กามเทพทอรัก
รถกู้ชีพสองคันซึ่งรับผู้ป่วยมาจากสองตำบลแล่นตามกันมาติดๆ ก่อนที่จะชลอความเร็วแล้วเคลื่อนไปด้านหน้าอย่างช้าๆ
เพื่อจอดตรงหน้าประตูทางเข้าอาคารตึกอุบัติเหตุของโรงพยาบาลประจำอำเภอ
ดรุณีรูปร่างบอบบางกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปที่รถคันหนึ่ง เธอมองเห็นร่างของมารดาที่นอนนิ่งคล้ายกับคนไร้ความรู้สึกบนเตียงผู้ป่วยสีขาว
เจ้าหน้าที่กู้ภัยกุลีกุจอช่วยกันเคลื่อนย้ายเตียงนั้นลงสู่พื้นอย่างนิ่มนวล เธอไม่กล้าเข้าไปใกล้มากนัก เพราะเกรงว่าจะรบกวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ แต่ก็ยังมองเห็นหยดน้ำสีแดงสดเปรอะเปื้อนผ้าที่รองใต้ศีรษะของท่าน
‘แม่ขา... แม่อย่าเป็นอะไรไปนะคะ หนูเป็นห่วงแม่เหลือเกินคะ’ เธอตื่นตระหนกและหวาดกลัวกับอุบัติเหตุของมารดา
ผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ และผู้คนทั่วไปรอบๆ บริเวณนี้ หากมองเห็นใบหน้าของเธอคงรู้สึกคล้ายคลึงกันว่าเธอกำลังห่วงใยผู้ได้รับอุบัติเหตุอย่างมากมาย
เจ้าหน้าที่พลเปลและเจ้าหน้าที่พยาบาลได้ออกมายืนรอรับแม่ของเธอเพื่อนำไปให้แพทย์รักษาอยู่ล่วงหน้าแล้วเพราะได้รับการประสานงานจากเจ้าหน้าที่กู้ชีพไว้ก่อน
“ผู้ป่วยมีบัตรประจำตัวไหมครับ” เสียงบุรุษพยาบาลถามเจ้าหน้าที่กู้ภัย
หญิงสาวคนหนึ่งที่เป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยได้มอบกระเป๋าสตางค์ใบเล็กของมารดาเธอให้บุรุษพยาบาลท่านนั้น “นี่ค่ะกระเป๋าผู้ป่วย ข้างในมีเอกสารของผู้ป่วยอยู่ค่ะ”
บุรุษพยาบาลเมื่อตรวจพบบัตรประจำตัวผู้ป่วยแล้วจึงแจ้งให้พลเปลไปส่งคนไข้ต่อไป
“ส่งผู้ป่วยไปพบแพทย์ได้...ผมจะไปติดต่อเจ้าหน้าที่ห้องบัตรก่อนครับ”
รถกู้ชีพได้แล่นออกไปหลังจากส่งมารดาของเธอให้กับโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว
พิมพ์พรขอร้องเจ้าหน้าที่อย่างร้อนรนด้วยความรู้สึกห่วงใยในอาการของมารดาอย่างเต็มปรี่
“ดิฉันเป็นลูกสาวผู้ป่วยค่ะ...ขอตามไปด้วยค่ะ!” เธอแจ้งแก่เจ้าหน้าที่พยาบาลสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เพื่อจะได้รีบเดินให้ทันพลเปลที่เข็นเตียงมารดาเธอไป
“คุณตามเจ้าหน้าที่เข้าไปได้ แต่ต้องปฏิบัติตามที่เจ้าหน้าที่ห้ามด้วยนะคะ”
“ค่ะดิฉันจะทำตามค่ะ... ขอบคุณค่ะ” เธอรับปาก แล้วก้าวตามหลังเจ้าหน้าที่พลเปลไปอย่างรวดเร็ว
พิมพ์พรผุดลุกผุดนั่งอยู่หลายครั้งอย่างร้อนรน จิตใจจดใจจ่ออยู่หน้าห้องตรวจโรค
เธอไม่อยากให้มารดาต้องเจ็บป่วยหรือเป็นอะไรไปเลย อุบัติเหตุในวันนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น
เธอเกือบคลาดกับการรู้ข่าวว่ามารดาตนเองประสบอุบัติเหตุ เพราะเธอกำลังจะออกไปทำงานที่ร้านหนังสือในเมือง
โชคดีที่จุกเด็กชายข้างบ้านวิ่งกระหืดกระหอบมาบอกเธอไว้ทัน ก่อนที่เธอจะบอกดิถีน้องชายคนเดียวให้ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งที่คิวรถตามปกติ
เพื่อต่อรถสองแถวไปทำงานในบ่ายวันนี้
ทุกวันพุธเธอจะเริ่มงานเมื่อเวลาบ่ายโมงตรง แต่ทุกวันที่เหลือ เวลางานจะเริ่มสิบโมงเช้า และมีเวลาหนึ่งชั่วโมงในเวลาเที่ยงวันและห้าโมงเย็น
เธอรับรู้จากจุกว่าแม่พริ้งมารดาของเธอประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ของเพื่อนบ้านที่นางได้นั่งซ้อนท้ายมาเกิดชนเข้ากับต้นไม้เพราะยางแตก
