่เป็นคนไม่ดี
และกรณีที่ทำมากจนเข้าข่ายผิดกฎหมายก็เสี่ยงที่จะต้องถูกลงโทษทางอาญา แต่สำหรับนิยามของผมเองนั้น
การปั่นหุ้นและการใช้ข้อมูลภายในแม้ว่าจะไม่ถึงขั้นผิดกฎหมายก็ต้องถือว่าเป็น “วิชามารขั้นสูง” ที่ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้
และนิยามการปั่นหุ้นและการใช้ข้อมูลภายในนั้นเอง ก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นสีเทาๆ นั่นก็คือ
ถ้ามีการใช้กระบวนการในการปล่อยข่าวและ/หรือสร้างกระแสหรือภาพลักษณ์ของกิจการหรือหุ้นมากมายโดยที่มันไม่ใช่ความจริง
หรือมีความไม่แน่นอนสูงเพื่อที่จะทำให้คนสนใจเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อที่จะผลักดันราคา หรือมีการซื้อขายหุ้นนำเพื่อทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปรุนแรง
เพื่อที่จะดึงดูดให้คนสนใจเข้ามาร่วมวงซื้อขายอะไรทำนองนี้ แม้ว่าโดยนิยามทางกฎหมายอาจจะไม่ใช่การปั่นหุ้น
แต่โดยนิยามของผมแล้วมันก็คือการใช้วิชามาร
มาดูกันว่าพฤติกรรมแบบไหนในการลงทุนที่เข้าข่ายการใช้ “วิชามาร” กันบ้าง
เบื้องต้นก็คือ ตามนิยาม
ข้อแรก ที่น่าจะเป็นวิชามารอย่างอ่อน
ผมคิดว่า การลงทุนหรือเล่นหุ้นที่มีการใช้มาร์จินนั้นเป็นการใช้วิชามารเพื่อที่จะเร่งผลตอบแทน
ยิ่งใช้มาร์จินสูงก็จะมีความรุนแรงหรือความผันผวนของผลตอบแทนการลงทุนมากขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกัน
การกู้ยืมเงินจากพ่อแม่พี่น้องหรือญาติมาลงทุนรวมถึงการนำสินทรัพย์ เช่น บ้านมาค้ำประกันเพื่อกู้เงินมาลงทุนต่างๆ
เหล่านี้ก็เป็นเรื่องการใช้วิชามารทั้งสิ้น นอกจากนั้น การลงทุนในตราสารการเงินที่มีความผันผวนสูงมากๆ
เนื่องจากลักษณะตราสารเองไม่ใช่ลักษณะของกิจการ ตัวอย่างเช่น วอแร้นต์ที่ราคาแปลงสภาพสูงกว่าราคาของหุ้นแม่มาก
หรือการเล่นคอมโมดิตี้หรือพวกฟิวเจอร์หรือออปชั่นที่มีการวางเงินเพียงเล็กน้อยแต่มีระดับของการ “พนัน” สูงมาก
ผมก็ถือว่าเรากำลัง “
เล่นกับไฟ” และดังนั้นมันจึงเป็นการใช้วิชามาร
ว่าที่จริง การเข้าไปเล่นหุ้น IPO ในวันที่หุ้นเข้าตลาดในวันแรกในช่วงเร็วๆ นี้นั้น ผมเองคิดว่ามันก็ไม่ห่างจากวิชามารมากนัก
นิยามใน
ข้อสอง คือเรื่องของความ “ร้ายกาจ” นั้น ถ้าเกิดจากความตั้งใจของการเข้าไปไล่ราคาหุ้น
เพื่อที่จะ “ปล่อยของ” อย่างรวดเร็ว นั่นก็คือ การทำราคาหุ้นให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยวิธีการต่างๆ
เพื่อที่ตนเองจะได้ขายในราคาสูงโดยที่รู้ว่าพื้นฐานของราคาหุ้นต่ำกว่านั้นมาก
ผลก็คือ นักลงทุนคนอื่นที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ต้อง “บาดเจ็บ” อย่างหนักเนื่องจากเข้าไปซื้อหุ้นที่แพงเกินพื้นฐานไปมาก
