ผู้บริโภคจี้กสท.แจงมติหวั่นกลุ่มทุนฮุบทีวีดิจิทัล
เปิดเวทีถกยุคสื่อควบรวม 'ธวัชชัย'ชี้กรณีเอสแอลซี-เนชั่นเปิดทางกลุ่มทุนซื้อหุ้นทีวีดิจิทัลขัดเจตนารมณ์จัดสรรคลื่นฯ 'ผู้บริโภค' จี้กสท.แจงปมเคาะมติค้านประกาศฯ
วันที่ 24 มี.ค.2558 คณะนิเทศศาสตร์ และคณะทำงานวาระทางสังคม สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันสื่อเด็กและเยาวชน (สสย.) จัดเสวนาสาธารณะ เกาะติดทิศทางการปฏิรูปสื่อ เรื่อง “สิทธิประชาชนอยู่ไหน ในยุคสื่อควบรวมและเหมาโหล”
สืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) วันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้พิจารณากรณีการบริษัทโซลูชั่น คอนเนอร์(1998) จำกัด (มหาชน) หรือ SLC ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ช่อง “สปริงนิวส์ทีวี” ผู้ได้รับใบอนุญาตทีวีดิจิทัล ประเภทช่องข่าวและสาระ ซื้อหุ้นของบริษัทเนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NMG สัดส่วน 12.27% โดยเนชั่น เป็นผู้ถือหุ้นสัดส่วน 71.30% ในบริษัทเอ็นบีซี เน็กซ์วิชั่น จำกัด (NNV) ผู้ได้รับใบอนุญาตทีวีดิจิทัล ช่องข่าวและสาร “เนชั่นทีวี”
โดยสำนักงานส่งเสริมการแข่งขันและกำกับดูแล และสำนักกฎหมายกระจายเสียงและโทรทัศน์ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้เสนอผลวิเคราะห์ข้อเท็จจริง กรณีนี้ว่า “เอสแอลซี” ซื้อหุ้นเนชั่น สัดส่วน 12.27% “เข้าข่าย” ผู้มีผลประโยชน์ร่วมกันและเป็นการถือครองใบอนุญาตทีวีดิจิทัล ในหมวดหมู่เดียวกันเกินสัดส่วน 10% ที่กำหนดไว้ตามประกาศ ดิจิทัล ตามประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกให้ใช้คลื่นความถี่ในกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์เพื่อประกอบกิจการทางธุรกิจ พ.ศ.2556 (ประกาศฯ หลักเกณฑ์ประมูล)
กรณีนี้ สำนักงานฯ ได้หารือกับคณะอนุกรรมการที่ปรึกษากฎหมาย กสทช.ซึ่งให้ความเห็นว่าประกาศฯ หลักเกณฑ์ประมูล ซึ่งอ้างอิงมากจาก มาตรา 31 พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ พ.ศ.2551 ที่ป้องกันการผูกขาดกิจการสื่อ ให้มีผลบังคับใช้ต่อเนื่องในกลุ่มผู้ได้รับใบอนุญาตตลอดอายุใบอนุญาต 15 ปี ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย นักวิชาการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนิด้า ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้เข้าประมูลทีวีดิจิทัล ให้ความเห็นว่ากรณีเอสแอลซีซื้อหุ้นเนชั่น สัดส่วน 12.27% เข้าข่ายผู้มีผลประโยชน์ร่วมกัน จากการถือครองใบอนุญาต ทีวีดิจิทัล ช่องข่าว 2 ช่อง
ขณะที่การประชุมบอร์ด กสท. วันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา บอร์ด กสท. “เสียงข้างมาก” 3 เสียง มีมติว่ากรณีเอสแอลซี ซื้อหุ้นเนชั่น 12.27% สามารถดำเนินการได้โดยไม่ขัดกับประกาศฯ หลักเกณ์ประมูล โดย 2 เสียงงดออกเสียงเนื่องจากเห็นว่า ประกาศฯ หลักเกณฑ์ประมูล ไม่มีผลบังคับใช้ผู้ได้รับใบอนุญาตหลังประมูล และอีก 1 เสียง เห็นว่า เอสแอลซี ไม่ได้กระทำการซื้อหุ้นขัดกับประกาศฯ หลักเกณฑ์ประมูล
เปิดทางกลุ่มทุนซื้อหุ้นทีวีดิจิทัล