เลยตกลงไปข้างทางระหว่างกลับจากไปทำบุญเดือนสี่หรือบุญผะเวสที่วัด
บุญผะเวสเป็นงานบุญที่ชาวตำบลหนองบัวจัดเป็นประจำทุกปี ป้าแสงคนขับจักรยานยนต์ไม่เป็นอะไรมากแค่มีแผลถลอกนิดหน่อย เพราะมือจับแฮนด์รถและไหลไปตามแรงรถ
แต่มารดาของเธอกระเด็นลงจากรถแล้วศีรษะไปฟาดเข้ากับลำต้นยูคาลิปตัสขนาดใหญ่ที่อยู่ริมทางจนสลบไป
คนที่ขับรถตามมาจึงพากันช่วยเหลือแล้วแจ้งรถกู้ชีพของตำบลให้ส่งมาโรงพยาบาล
เธอรู้สึกผิดที่ไม่สามารถขับรถไปรับมารดาที่วัดได้เพราะต้องรีบไปทำงาน เธอนึกสงสารที่ท่านต้องเจ็บปวดร่างกาย
อีกทั้งคงต้องรับประทานทานยาหลายวัน คงสร้างความลำบากให้แก่ท่านไม่น้อย
เพราะลำพังโรคประจำตัวทั้งหลายที่รุมเร้าอยู่ก็ทำให้ท่านต้องอดทนกับการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว
โดยที่ยาเหล่านั้นก็ส่งผลข้างเคียงให้ท่านรู้สึกไม่สบายมาตลอด
ไม่นานเจ้าหน้าที่ก็เข็นเตียงมารดาเธอออกมา
เธอรีบเข้าไปพบท่าน “แม่ขา...แม่ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ” เธอพูดเบาๆ มองไปที่ใบหน้ามารดา เห็นท่านพยายามลืมตาและยิ้มให้เธอ
เจ้าหน้าที่หยุดเข็นเตียงครู่หนึ่งเพื่อให้เธอพูดคุยกับมารดา “แม่อย่าเป็นไรนะคะ หนูรักแม่ค่ะ” น้ำตาไหลซึมออกมา
ท่านกระพริบตาตอบเธอ ดูท่านไม่มีเรี่ยวแรงพูดจาได้เลย
“คุณกำลังจะพาคุณแม่ของฉันไปไหนคะ” เธอถามเจ้าหน้าที่ และเดินตามไปติดๆ
“พาเข้าไปห้องเอ็กซเรย์ครับ” เขาตอบเธอ “คุณนั่งรอคุณแม่อยู่ที่นี่... สักครู่ผมจะนำท่านออกมาครับ”
“ค่ะ” พิมพ์พรรับปาก
เธอมองตามเตียงของแม่ไป เจ้าหน้าที่พาท่านเข้าห้องเอ็กซเรย์ที่อยู่ไม่ห่างจากห้องตรวจโรคนัก
เธอถอดเป้ที่สะพายไว้ด้านหลังออกมา เพราะสัญญาณโทรศัพท์ติดตามตัวเคลื่อนที่ของเธอให้สัญญาณว่ามีสายเข้า
“พี่พิมพ์ คุณแม่เป็นอย่างไรบ้างครับ!” เสียงดิถีน้องชายของเธอถามมาอย่างกังวล
“พี่ยังไม่ทราบเลยจ้ะดิ ...ตอนนี้คุณแม่รู้สึกตัวแล้ว...และกำลังอยู่ห้องเอกซเรย์จ้ะ”
“ผมอยากรีบตามไปดูแลคุณแม่จังเลยครับ...ติดก็ตรงจะมีคนมาซื้อจิ้งหรีดนี่แหละ ...หากขายจิ้งหรีดแล้ว... ผมจะตามไปครับ”
“ไม่ต้องห่วงทางนี้นะจ๊ะดิ พี่ดูแลคุณแม่ได้ น้องทำธุระให้เรียบร้อยก่อน...แล้วค่อยมาก็ได้จ้ะ”
“ครับ” น้องชายเธอรับปาก
วันนี้แม่ค้าคนหนึ่งในตลาดนัดใกล้บ้าน นัดว่าจะเข้ามารับซื้อจิ้งหรีดซึ่งที่บ้านเธอ
เลี้ยงไว้ เพื่อนำไปทอดขาย การเลี้ยงจิ้งหรีดเป็นอาชีพเสริมอีกอย่างหนึ่งของครอบครัวเธอ
นอกเหนือจากการทำนาซึ่งเป็นอาชีพหลัก นอกจากจิ้งหรีดแล้ว ที่บ้านยังมีกล้วยและมะพร้าวไว้ขายให้แม่ค้าในตลาดนัดด้วย
มะพร้าวนั้นบิดาของเธอปลูกตั้งแต่ตอนสมัยเธอยังเป็นเด็กเล็ก เวลานั้นสารภีพี่สาวที่อายุมากกว่าเธอเจ็ดปีก็ช่วยบิดาปลูกด้วย เธอไม่ได้มีส่วนร่วมเพราะยังเล็กเกินไปที่จะช่วยปลูกได้ มารดาจึงอุ้มเธอดูอยู่ห่างๆ ส่วนดิถีก็ยังไม่ได้ลืมตาออกมาดูโลกในตอนนั้น
สารภีพี่สาวของเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตขณะอายุสิบแปดปี จากรถจักรยานยนต์ที่วัยรุ่นขับอย่างคึกคะนองเพราะเมาสุราชนท้ายรถจักรยานยนต์ที่พี่สาวเธอขับจนพี่สาวเธอเสียหลักล้มลงศีรษะน็อคพื้นและเสียชีวิตคาที่ เวลานั้นคุณพ่อและคุณแม่ของเธอเสียใจมาก เธอเห็นคุณแม่ร้องไห้เป็นครั้งแรก และท่านทั้งสองก็เศร้าโศกไปหลายวันทีเดียว