และต้องขายขาดทุนหนักหรือต้องติดหุ้นไปยาวนานมาก ลักษณะแบบนี้ก็ต้องถือว่าเป็นการใช้วิชามารอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ยังมีการซื้อหุ้นและขายทำกำไรมากแต่คนอื่นขาดทุนอย่างหนักโดยที่เจ้าตัวอาจจะไม่ได้ตั้งใจ
นี่ก็คือการที่นักลงทุนเข้าไปเล่นหุ้นที่มีผลประกอบการที่มีความไม่แน่นอนสูงหรือมีวัฏจักรรุนแรง พอเข้าไปแล้วราคาหุ้นอาจจะขึ้นไปสูงมากอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจะเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของธุรกิจและ/หรือผลจากการซื้อหุ้นของเขาเอง
เขาจึงตัดสินใจขายหุ้นทิ้งอย่างรวดเร็วทำกำไรงดงามและทำให้ราคาตกลงอย่างหนัก และทำให้นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากเสียหาย
ในกรณีแบบนี้ก็อาจจะถือได้ว่าเป็นเรื่องของวิชามารเหมือนกันแม้ว่าดีกรีจะอ่อนกว่าแบบแรก
สุดท้าย คือนิยามของความโหดเหี้ยมและ/หรือไร้จรรยาบรรณในการลงทุน
นี่ก็คือการเล่นหุ้นในแบบที่อาจจะเป็นการเอาเปรียบคนอื่นอย่างชัดเจน เช่น
การปั่นหุ้นและการใช้ข้อมูลภายในไม่ว่าจะเป็นเรื่องผิดกฎหมายหรือไม่ นอกจากนั้น การเล่นหุ้นที่ใช้ “วิศวกรรมการเงิน” แบบวิชามาร
เช่น การซื้อหุ้น PP หรือหุ้นใหม่ของบริษัทในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดมากๆ การให้วอแร้นต์ฟรีจำนวนมากๆ ที่จะไดลูทหรือทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมมีสัดส่วนในบริษัทน้อยลงมากในอนาคต การแตกพาร์โดยไม่สมเหตุผล และอื่นๆ อีกมาก
แบบนี้ผมถือว่ามันเป็นเรื่องของการใช้วิชามารในการลงทุนหรือเล่นหุ้นทั้งสิ้น
ถ้าจะถือว่าเซียนหุ้นระดับโลกคนไหนใช้วิชามารมากนั้น ผมคิดว่า
จอร์จ โซรอส เป็นคนหนึ่ง เพราะการทำกำไรของโซรอสนั้น
บ่อยครั้งทิ้ง “หายนะ” ให้กับคนอื่นๆ อีกหลายคน ส่วนคนที่ใช้วิชาเทพมากนั้น แน่นอน คือ
วอเร็น บัฟเฟตต์
ที่ทำเงินโดยการเติบโตของกิจการที่เขาไปลงทุน มีหุ้นน้อยมากที่บัฟเฟตต์ซื้อและขายทำกำไรได้งดงามแต่ในที่สุดคนที่ซื้อตามเจ๊ง
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ บัฟเฟตต์ซื้อแล้วเขาแทบจะไม่เคยขายอย่างรวดเร็ว จำนวนมากเขาถือมันไว้ตลอดชีวิต
บัฟเฟตต์นั้นได้เงินจากบริษัท ไม่ได้ได้จากผู้ถือหุ้นคนอื่น
ในตลาดหุ้นไทยนั้น ผมไม่รู้ว่าระหว่างคนที่ใช้วิชาเทพหรือคนที่ใช้วิชามารอย่างมีประสิทธิภาพนั้น
ใครทำกำไรหรือได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่า เป็นไปได้ว่าในช่วงที่ตลาดหุ้นร้อนแรงและราคาหุ้นขึ้นเป็นกระทิงยาวนานนั้น
คนที่ใช้วิชามารเก่งๆ น่าจะทำกำไรได้ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวที่ตลาดหุ้นมักมีการขึ้นลงและมักจะมีช่วงที่เลวร้ายเป็นระยะๆ
คนที่ใช้วิชาเทพก็อาจจะสามารถทำผลงานเฉลี่ยได้ดีกว่าเช่นเดียวกัน เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์...