นายธวัชชัย จิตรภาษ์นันท์ กรรมการ กสทช. และกรรมการ กสท. กล่าวว่าเนื้อหาตาม มาตรา 31 ของพ.ร.บ.การประกอบกิจการฯ ปี2551 กำหนดเรื่องการป้องกันการผูกขาดข่าวสาร ส่วนมาตรา 32 ป้องกันการผูกขาดทางธุรกิจ ซึ่ง กสทช. นำทั้ง 2 มาตราดังกล่าวมาจัดทำเป็น ประกาศฯ กสทช. โดยมาตรา 31 การผูกขาดเรื่องข้อมูลข่าวสาร กำหนดไว้ในประกาศฯ หลักเกณฑ์ประมูล ด้วยการกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นผู้รับใบอนุญาตทีวีดิจิทัล และกลุ่มผู้มีผลประโยชน์ร่วมกัน
อีกทั้งได้กำหนดสัดส่วนความเป็นเจ้าของช่องทีวีดิจิทัลไว้แล้ว 24 ช่อง ซึ่งมีผู้รับใบอนุญาตต่ำสุดที่ 14 บริษัท จากการกำหนดให้ 1 บริษัทรับใบอนุญาตสูงสุด 3 ช่อง โดยห้ามถือครองใบอนุญาตช่องเอชดีคู่กับช่องข่าว และกำหนดให้ 1 บริษัท ถือครองใบอนุญาตทีวีดิจิทัล ประเภทเดียวกันได้ 1 ช่อง
“หากประกาศฯ ที่ กสทช.เป็นผู้จัดทำขึ้นเอง เพื่อกำกับดูแลกิจการสื่อถูกละเมิด ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขสัดส่วนการถือครองช่องทีวีดิจิทัล ที่กำหนดไว้ และคิดว่ามือใครยาว สาวได้สาวเอา เป็นสิ่งที่อันตรายในอนาคต”
เนื่องจากทีวีดิจิทัล เป็นที่เข้าถึงผู้ชมได้ทั่วประเทศ ด้วยคุณภาพคมชัดสูง เป็นแหล่งข้อมูลและความบันเทิง ที่ประชาชนให้ความเชื่อถือ ทีวีจึงมีความสำคัญสูงในการใช้เป็นช่องทางเผยแพร่ข้อมูล ที่เชื่อมโยงกับประชาชนทั่วประเทศ การไม่บังคับใช้ประกาศฯ กสทช.ที่มีอยู่ ในกรณีเอสแอลซีและเนชั่น มีโอกาสสูงที่จะเกิดกรณีการซื้อหุ้นของกลุ่มทุนต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มทุนขนาดใหญ่ เพื่อเป็นเจ้าของทีวีดิจิทัล และส่งผลให้เหลือผู้เล่นน้อยราย ผิดจากเจตนารมณ์เดิมในการจัดสรรคลื่นความถี่ทีวีดิจิทัล ที่ต้องการให้มีความหลากหลายของกลุ่มทุนที่เป็นเจ้าของทีวีดิจิทัล โดยเฉพาะช่องข่าว ที่กำหนด 7 ช่อง 7 เจ้าของ
“กรณีเอสแอลซีและเนชั่น เป็นประเด็นสำคัญที่จะเปิดประตูไปสู่ปัญหาใหญ่ หากประกาศฯ นี้บังคับใช้ไม่ได้ จะไม่มีการกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นทีวีดิจิทัลอีก หากมีคนฉวยโอกาสจากช่องว่างนี้ไปดำเนินการ เนื่องจากไม่มีหลักประกันในการกำกับการถือหุ้น ในอนาคตช่องข่าวอาจถูกควบคุมไปในทิศทางเดียวกัน หากมีเจ้าของกลุ่มเดียว”
จี้กสท.แจงมติขัดประกาศฯ
นางสุวรรณา จิตประภัสสร์ ที่ปรึกษา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่าจากมติ กสท. ในการพิจารณากรณีเอสแอลซีและเนชั่น ภาคประชาชนจะส่งหนังสือไปถึง บอร์ด กสท. รวมทั้ง บอร์ด กสทช. เพื่อให้ชี้แจงมติกรณีดังกล่าว ซึ่งกรรมการ 3 คน มีความเห็นสวนทางกับคณะอนุกรรมการที่ปรึกษากฎหมายของ กสทช. และพิจารณามติ ขัดแย้งกับ ประกาศฯ หลักเกณฑ์ประมูล
หากองค์กรกำกับดูแลสื่อ กสทช. ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน ไม่พิจารณาแนวทางการกำกับดูแลสื่อตามกรอบกฎหมายที่มี ประชาชนเสี่ยงที่จะถูกครอบงำการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่หลากหลาย กรณีที่เกิดขึ้นกับเอสแอลซีและเนชั่น อาจเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาการครอบงำกิจการที่ อาจกลายเป็นโดมิโนล้มทั้งกระดานในอนาคตหรือไม่
เจตนารมย์ของกฎหมายกำหนดแนวทางการป้องกันการควบรวมและครอบงำกิจการไว้แล้ว ตามมาตรา 31 และ 32 ดังนั้นประชาชนจะต้องมีคำถามกับการกำกับดูแลของ กสทช. ว่าได้ทำงานไปตามเจตนารมย์หรือไม่