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งเธอและดิถีคงได้ช่วยกันดูแลมารดาอย่างใกล้ชิดต่อไปอีกหลายวัน มันไม่น่าเกิดขึ้นเลย เพราะจะทำให้ดิถีต้องสูญเสียเวลาในการอ่านหนังสือและเป็นกังวลเพิ่มขึ้นก่อนที่จะเข้าสอบแข่งขันเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ซึ่งจะมีขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เธอกังวลว่าน้องชายจะอ่านตำราได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก
เธอกังวลกับภาระค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนของน้องชายที่จะตามมาหากเขาสอบศึกษาต่อได้ มารดาเปรียบเสมือนเป็นเสาหลักของครอบครัวเพราะบิดาของเธอได้ลาจากโลกนี้ไปเมื่อปีใหม่ปีกลาย เนื่องจากอุบัติเหตุรถสิบล้อวิ่งสวนเลนข้ามมาชนสองแถวที่ท่านเช่าขับส่งผู้โดยสารระหว่างอำเภอไปตัวจังหวัด เหตุการณ์ครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตอยู่สามคน และปีนั้นเอง เธอก็ได้ลาออกจากการเรียนในช่วงต้นปีการศึกษาเพื่อแบ่งเบาภาระมารดา
ท่านเริ่มเจ็บป่วยหลังจากที่พี่สาวของเธอเสียชีวิต และไม่กี่ปีมานี้ท่านก็เป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน เธอสงสารท่านและทนเห็นท่านลำบากไม่ได้ จึงได้ช่วยทำงานแบ่งเบาภาระทุกอย่าง และพยายามทำงานเก็บเงินเพื่อไว้ใช้เป็นทุนเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเปิดและใช้สอยในบ้าน
หลังจากที่เธอได้ลาออกจากมหาวิทยาแล้ว ก็ได้งานประจำเป็นพนักงานขายหนังสือในห้างสรรพสินค้าในจังหวัด เพราะความขยันและเอาใจใส่ต่องานเธอจึงได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้จัดการในเวลาต่อมา
มองเห็นเจ้าหน้าที่เข็นรถเข็นของมารดาออกมาจากห้องเอ็กซเรย์ เธอจึงเดินเข้าไปเพื่อที่จะซักถามบุรุษพยาบาล
“คุณแม่ได้รับอันตรายมากไหมคะ”
“ไม่ต้องวิตกหรอกครับ ท่านไม่ได้รับอันตรายมาก เอกซเรย์แล้วปกติดี แต่ต้องให้ผู้ป่วยนอนพักอยู่ที่โรงพยาบาล เพื่อสังเกตอาการให้แน่ชัดก่อนครับ” บุรุษพยาบาลแจ้งเธอ
“ถ้าไม่มีปัญหาอะไรตามมา อีกสองสามวันคงออกจากโรงพยาบาลได้ครับ” แล้วเขาก็เข็นรถเข็นของแม่เธอส่งไปที่ห้องผู้ป่วยรวม เธอเดินตามหลังไป
เมื่อเข้ามาที่ห้องผู้ป่วยรวมเจ้าหน้าที่พยาบาลช่วยกันพยุงท่านขึ้นไปนอนพักฟื้นบทเตียง เธอเฝ้าอยู่ดูแลท่านตามลำพังไม่ห่าง คอยดูเวลาเพื่อหยิบยาให้ท่านทานตรงเวลา และดูแลสายน้ำเกลือไม่ให้เกิดปัญหา
“แม่ขา... แม่... แม่อยากได้อะไรบอกหนูนะคะ” เธอได้แต่พูดบอกท่านอยู่ฝ่ายเดียว เพราะท่านยังไม่สามารถพูดได้ถนัดนัก คงเพราะความไม่พร้อมของร่างกายจากอาการกระทบกระเทือนที่ได้รับ พิมพ์พรอยากให้ท่านทราบว่าเธออยู่ตรงนี้และคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง เห็นท่านพยักหน้าก็ดีใจ เพราะอย่างน้อยก็พอจะสื่อสารกันได้เข้าใจในยามวิกฤติเช่นนี้
บ่ายโมงครึ่ง ดิถีเดินถือถุงอาหารและเครื่องดื่มเข้ามาที่เตียงด้วยสีหน้าตกใจ เขาจัดแจงวางสิ่งของที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยที่โต๊ะข้างหัวเตียง
“พี่พิมพ์ครับ... ผมตกใจมาก... คุณแม่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ!” น้องชายเธอโน้มตัวไปกอดมารดาอย่างหลวมๆ แต่ตอนนี้มารดาของเธอท่านหลับไปแล้ว เขาหันมาหาเธอ เธอเห็นใบหน้าน้องชายดวงตาแดงกล่ำเพราะความเสียใจ เขาโน้มตัวขึ้น ยืนอยู่ข้างลำตัวมารดา โดยมีเธอนั่งอยู่เก้าอี้ใกล้กัน