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
30 มีนาคม 2015
ที่มา :
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.thaivi.org/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3/
วิชาเทพ-วิชามาร
และคนที่ใช้วิชาแบบนี้ก็มักจะเป็นผู้ร้ายหรือเป็น “มาร” ส่วนคนที่เป็นพระเอกหรือคนดีที่เป็น “เทพ” นั้น
ก็มักจะใช้วิชาอีกแบบหนึ่งที่มีลักษณะตรงกันข้ามในเรื่องของรูปแบบ เช่น ไม่รุนแรงโหดเหี้ยม
แต่อาจจะอาศัยแรงของคู่ต่อสู้ที่ทำให้เขา “แพ้ภัยตัวเอง” วิชาเทพนั้นมักจะ “อ่อนโยนและสงบนิ่ง” กว่า
นอกจากนั้นก็มักจะต้องยึดถือ “จรรยาบรรณ” ในการต่อสู้ ไม่คดโกงหรือลอบกัดฝ่ายตรงข้าม
การต่อสู้ระหว่างมารและเทพนั้น แม้ว่าในระยะแรกดูเหมือนมารจะได้เปรียบ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เทพก็มักจะเป็นฝ่ายชนะ
ผมเองนั้นไม่ใช่คนที่ชอบอ่านหนังสือกำลังภายในเลย อย่างไรก็ตาม แนวคิดเรื่องวิชาเทพ-วิชามารนั้น
ผมคิดว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเรื่องของการลงทุนได้ดี สิ่งที่จะต้องประกาศไว้ก่อนเพื่อป้องกันการเข้าใจผิดก็คือ
ในเรื่องของการลงทุนนั้น “วิชามาร” ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นสิ่งที่เลวร้าย และคนที่ใช้มันก็ไม่ใช่คนที่ไม่ดีเสมอไป
เช่นเดียวกัน “วิชาเทพ” เองก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป และคนที่ใช้ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนที่ดีเสมอไป เช่นเดียวกัน
คนที่ใช้วิชาเทพมากก็ไม่ใช่ว่าจะต้องชนะ และผู้ที่ใช้วิชามารเป็นหลักก็ไม่ใช่ว่าจะต้องแพ้
บ่อยครั้งมันอาจจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์เช่นเดียวกับความสามารถของผู้ใช้ เหนือสิ่งอื่นใด
มีนักลงทุนน้อยคนที่จะใช้เฉพาะวิชามารหรือวิชาเทพเพียงอย่างเดียวในการลงทุน
ในบางโอกาส แม้แต่คนที่ยึดถือวิชาเทพเป็นหลักมากๆ ก็ยังใช้วิชามารเข้าเล่นด้วย
เช่นเดียวกัน คนที่ดูเหมือนจะใช้วิชามารเป็นส่วนใหญ่ก็มักจะงัดวิชาเทพออกมาใช้ ดังนั้น ความหมายที่ผมต้องการสื่อก็คือ
วิชาก็คือวิชา มันเป็นกลาง มันเป็นเสมือนอาวุธและลีลาที่ใครจะนำไปใช้ก็ได้ที่จะทำให้เขา “ชนะ”
ในเรื่องของการลงทุนนั้น นิยามกว้างๆ ที่ผมจะกำหนดว่าแบบไหนเป็นวิชามารและแบบไหนเป็นวิชาเทพนั้น
จะล้อไปกับเรื่องของกำลังภายใน หลักๆ ก็คือ ถ้าเป็นเรื่อง “รุนแรง”
นั่นก็คือ ลงทุนแล้วได้เสียมากและเร็วมาก ก็จะถือว่าเป็น “วิชามาร” นั่นคือ ข้อแรก
ข้อสอง ถ้าเป็นเรื่องที่ “ร้ายกาจ” นั่นคือ เข้าไปเล่นหุ้นตัวใดตัวหนึ่งแล้ว เรา “ชนะ” คือสามารถทำกำไรได้มโหฬาร
แต่คนที่ “แพ้” คือคนที่เล่นหุ้นตัวเดียวกันต้องขาดทุนอย่างหนัก
พูดง่ายๆ คนที่ชนะ “กินเงินจากผู้แพ้” แบบนี้ถือว่าเป็นวิชามาร
ตรงกันข้าม ถ้าคนที่ชนะไม่ได้ได้เงินจากนักลงทุนคนอื่น
แต่ได้จากการที่บริษัทสามารถทำกำไรได้มากขึ้นมากทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปมากและไม่ตกลงมาที่ทำให้คนอื่นขาดทุน
