วิชาเทพ-วิชามาร

กระทู้สนทนา
คนที่เคยอ่านหนังสือ “กำลังภายในจีน” ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นคนยุคก่อนจะต้องรู้จักคำว่า  “วิชามาร” ซึ่งเป็นวิชาความรู้ในการต่อสู้ที่รุนแรง  ร้ายกาจ โหดเหี้ยม  และบางครั้งก็มักจะไม่คำนึงถึง  “จรรยาบรรณ” หรือ “กติกา” ในการต่อสู้  
และคนที่ใช้วิชาแบบนี้ก็มักจะเป็นผู้ร้ายหรือเป็น  “มาร”  ส่วนคนที่เป็นพระเอกหรือคนดีที่เป็น  “เทพ”  นั้น
ก็มักจะใช้วิชาอีกแบบหนึ่งที่มีลักษณะตรงกันข้ามในเรื่องของรูปแบบ เช่น ไม่รุนแรงโหดเหี้ยม  
แต่อาจจะอาศัยแรงของคู่ต่อสู้ที่ทำให้เขา “แพ้ภัยตัวเอง”  วิชาเทพนั้นมักจะ “อ่อนโยนและสงบนิ่ง” กว่า  
นอกจากนั้นก็มักจะต้องยึดถือ “จรรยาบรรณ”  ในการต่อสู้  ไม่คดโกงหรือลอบกัดฝ่ายตรงข้าม  
การต่อสู้ระหว่างมารและเทพนั้น แม้ว่าในระยะแรกดูเหมือนมารจะได้เปรียบ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว  เทพก็มักจะเป็นฝ่ายชนะ



    ผมเองนั้นไม่ใช่คนที่ชอบอ่านหนังสือกำลังภายในเลย  อย่างไรก็ตาม  แนวคิดเรื่องวิชาเทพ-วิชามารนั้น  
ผมคิดว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเรื่องของการลงทุนได้ดี  สิ่งที่จะต้องประกาศไว้ก่อนเพื่อป้องกันการเข้าใจผิดก็คือ  
ในเรื่องของการลงทุนนั้น  “วิชามาร” ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นสิ่งที่เลวร้าย และคนที่ใช้มันก็ไม่ใช่คนที่ไม่ดีเสมอไป  
เช่นเดียวกัน  “วิชาเทพ”  เองก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป และคนที่ใช้ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนที่ดีเสมอไป  เช่นเดียวกัน  
คนที่ใช้วิชาเทพมากก็ไม่ใช่ว่าจะต้องชนะ และผู้ที่ใช้วิชามารเป็นหลักก็ไม่ใช่ว่าจะต้องแพ้  
บ่อยครั้งมันอาจจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์เช่นเดียวกับความสามารถของผู้ใช้ เหนือสิ่งอื่นใด  
มีนักลงทุนน้อยคนที่จะใช้เฉพาะวิชามารหรือวิชาเทพเพียงอย่างเดียวในการลงทุน
ในบางโอกาส แม้แต่คนที่ยึดถือวิชาเทพเป็นหลักมากๆ ก็ยังใช้วิชามารเข้าเล่นด้วย
เช่นเดียวกัน คนที่ดูเหมือนจะใช้วิชามารเป็นส่วนใหญ่ก็มักจะงัดวิชาเทพออกมาใช้  ดังนั้น ความหมายที่ผมต้องการสื่อก็คือ  
วิชาก็คือวิชา มันเป็นกลาง มันเป็นเสมือนอาวุธและลีลาที่ใครจะนำไปใช้ก็ได้ที่จะทำให้เขา “ชนะ

    ในเรื่องของการลงทุนนั้น นิยามกว้างๆ ที่ผมจะกำหนดว่าแบบไหนเป็นวิชามารและแบบไหนเป็นวิชาเทพนั้น
จะล้อไปกับเรื่องของกำลังภายใน หลักๆ ก็คือ ถ้าเป็นเรื่อง “รุนแรง”  
นั่นก็คือ ลงทุนแล้วได้เสียมากและเร็วมาก ก็จะถือว่าเป็น  “วิชามาร”  นั่นคือ ข้อแรก  
ข้อสอง  ถ้าเป็นเรื่องที่ “ร้ายกาจ”  นั่นคือ เข้าไปเล่นหุ้นตัวใดตัวหนึ่งแล้ว เรา “ชนะ” คือสามารถทำกำไรได้มโหฬาร  
แต่คนที่ “แพ้” คือคนที่เล่นหุ้นตัวเดียวกันต้องขาดทุนอย่างหนัก  
พูดง่ายๆ คนที่ชนะ “กินเงินจากผู้แพ้” แบบนี้ถือว่าเป็นวิชามาร  
ตรงกันข้าม  ถ้าคนที่ชนะไม่ได้ได้เงินจากนักลงทุนคนอื่น  
แต่ได้จากการที่บริษัทสามารถทำกำไรได้มากขึ้นมากทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปมากและไม่ตกลงมาที่ทำให้คนอื่นขาดทุน