“ทานอะไรรองท้องก่อนนะครับพี่พิมพ์ จะได้มีเรี่ยวแรงดีขึ้น”
“พี่ยังไม่อยากทานอะไรเลยดิ... กลัวว่าแม่ตื่นขึ้นมาแล้วอยากจะได้อะไร...จะได้ช่วยเหลือท่านได้”
“ดื่มน้ำก่อนดีไหมครับ” เขาเปิดขวดน้ำหยิบหลอดใส่ในนั้นแล้วยื่นให้เธอ
“ขอบใจมากจ้ะน้องรัก” เธอรับน้ำมาดื่มเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นำไปวางไว้โต๊ะข้างหัวเตียงผู้ป่วย แล้วเดินมายืนข้างน้องชาย
“พี่พิมพ์ไปทำงานก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเฝ้าคุณแม่เอง” เขาบอก
“พี่ไม่อยากไปเลยจ้ะดิ... เป็นห่วงคุณแม่มาก แต่ก็ต้องรีบไป ...ดิดูแลคุณแม่ให้ดีนะ ให้ท่านทานยาตรงตามเวลา เลิกงานแล้วพี่จะมาเฝ้าคุณแม่อีกครั้ง... มีอะไรด่วนก็โทรหาพี่ได้ พี่คงรีบไปทำงานแล้ว หากช้ามากไปนายจ้างคงจะไม่พอใจ” บอกน้องชายแล้วหยิบเป้สะพายไว้ที่หลังเตรียมตัวไปทำงาน
ดิถีมีใบหน้าคล้ายเจริญผู้เป็นพ่อของเธอ แต่ผิวเหมือนมารดาคือขาวผ่อง เขาจึงเป็นหนุ่มผิวขาวหน้าเข้ม หน้าตาดีดูหล่อเหลาเหมือนนายแบบบางคน ต่างจากเธอซึ่งมีผิวสีน้ำตาลคล้ายน้ำผึ้งใส และตัวบอบบางกว่าเขามาก
“ครับพี่พิมพ์ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ”
พิมพ์พรขับรถจักรยานยนต์คันสีแดงเข้มของบ้านเพื่อไปทำงานที่ห้างสรรพสินค้าที่อยู่ห่างออกไปสามสิบกิโลเมตร แต่ระยะทางจากบ้านเธอไปห้างใกล้กว่านั้นคือประมาณยี่สิบกิโลเมตร หากนั่งรถสองแถวครึ่งชั่วโมงก็ถึง
เธอขับรถอย่างใจลอยในบางขณะเพราะคิดถึงมารดา ท่านเป็นหญิงวัยห้าสิบเจ็ดปี ผมท่านสั้นและเป็นสีดอกเลาประปราย ร่างกายบอบบาง ท่านเริ่มเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ให้เธอเห็น ตั้งแต่พี่สารภีพี่สาวของเธอเสียชีวิต ขณะนั้นเธออายุสิบเอ็ดปี และเมื่อไม่กี่ปีมานี้ท่านก็เจ็บป่วยเพราะหลายโรครุมเร้าจนดูซูบผอมไปมาก แต่กำลังใจท่านยังดีเสมอมา แม้ว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงในครอบครัวคือบิดาของเธอเสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว แต่มารดาของเธอก็ให้ขวัญกำลังใจแก่ลูกๆ ไม่ให้ใจเสาะย่อท้อต่อความโชคร้ายของชะตาวีวิต ให้มุ่งมั่นสู้ชีวิตอย่างถูกต้องตามครรลองคลองธรรมต่อไป
เธอจำได้ว่าในยามที่เธอยังเด็ก หากพี่น้องคนใดซักถามว่ามารดาพบกับบิดาได้อย่างไร ท่านก็จะตอบอย่างมีความสุขเสมอว่าบิดาของเธอเป็นชายไทยมาจากภาคตะวันออก พบเจอกันเมื่อมาทำบุญทอดกฐินที่วัดไตรรัตน์ธรรมาราม ที่อยู่ห่างจากบ้านไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร พ่อเป็นหนุ่มหล่อ สมัยนั้นท่านหล่อเหลารูปร่างดีคล้ายพระเอกภาพยนตร์ สาวทั้งหลายในหมู่บ้านเห็นเข้าต่างก็นิยมชมชอบในรูปร่างหน้าตา เวลานั้นบิดาของเธออายุสามสิบสองปี ไม่รู้สึกถูกชะตาหรือชอบสาวอื่นใด แต่มาถูกชะตาและชอบมารดาของเธอ แม้หญิงสาวในหมู่บ้านจะพากันหัวใจสลายไปตามกัน แต่ก็ไม่ได้อิจฉามารดาเธอ กลับสนับสนุนให้ท่านทั้งสองรักกัน มารดาเห็นว่าบิดาเป็นคนดีขยันขันแข็ง ส่วนบิดาก็เห็นว่ามารดาเป็นคนอ่อนหวานมีน้ำใจดีงาม จึงได้รักกัน โดยที่คุณตาและคุณยายของเธอต่างก็พอใจ เพราะบิดาเธอรักงานกสิกรรม