นิยาม ข้อสุดท้าย ก็คือ เรื่องของความ “โหดเหี้ยม” และ/หรือ “ไร้จรรยาบรรณ”
นั่นก็คือ การ “ปั่นหุ้น” และการ “ใช้ข้อมูลภายใน” ในการลงทุน
นี่ถือว่าเป็น “วิชามาร” ขั้นสุดยอดจริงๆ และคนที่เล่นแบบนี้ก็ต้องถือว่าเป็น “มาร” จริงๆ ในแง่ที่เป็นคนไม่ดี
และกรณีที่ทำมากจนเข้าข่ายผิดกฎหมายก็เสี่ยงที่จะต้องถูกลงโทษทางอาญา แต่สำหรับนิยามของผมเองนั้น
การปั่นหุ้นและการใช้ข้อมูลภายในแม้ว่าจะไม่ถึงขั้นผิดกฎหมายก็ต้องถือว่าเป็น “วิชามารขั้นสูง” ที่ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้
และนิยามการปั่นหุ้นและการใช้ข้อมูลภายในนั้นเอง ก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นสีเทาๆ นั่นก็คือ
ถ้ามีการใช้กระบวนการในการปล่อยข่าวและ/หรือสร้างกระแสหรือภาพลักษณ์ของกิจการหรือหุ้นมากมายโดยที่มันไม่ใช่ความจริง
หรือมีความไม่แน่นอนสูงเพื่อที่จะทำให้คนสนใจเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อที่จะผลักดันราคา หรือมีการซื้อขายหุ้นนำเพื่อทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปรุนแรง
เพื่อที่จะดึงดูดให้คนสนใจเข้ามาร่วมวงซื้อขายอะไรทำนองนี้ แม้ว่าโดยนิยามทางกฎหมายอาจจะไม่ใช่การปั่นหุ้น
แต่โดยนิยามของผมแล้วมันก็คือการใช้วิชามาร
มาดูกันว่าพฤติกรรมแบบไหนในการลงทุนที่เข้าข่ายการใช้ “วิชามาร” กันบ้าง
เบื้องต้นก็คือ ตามนิยาม ข้อแรก ที่น่าจะเป็นวิชามารอย่างอ่อน
ผมคิดว่า การลงทุนหรือเล่นหุ้นที่มีการใช้มาร์จินนั้นเป็นการใช้วิชามารเพื่อที่จะเร่งผลตอบแทน
ยิ่งใช้มาร์จินสูงก็จะมีความรุนแรงหรือความผันผวนของผลตอบแทนการลงทุนมากขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกัน
การกู้ยืมเงินจากพ่อแม่พี่น้องหรือญาติมาลงทุนรวมถึงการนำสินทรัพย์ เช่น บ้านมาค้ำประกันเพื่อกู้เงินมาลงทุนต่างๆ
เหล่านี้ก็เป็นเรื่องการใช้วิชามารทั้งสิ้น นอกจากนั้น การลงทุนในตราสารการเงินที่มีความผันผวนสูงมากๆ
เนื่องจากลักษณะตราสารเองไม่ใช่ลักษณะของกิจการ ตัวอย่างเช่น วอแร้นต์ที่ราคาแปลงสภาพสูงกว่าราคาของหุ้นแม่มาก
หรือการเล่นคอมโมดิตี้หรือพวกฟิวเจอร์หรือออปชั่นที่มีการวางเงินเพียงเล็กน้อยแต่มีระดับของการ “พนัน” สูงมาก
ผมก็ถือว่าเรากำลัง “เล่นกับไฟ” และดังนั้นมันจึงเป็นการใช้วิชามาร
ว่าที่จริง การเข้าไปเล่นหุ้น IPO ในวันที่หุ้นเข้าตลาดในวันแรกในช่วงเร็วๆ นี้นั้น ผมเองคิดว่ามันก็ไม่ห่างจากวิชามารมากนัก
นิยามใน ข้อสอง คือเรื่องของความ “ร้ายกาจ” นั้น ถ้าเกิดจากความตั้งใจของการเข้าไปไล่ราคาหุ้น
เพื่อที่จะ “ปล่อยของ” อย่างรวดเร็ว นั่นก็คือ การทำราคาหุ้นให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยวิธีการต่างๆ
เพื่อที่ตนเองจะได้ขายในราคาสูงโดยที่รู้ว่าพื้นฐานของราคาหุ้นต่ำกว่านั้นมาก
ผลก็คือ นักลงทุนคนอื่นที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ต้อง “บาดเจ็บ” อย่างหนักเนื่องจากเข้าไปซื้อหุ้นที่แพงเกินพื้นฐานไปมาก