    นิยาม ข้อสุดท้าย ก็คือ เรื่องของความ “โหดเหี้ยม” และ/หรือ “ไร้จรรยาบรรณ”  
นั่นก็คือ  การ “ปั่นหุ้น”  และการ “ใช้ข้อมูลภายใน”  ในการลงทุน  
นี่ถือว่าเป็น “วิชามาร” ขั้นสุดยอดจริงๆ และคนที่เล่นแบบนี้ก็ต้องถือว่าเป็น  “มาร” จริงๆ  ในแง่ที่เป็นคนไม่ดี  
และกรณีที่ทำมากจนเข้าข่ายผิดกฎหมายก็เสี่ยงที่จะต้องถูกลงโทษทางอาญา  แต่สำหรับนิยามของผมเองนั้น  
การปั่นหุ้นและการใช้ข้อมูลภายในแม้ว่าจะไม่ถึงขั้นผิดกฎหมายก็ต้องถือว่าเป็น “วิชามารขั้นสูง” ที่ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้  
และนิยามการปั่นหุ้นและการใช้ข้อมูลภายในนั้นเอง  ก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นสีเทาๆ นั่นก็คือ  
ถ้ามีการใช้กระบวนการในการปล่อยข่าวและ/หรือสร้างกระแสหรือภาพลักษณ์ของกิจการหรือหุ้นมากมายโดยที่มันไม่ใช่ความจริง
หรือมีความไม่แน่นอนสูงเพื่อที่จะทำให้คนสนใจเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อที่จะผลักดันราคา หรือมีการซื้อขายหุ้นนำเพื่อทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปรุนแรง
เพื่อที่จะดึงดูดให้คนสนใจเข้ามาร่วมวงซื้อขายอะไรทำนองนี้ แม้ว่าโดยนิยามทางกฎหมายอาจจะไม่ใช่การปั่นหุ้น  
แต่โดยนิยามของผมแล้วมันก็คือการใช้วิชามาร

    มาดูกันว่าพฤติกรรมแบบไหนในการลงทุนที่เข้าข่ายการใช้ “วิชามาร” กันบ้าง  
เบื้องต้นก็คือ ตามนิยาม ข้อแรก ที่น่าจะเป็นวิชามารอย่างอ่อน  
ผมคิดว่า การลงทุนหรือเล่นหุ้นที่มีการใช้มาร์จินนั้นเป็นการใช้วิชามารเพื่อที่จะเร่งผลตอบแทน  
ยิ่งใช้มาร์จินสูงก็จะมีความรุนแรงหรือความผันผวนของผลตอบแทนการลงทุนมากขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกัน  
การกู้ยืมเงินจากพ่อแม่พี่น้องหรือญาติมาลงทุนรวมถึงการนำสินทรัพย์ เช่น บ้านมาค้ำประกันเพื่อกู้เงินมาลงทุนต่างๆ  
เหล่านี้ก็เป็นเรื่องการใช้วิชามารทั้งสิ้น นอกจากนั้น การลงทุนในตราสารการเงินที่มีความผันผวนสูงมากๆ  
เนื่องจากลักษณะตราสารเองไม่ใช่ลักษณะของกิจการ ตัวอย่างเช่น วอแร้นต์ที่ราคาแปลงสภาพสูงกว่าราคาของหุ้นแม่มาก  
หรือการเล่นคอมโมดิตี้หรือพวกฟิวเจอร์หรือออปชั่นที่มีการวางเงินเพียงเล็กน้อยแต่มีระดับของการ “พนัน”  สูงมาก  
ผมก็ถือว่าเรากำลัง  “เล่นกับไฟ”  และดังนั้นมันจึงเป็นการใช้วิชามาร  
ว่าที่จริง การเข้าไปเล่นหุ้น IPO ในวันที่หุ้นเข้าตลาดในวันแรกในช่วงเร็วๆ นี้นั้น ผมเองคิดว่ามันก็ไม่ห่างจากวิชามารมากนัก