กามเทพทอรัก (กรุณาแนะนำด้วยนะคะว่าแบบนี้พอจะเป็นนิยายได้หรือไม่ค่ะ)
รถกู้ชีพสองคันซึ่งรับผู้ป่วยมาจากสองตำบลแล่นตามกันมาติดๆ ก่อนที่จะชลอความเร็วแล้วเคลื่อนไปด้านหน้าอย่างช้าๆ
เพื่อจอดตรงหน้าประตูทางเข้าอาคารตึกอุบัติเหตุของโรงพยาบาลประจำอำเภอ
ดรุณีรูปร่างบอบบางกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปที่รถคันหนึ่ง เธอมองเห็นร่างของมารดาที่นอนนิ่งคล้ายกับคนไร้ความรู้สึกบนเตียงผู้ป่วยสีขาว
เจ้าหน้าที่กู้ภัยกุลีกุจอช่วยกันเคลื่อนย้ายเตียงนั้นลงสู่พื้นอย่างนิ่มนวล เธอไม่กล้าเข้าไปใกล้มากนัก เพราะเกรงว่าจะรบกวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ แต่ก็ยังมองเห็นหยดน้ำสีแดงสดเปรอะเปื้อนผ้าที่รองใต้ศีรษะของท่าน
‘แม่ขา... แม่อย่าเป็นอะไรไปนะคะ หนูเป็นห่วงแม่เหลือเกินคะ’ เธอตื่นตระหนกและหวาดกลัวกับอุบัติเหตุของมารดา
ผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ และผู้คนทั่วไปรอบๆ บริเวณนี้ หากมองเห็นใบหน้าของเธอคงรู้สึกคล้ายคลึงกันว่าเธอกำลังห่วงใยผู้ได้รับอุบัติเหตุอย่างมากมาย
เจ้าหน้าที่พลเปลและเจ้าหน้าที่พยาบาลได้ออกมายืนรอรับแม่ของเธอเพื่อนำไปให้แพทย์รักษาอยู่ล่วงหน้าแล้วเพราะได้รับการประสานงานจากเจ้าหน้าที่กู้ชีพไว้ก่อน
“ผู้ป่วยมีบัตรประจำตัวไหมครับ” เสียงบุรุษพยาบาลถามเจ้าหน้าที่กู้ภัย
หญิงสาวคนหนึ่งที่เป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยได้มอบกระเป๋าสตางค์ใบเล็กของมารดาเธอให้บุรุษพยาบาลท่านนั้น “นี่ค่ะกระเป๋าผู้ป่วย ข้างในมีเอกสารของผู้ป่วยอยู่ค่ะ”
บุรุษพยาบาลเมื่อตรวจพบบัตรประจำตัวผู้ป่วยแล้วจึงแจ้งให้พลเปลไปส่งคนไข้ต่อไป
“ส่งผู้ป่วยไปพบแพทย์ได้...ผมจะไปติดต่อเจ้าหน้าที่ห้องบัตรก่อนครับ”
รถกู้ชีพได้แล่นออกไปหลังจากส่งมารดาของเธอให้กับโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว
พิมพ์พรขอร้องเจ้าหน้าที่อย่างร้อนรนด้วยความรู้สึกห่วงใยในอาการของมารดาอย่างเต็มปรี่
“ดิฉันเป็นลูกสาวผู้ป่วยค่ะ...ขอตามไปด้วยค่ะ!” เธอแจ้งแก่เจ้าหน้าที่พยาบาลสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เพื่อจะได้รีบเดินให้ทันพลเปลที่เข็นเตียงมารดาเธอไป
“คุณตามเจ้าหน้าที่เข้าไปได้ แต่ต้องปฏิบัติตามที่เจ้าหน้าที่ห้ามด้วยนะคะ”
“ค่ะดิฉันจะทำตามค่ะ... ขอบคุณค่ะ” เธอรับปาก แล้วก้าวตามหลังเจ้าหน้าที่พลเปลไปอย่างรวดเร็ว
พิมพ์พรผุดลุกผุดนั่งอยู่หลายครั้งอย่างร้อนรน จิตใจจดใจจ่ออยู่หน้าห้องตรวจโรค
เธอไม่อยากให้มารดาต้องเจ็บป่วยหรือเป็นอะไรไปเลย อุบัติเหตุในวันนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น
เธอเกือบคลาดกับการรู้ข่าวว่ามารดาตนเองประสบอุบัติเหตุ เพราะเธอกำลังจะออกไปทำงานที่ร้านหนังสือในเมือง
โชคดีที่จุกเด็กชายข้างบ้านวิ่งกระหืดกระหอบมาบอกเธอไว้ทัน ก่อนที่เธอจะบอกดิถีน้องชายคนเดียวให้ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งที่คิวรถตามปกติ
เพื่อต่อรถสองแถวไปทำงานในบ่ายวันนี้
ทุกวันพุธเธอจะเริ่มงานเมื่อเวลาบ่ายโมงตรง แต่ทุกวันที่เหลือ เวลางานจะเริ่มสิบโมงเช้า และมีเวลาหนึ่งชั่วโมงในเวลาเที่ยงวันและห้าโมงเย็น
เธอรับรู้จากจุกว่าแม่พริ้งมารดาของเธอประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ของเพื่อนบ้านที่นางได้นั่งซ้อนท้ายมาเกิดชนเข้ากับต้นไม้เพราะยางแตก