และต้องขายขาดทุนหนักหรือต้องติดหุ้นไปยาวนานมาก ลักษณะแบบนี้ก็ต้องถือว่าเป็นการใช้วิชามารอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ยังมีการซื้อหุ้นและขายทำกำไรมากแต่คนอื่นขาดทุนอย่างหนักโดยที่เจ้าตัวอาจจะไม่ได้ตั้งใจ
นี่ก็คือการที่นักลงทุนเข้าไปเล่นหุ้นที่มีผลประกอบการที่มีความไม่แน่นอนสูงหรือมีวัฏจักรรุนแรง พอเข้าไปแล้วราคาหุ้นอาจจะขึ้นไปสูงมากอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจะเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของธุรกิจและ/หรือผลจากการซื้อหุ้นของเขาเอง
เขาจึงตัดสินใจขายหุ้นทิ้งอย่างรวดเร็วทำกำไรงดงามและทำให้ราคาตกลงอย่างหนัก และทำให้นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากเสียหาย
ในกรณีแบบนี้ก็อาจจะถือได้ว่าเป็นเรื่องของวิชามารเหมือนกันแม้ว่าดีกรีจะอ่อนกว่าแบบแรก
สุดท้าย คือนิยามของความโหดเหี้ยมและ/หรือไร้จรรยาบรรณในการลงทุน
นี่ก็คือการเล่นหุ้นในแบบที่อาจจะเป็นการเอาเปรียบคนอื่นอย่างชัดเจน เช่น
การปั่นหุ้นและการใช้ข้อมูลภายในไม่ว่าจะเป็นเรื่องผิดกฎหมายหรือไม่ นอกจากนั้น การเล่นหุ้นที่ใช้ “วิศวกรรมการเงิน” แบบวิชามาร
เช่น การซื้อหุ้น PP หรือหุ้นใหม่ของบริษัทในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดมากๆ การให้วอแร้นต์ฟรีจำนวนมากๆ ที่จะไดลูทหรือทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมมีสัดส่วนในบริษัทน้อยลงมากในอนาคต การแตกพาร์โดยไม่สมเหตุผล และอื่นๆ อีกมาก
แบบนี้ผมถือว่ามันเป็นเรื่องของการใช้วิชามารในการลงทุนหรือเล่นหุ้นทั้งสิ้น
ถ้าจะถือว่าเซียนหุ้นระดับโลกคนไหนใช้วิชามารมากนั้น ผมคิดว่า จอร์จ โซรอส เป็นคนหนึ่ง เพราะการทำกำไรของโซรอสนั้น
บ่อยครั้งทิ้ง “หายนะ” ให้กับคนอื่นๆ อีกหลายคน ส่วนคนที่ใช้วิชาเทพมากนั้น แน่นอน คือ วอเร็น บัฟเฟตต์
ที่ทำเงินโดยการเติบโตของกิจการที่เขาไปลงทุน มีหุ้นน้อยมากที่บัฟเฟตต์ซื้อและขายทำกำไรได้งดงามแต่ในที่สุดคนที่ซื้อตามเจ๊ง
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ บัฟเฟตต์ซื้อแล้วเขาแทบจะไม่เคยขายอย่างรวดเร็ว จำนวนมากเขาถือมันไว้ตลอดชีวิต
บัฟเฟตต์นั้นได้เงินจากบริษัท ไม่ได้ได้จากผู้ถือหุ้นคนอื่น
ในตลาดหุ้นไทยนั้น ผมไม่รู้ว่าระหว่างคนที่ใช้วิชาเทพหรือคนที่ใช้วิชามารอย่างมีประสิทธิภาพนั้น
ใครทำกำไรหรือได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่า เป็นไปได้ว่าในช่วงที่ตลาดหุ้นร้อนแรงและราคาหุ้นขึ้นเป็นกระทิงยาวนานนั้น
คนที่ใช้วิชามารเก่งๆ น่าจะทำกำไรได้ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวที่ตลาดหุ้นมักมีการขึ้นลงและมักจะมีช่วงที่เลวร้ายเป็นระยะๆ
คนที่ใช้วิชาเทพก็อาจจะสามารถทำผลงานเฉลี่ยได้ดีกว่าเช่นเดียวกัน เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์...
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
30 มีนาคม 2015
ที่มา : [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้