    นิยามใน ข้อสอง คือเรื่องของความ  “ร้ายกาจ” นั้น ถ้าเกิดจากความตั้งใจของการเข้าไปไล่ราคาหุ้น
เพื่อที่จะ “ปล่อยของ” อย่างรวดเร็ว  นั่นก็คือ การทำราคาหุ้นให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยวิธีการต่างๆ  
เพื่อที่ตนเองจะได้ขายในราคาสูงโดยที่รู้ว่าพื้นฐานของราคาหุ้นต่ำกว่านั้นมาก  
ผลก็คือ นักลงทุนคนอื่นที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ต้อง  “บาดเจ็บ” อย่างหนักเนื่องจากเข้าไปซื้อหุ้นที่แพงเกินพื้นฐานไปมาก
และต้องขายขาดทุนหนักหรือต้องติดหุ้นไปยาวนานมาก ลักษณะแบบนี้ก็ต้องถือว่าเป็นการใช้วิชามารอย่างชัดเจน  
อย่างไรก็ตาม  ยังมีการซื้อหุ้นและขายทำกำไรมากแต่คนอื่นขาดทุนอย่างหนักโดยที่เจ้าตัวอาจจะไม่ได้ตั้งใจ  
นี่ก็คือการที่นักลงทุนเข้าไปเล่นหุ้นที่มีผลประกอบการที่มีความไม่แน่นอนสูงหรือมีวัฏจักรรุนแรง  พอเข้าไปแล้วราคาหุ้นอาจจะขึ้นไปสูงมากอย่างรวดเร็ว   ซึ่งอาจจะเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของธุรกิจและ/หรือผลจากการซื้อหุ้นของเขาเอง  
เขาจึงตัดสินใจขายหุ้นทิ้งอย่างรวดเร็วทำกำไรงดงามและทำให้ราคาตกลงอย่างหนัก และทำให้นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากเสียหาย  
ในกรณีแบบนี้ก็อาจจะถือได้ว่าเป็นเรื่องของวิชามารเหมือนกันแม้ว่าดีกรีจะอ่อนกว่าแบบแรก

    สุดท้าย คือนิยามของความโหดเหี้ยมและ/หรือไร้จรรยาบรรณในการลงทุน  
นี่ก็คือการเล่นหุ้นในแบบที่อาจจะเป็นการเอาเปรียบคนอื่นอย่างชัดเจน เช่น
การปั่นหุ้นและการใช้ข้อมูลภายในไม่ว่าจะเป็นเรื่องผิดกฎหมายหรือไม่ นอกจากนั้น การเล่นหุ้นที่ใช้  “วิศวกรรมการเงิน” แบบวิชามาร  
เช่น การซื้อหุ้น PP หรือหุ้นใหม่ของบริษัทในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดมากๆ  การให้วอแร้นต์ฟรีจำนวนมากๆ ที่จะไดลูทหรือทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมมีสัดส่วนในบริษัทน้อยลงมากในอนาคต  การแตกพาร์โดยไม่สมเหตุผล และอื่นๆ อีกมาก  
แบบนี้ผมถือว่ามันเป็นเรื่องของการใช้วิชามารในการลงทุนหรือเล่นหุ้นทั้งสิ้น

    ถ้าจะถือว่าเซียนหุ้นระดับโลกคนไหนใช้วิชามารมากนั้น  ผมคิดว่า จอร์จ โซรอส เป็นคนหนึ่ง  เพราะการทำกำไรของโซรอสนั้น  
บ่อยครั้งทิ้ง “หายนะ” ให้กับคนอื่นๆ  อีกหลายคน  ส่วนคนที่ใช้วิชาเทพมากนั้น แน่นอน คือ วอเร็น บัฟเฟตต์  
ที่ทำเงินโดยการเติบโตของกิจการที่เขาไปลงทุน  มีหุ้นน้อยมากที่บัฟเฟตต์ซื้อและขายทำกำไรได้งดงามแต่ในที่สุดคนที่ซื้อตามเจ๊ง  
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  บัฟเฟตต์ซื้อแล้วเขาแทบจะไม่เคยขายอย่างรวดเร็ว  จำนวนมากเขาถือมันไว้ตลอดชีวิต  
บัฟเฟตต์นั้นได้เงินจากบริษัท ไม่ได้ได้จากผู้ถือหุ้นคนอื่น

    ในตลาดหุ้นไทยนั้น  ผมไม่รู้ว่าระหว่างคนที่ใช้วิชาเทพหรือคนที่ใช้วิชามารอย่างมีประสิทธิภาพนั้น  
ใครทำกำไรหรือได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่า เป็นไปได้ว่าในช่วงที่ตลาดหุ้นร้อนแรงและราคาหุ้นขึ้นเป็นกระทิงยาวนานนั้น  
คนที่ใช้วิชามารเก่งๆ  น่าจะทำกำไรได้ดีกว่า  
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวที่ตลาดหุ้นมักมีการขึ้นลงและมักจะมีช่วงที่เลวร้ายเป็นระยะๆ  
คนที่ใช้วิชาเทพก็อาจจะสามารถทำผลงานเฉลี่ยได้ดีกว่าเช่นเดียวกัน เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์...

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
30 มีนาคม 2015

ที่มา : [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่