เลยตกลงไปข้างทางระหว่างกลับจากไปทำบุญเดือนสี่หรือบุญผะเวสที่วัด
บุญผะเวสเป็นงานบุญที่ชาวตำบลหนองบัวจัดเป็นประจำทุกปี ป้าแสงคนขับจักรยานยนต์ไม่เป็นอะไรมากแค่มีแผลถลอกนิดหน่อย เพราะมือจับแฮนด์รถและไหลไปตามแรงรถ
แต่มารดาของเธอกระเด็นลงจากรถแล้วศีรษะไปฟาดเข้ากับลำต้นยูคาลิปตัสขนาดใหญ่ที่อยู่ริมทางจนสลบไป
คนที่ขับรถตามมาจึงพากันช่วยเหลือแล้วแจ้งรถกู้ชีพของตำบลให้ส่งมาโรงพยาบาล
เธอรู้สึกผิดที่ไม่สามารถขับรถไปรับมารดาที่วัดได้เพราะต้องรีบไปทำงาน เธอนึกสงสารที่ท่านต้องเจ็บปวดร่างกาย
อีกทั้งคงต้องรับประทานทานยาหลายวัน คงสร้างความลำบากให้แก่ท่านไม่น้อย
เพราะลำพังโรคประจำตัวทั้งหลายที่รุมเร้าอยู่ก็ทำให้ท่านต้องอดทนกับการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว
โดยที่ยาเหล่านั้นก็ส่งผลข้างเคียงให้ท่านรู้สึกไม่สบายมาตลอด
ไม่นานเจ้าหน้าที่ก็เข็นเตียงมารดาเธอออกมา
เธอรีบเข้าไปพบท่าน “แม่ขา...แม่ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ” เธอพูดเบาๆ มองไปที่ใบหน้ามารดา เห็นท่านพยายามลืมตาและยิ้มให้เธอ
เจ้าหน้าที่หยุดเข็นเตียงครู่หนึ่งเพื่อให้เธอพูดคุยกับมารดา “แม่อย่าเป็นไรนะคะ หนูรักแม่ค่ะ” น้ำตาไหลซึมออกมา
ท่านกระพริบตาตอบเธอ ดูท่านไม่มีเรี่ยวแรงพูดจาได้เลย
“คุณกำลังจะพาคุณแม่ของฉันไปไหนคะ” เธอถามเจ้าหน้าที่ และเดินตามไปติดๆ
“พาเข้าไปห้องเอ็กซเรย์ครับ” เขาตอบเธอ “คุณนั่งรอคุณแม่อยู่ที่นี่... สักครู่ผมจะนำท่านออกมาครับ”
“ค่ะ” พิมพ์พรรับปาก
เธอมองตามเตียงของแม่ไป เจ้าหน้าที่พาท่านเข้าห้องเอ็กซเรย์ที่อยู่ไม่ห่างจากห้องตรวจโรคนัก
เธอถอดเป้ที่สะพายไว้ด้านหลังออกมา เพราะสัญญาณโทรศัพท์ติดตามตัวเคลื่อนที่ของเธอให้สัญญาณว่ามีสายเข้า
“พี่พิมพ์ คุณแม่เป็นอย่างไรบ้างครับ!” เสียงดิถีน้องชายของเธอถามมาอย่างกังวล
“พี่ยังไม่ทราบเลยจ้ะดิ ...ตอนนี้คุณแม่รู้สึกตัวแล้ว...และกำลังอยู่ห้องเอกซเรย์จ้ะ”
“ผมอยากรีบตามไปดูแลคุณแม่จังเลยครับ...ติดก็ตรงจะมีคนมาซื้อจิ้งหรีดนี่แหละ ...หากขายจิ้งหรีดแล้ว... ผมจะตามไปครับ”
“ไม่ต้องห่วงทางนี้นะจ๊ะดิ พี่ดูแลคุณแม่ได้ น้องทำธุระให้เรียบร้อยก่อน...แล้วค่อยมาก็ได้จ้ะ”
“ครับ” น้องชายเธอรับปาก
วันนี้แม่ค้าคนหนึ่งในตลาดนัดใกล้บ้าน นัดว่าจะเข้ามารับซื้อจิ้งหรีดซึ่งที่บ้านเธอ
เลี้ยงไว้ เพื่อนำไปทอดขาย การเลี้ยงจิ้งหรีดเป็นอาชีพเสริมอีกอย่างหนึ่งของครอบครัวเธอ
นอกเหนือจากการทำนาซึ่งเป็นอาชีพหลัก นอกจากจิ้งหรีดแล้ว ที่บ้านยังมีกล้วยและมะพร้าวไว้ขายให้แม่ค้าในตลาดนัดด้วย
มะพร้าวนั้นบิดาของเธอปลูกตั้งแต่ตอนสมัยเธอยังเป็นเด็กเล็ก เวลานั้นสารภีพี่สาวที่อายุมากกว่าเธอเจ็ดปีก็ช่วยบิดาปลูกด้วย เธอไม่ได้มีส่วนร่วมเพราะยังเล็กเกินไปที่จะช่วยปลูกได้ มารดาจึงอุ้มเธอดูอยู่ห่างๆ ส่วนดิถีก็ยังไม่ได้ลืมตาออกมาดูโลกในตอนนั้น
สารภีพี่สาวของเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตขณะอายุสิบแปดปี จากรถจักรยานยนต์ที่วัยรุ่นขับอย่างคึกคะนองเพราะเมาสุราชนท้ายรถจักรยานยนต์ที่พี่สาวเธอขับจนพี่สาวเธอเสียหลักล้มลงศีรษะน็อคพื้นและเสียชีวิตคาที่ เวลานั้นคุณพ่อและคุณแม่ของเธอเสียใจมาก เธอเห็นคุณแม่ร้องไห้เป็นครั้งแรก และท่านทั้งสองก็เศร้าโศกไปหลายวันทีเดียว
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งเธอและดิถีคงได้ช่วยกันดูแลมารดาอย่างใกล้ชิดต่อไปอีกหลายวัน มันไม่น่าเกิดขึ้นเลย เพราะจะทำให้ดิถีต้องสูญเสียเวลาในการอ่านหนังสือและเป็นกังวลเพิ่มขึ้นก่อนที่จะเข้าสอบแข่งขันเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ซึ่งจะมีขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เธอกังวลว่าน้องชายจะอ่านตำราได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก
เธอกังวลกับภาระค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนของน้องชายที่จะตามมาหากเขาสอบศึกษาต่อได้ มารดาเปรียบเสมือนเป็นเสาหลักของครอบครัวเพราะบิดาของเธอได้ลาจากโลกนี้ไปเมื่อปีใหม่ปีกลาย เนื่องจากอุบัติเหตุรถสิบล้อวิ่งสวนเลนข้ามมาชนสองแถวที่ท่านเช่าขับส่งผู้โดยสารระหว่างอำเภอไปตัวจังหวัด เหตุการณ์ครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตอยู่สามคน และปีนั้นเอง เธอก็ได้ลาออกจากการเรียนในช่วงต้นปีการศึกษาเพื่อแบ่งเบาภาระมารดา
ท่านเริ่มเจ็บป่วยหลังจากที่พี่สาวของเธอเสียชีวิต และไม่กี่ปีมานี้ท่านก็เป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน เธอสงสารท่านและทนเห็นท่านลำบากไม่ได้ จึงได้ช่วยทำงานแบ่งเบาภาระทุกอย่าง และพยายามทำงานเก็บเงินเพื่อไว้ใช้เป็นทุนเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเปิดและใช้สอยในบ้าน
หลังจากที่เธอได้ลาออกจากมหาวิทยาแล้ว ก็ได้งานประจำเป็นพนักงานขายหนังสือในห้างสรรพสินค้าในจังหวัด เพราะความขยันและเอาใจใส่ต่องานเธอจึงได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้จัดการในเวลาต่อมา
มองเห็นเจ้าหน้าที่เข็นรถเข็นของมารดาออกมาจากห้องเอ็กซเรย์ เธอจึงเดินเข้าไปเพื่อที่จะซักถามบุรุษพยาบาล
“คุณแม่ได้รับอันตรายมากไหมคะ”
“ไม่ต้องวิตกหรอกครับ ท่านไม่ได้รับอันตรายมาก เอกซเรย์แล้วปกติดี แต่ต้องให้ผู้ป่วยนอนพักอยู่ที่โรงพยาบาล เพื่อสังเกตอาการให้แน่ชัดก่อนครับ” บุรุษพยาบาลแจ้งเธอ
“ถ้าไม่มีปัญหาอะไรตามมา อีกสองสามวันคงออกจากโรงพยาบาลได้ครับ” แล้วเขาก็เข็นรถเข็นของแม่เธอส่งไปที่ห้องผู้ป่วยรวม เธอเดินตามหลังไป
เมื่อเข้ามาที่ห้องผู้ป่วยรวมเจ้าหน้าที่พยาบาลช่วยกันพยุงท่านขึ้นไปนอนพักฟื้นบทเตียง เธอเฝ้าอยู่ดูแลท่านตามลำพังไม่ห่าง คอยดูเวลาเพื่อหยิบยาให้ท่านทานตรงเวลา และดูแลสายน้ำเกลือไม่ให้เกิดปัญหา
“แม่ขา... แม่... แม่อยากได้อะไรบอกหนูนะคะ” เธอได้แต่พูดบอกท่านอยู่ฝ่ายเดียว เพราะท่านยังไม่สามารถพูดได้ถนัดนัก คงเพราะความไม่พร้อมของร่างกายจากอาการกระทบกระเทือนที่ได้รับ พิมพ์พรอยากให้ท่านทราบว่าเธออยู่ตรงนี้และคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง เห็นท่านพยักหน้าก็ดีใจ เพราะอย่างน้อยก็พอจะสื่อสารกันได้เข้าใจในยามวิกฤติเช่นนี้
บ่ายโมงครึ่ง ดิถีเดินถือถุงอาหารและเครื่องดื่มเข้ามาที่เตียงด้วยสีหน้าตกใจ เขาจัดแจงวางสิ่งของที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยที่โต๊ะข้างหัวเตียง
“พี่พิมพ์ครับ... ผมตกใจมาก... คุณแม่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ!” น้องชายเธอโน้มตัวไปกอดมารดาอย่างหลวมๆ แต่ตอนนี้มารดาของเธอท่านหลับไปแล้ว เขาหันมาหาเธอ เธอเห็นใบหน้าน้องชายดวงตาแดงกล่ำเพราะความเสียใจ เขาโน้มตัวขึ้น ยืนอยู่ข้างลำตัวมารดา โดยมีเธอนั่งอยู่เก้าอี้ใกล้กัน
“ทานอะไรรองท้องก่อนนะครับพี่พิมพ์ จะได้มีเรี่ยวแรงดีขึ้น”
“พี่ยังไม่อยากทานอะไรเลยดิ... กลัวว่าแม่ตื่นขึ้นมาแล้วอยากจะได้อะไร...จะได้ช่วยเหลือท่านได้”
“ดื่มน้ำก่อนดีไหมครับ” เขาเปิดขวดน้ำหยิบหลอดใส่ในนั้นแล้วยื่นให้เธอ
“ขอบใจมากจ้ะน้องรัก” เธอรับน้ำมาดื่มเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นำไปวางไว้โต๊ะข้างหัวเตียงผู้ป่วย แล้วเดินมายืนข้างน้องชาย
“พี่พิมพ์ไปทำงานก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเฝ้าคุณแม่เอง” เขาบอก
“พี่ไม่อยากไปเลยจ้ะดิ... เป็นห่วงคุณแม่มาก แต่ก็ต้องรีบไป ...ดิดูแลคุณแม่ให้ดีนะ ให้ท่านทานยาตรงตามเวลา เลิกงานแล้วพี่จะมาเฝ้าคุณแม่อีกครั้ง... มีอะไรด่วนก็โทรหาพี่ได้ พี่คงรีบไปทำงานแล้ว หากช้ามากไปนายจ้างคงจะไม่พอใจ” บอกน้องชายแล้วหยิบเป้สะพายไว้ที่หลังเตรียมตัวไปทำงาน
ดิถีมีใบหน้าคล้ายเจริญผู้เป็นพ่อของเธอ แต่ผิวเหมือนมารดาคือขาวผ่อง เขาจึงเป็นหนุ่มผิวขาวหน้าเข้ม หน้าตาดีดูหล่อเหลาเหมือนนายแบบบางคน ต่างจากเธอซึ่งมีผิวสีน้ำตาลคล้ายน้ำผึ้งใส และตัวบอบบางกว่าเขามาก
“ครับพี่พิมพ์ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ”
พิมพ์พรขับรถจักรยานยนต์คันสีแดงเข้มของบ้านเพื่อไปทำงานที่ห้างสรรพสินค้าที่อยู่ห่างออกไปสามสิบกิโลเมตร แต่ระยะทางจากบ้านเธอไปห้างใกล้กว่านั้นคือประมาณยี่สิบกิโลเมตร หากนั่งรถสองแถวครึ่งชั่วโมงก็ถึง
เธอขับรถอย่างใจลอยในบางขณะเพราะคิดถึงมารดา ท่านเป็นหญิงวัยห้าสิบเจ็ดปี ผมท่านสั้นและเป็นสีดอกเลาประปราย ร่างกายบอบบาง ท่านเริ่มเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ให้เธอเห็น ตั้งแต่พี่สารภีพี่สาวของเธอเสียชีวิต ขณะนั้นเธออายุสิบเอ็ดปี และเมื่อไม่กี่ปีมานี้ท่านก็เจ็บป่วยเพราะหลายโรครุมเร้าจนดูซูบผอมไปมาก แต่กำลังใจท่านยังดีเสมอมา แม้ว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงในครอบครัวคือบิดาของเธอเสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว แต่มารดาของเธอก็ให้ขวัญกำลังใจแก่ลูกๆ ไม่ให้ใจเสาะย่อท้อต่อความโชคร้ายของชะตาวีวิต ให้มุ่งมั่นสู้ชีวิตอย่างถูกต้องตามครรลองคลองธรรมต่อไป
เธอจำได้ว่าในยามที่เธอยังเด็ก หากพี่น้องคนใดซักถามว่ามารดาพบกับบิดาได้อย่างไร ท่านก็จะตอบอย่างมีความสุขเสมอว่าบิดาของเธอเป็นชายไทยมาจากภาคตะวันออก พบเจอกันเมื่อมาทำบุญทอดกฐินที่วัดไตรรัตน์ธรรมาราม ที่อยู่ห่างจากบ้านไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร พ่อเป็นหนุ่มหล่อ สมัยนั้นท่านหล่อเหลารูปร่างดีคล้ายพระเอกภาพยนตร์ สาวทั้งหลายในหมู่บ้านเห็นเข้าต่างก็นิยมชมชอบในรูปร่างหน้าตา เวลานั้นบิดาของเธออายุสามสิบสองปี ไม่รู้สึกถูกชะตาหรือชอบสาวอื่นใด แต่มาถูกชะตาและชอบมารดาของเธอ แม้หญิงสาวในหมู่บ้านจะพากันหัวใจสลายไปตามกัน แต่ก็ไม่ได้อิจฉามารดาเธอ กลับสนับสนุนให้ท่านทั้งสองรักกัน มารดาเห็นว่าบิดาเป็นคนดีขยันขันแข็ง ส่วนบิดาก็เห็นว่ามารดาเป็นคนอ่อนหวานมีน้ำใจดีงาม จึงได้รักกัน โดยที่คุณตาและคุณยายของเธอต่างก็พอใจ เพราะบิดาเธอรักงานกสิกรรม