หลังจากนี้อาจกรณีซื้อทีวีดิจิทัลขึ้นอีก จะส่งผลกระทบต่อสิทธิการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายของประชาชน เพราะสื่อทีวีมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนทัศนคติได้ ทั้งการขายสินค้าและการควบคุมความคิดทางการเมือง หากมีเจ้าของสื่อน้อยรายเสี่ยงต่อการเกิดสถานการณ์ครอบงำทางความคิดผ่านกลุ่มทุนเดียว เพื่อเสนอข่าวสารในทิศทางที่ต้องการ และหากเป็นเช่นนี้ประเทศไทยจะเกิดวิกฤติ จากการได้ข้อมูลข้างเดียว
นางสุวรรณา กล่าวอีกว่าเพื่อร่วมกันส่งเสริมให้สังคมมีสื่อหลากหลาย ภาคประชาชนต้องรักษาและสนับสนุนสื่อมืออาชีพให้มีพื้นที่ยืน กลุ่มที่สนับสนุนเนชั่น โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นรายย่อยอาจแสดงออกเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้ด้วยการไปร่วมประชุมผู้ถือหุ้นเนชั่น
กำกับสื่อทุกแพลตฟอร์มยุคหลอมรวม
นางสาวพิจิตรา สึคาโมโต้ อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าเนื่องจากสื่อทีวีเป็นสื่อที่มีอิทธิพลต่อการเข้าถึงและให้ข้อมูลข่าวสารกับประชาชนในวงกว้าง ซึ่งข่าว เป็นรายการที่ได้รับความนิยมจากผู้ชมเป็นอันดับ 2 รองจากละคร ดังนั้นทีวีช่องข่าวจึงมีความสำคัญต่อสังคมไทย
เจตนารมณ์ทางกฎหมายไม่ต้องการให้มีการควบรวม สื่อทีวี วิทยุ ภายใต้กลุ่มทุนใด กลุ่มทุนหนึ่ง เพราะเนื้อหาสื่อทีวี วิทยุ ส่งผลต่อความเชื่อของผู้เสพสื่อ ดังนั้นการกำกับดูแลสื่อจึงมีองค์กรกำกับเฉพาะ โดยมีการออกกฎหมายและกลไกการกำกับดูแลสื่อ เพื่อให้เกิดการแข่งขันเสรี ส่งเสริมการมีผู้ประกอบการหลากหลาย แนวทางการกำกับดูแลเนื้อหาสื่อในยุคสื่อหลอมรวม จะต้องกำกับดูแลตั้งแต่เจ้าของ และช่องทางการเผยแพร่ในทุกแพลตฟอร์มที่เข้าถึงประชาชน ไม่ใช่เพียงช่องทางใดช่องทางหนึ่ง เพราะในยุคนี้ ประชาชนเปิดรับข้อมูลหลากหลายช่องทาง
ที่มา :
http://www.nationtv.tv/main/content/social/378449501/
ผู้บริโภคจี้กสท.แจงมติหวั่นกลุ่มทุนฮุบทีวีดิจิทัล
ผู้บริโภคจี้กสท.แจงมติหวั่นกลุ่มทุนฮุบทีวีดิจิทัล
เปิดเวทีถกยุคสื่อควบรวม 'ธวัชชัย'ชี้กรณีเอสแอลซี-เนชั่นเปิดทางกลุ่มทุนซื้อหุ้นทีวีดิจิทัลขัดเจตนารมณ์จัดสรรคลื่นฯ 'ผู้บริโภค' จี้กสท.แจงปมเคาะมติค้านประกาศฯ
วันที่ 24 มี.ค.2558 คณะนิเทศศาสตร์ และคณะทำงานวาระทางสังคม สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันสื่อเด็กและเยาวชน (สสย.) จัดเสวนาสาธารณะ เกาะติดทิศทางการปฏิรูปสื่อ เรื่อง “สิทธิประชาชนอยู่ไหน ในยุคสื่อควบรวมและเหมาโหล”
สืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) วันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้พิจารณากรณีการบริษัทโซลูชั่น คอนเนอร์(1998) จำกัด (มหาชน) หรือ SLC ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ช่อง “สปริงนิวส์ทีวี” ผู้ได้รับใบอนุญาตทีวีดิจิทัล ประเภทช่องข่าวและสาระ ซื้อหุ้นของบริษัทเนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NMG สัดส่วน 12.27% โดยเนชั่น เป็นผู้ถือหุ้นสัดส่วน 71.30% ในบริษัทเอ็นบีซี เน็กซ์วิชั่น จำกัด (NNV) ผู้ได้รับใบอนุญาตทีวีดิจิทัล ช่องข่าวและสาร “เนชั่นทีวี”
โดยสำนักงานส่งเสริมการแข่งขันและกำกับดูแล และสำนักกฎหมายกระจายเสียงและโทรทัศน์ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้เสนอผลวิเคราะห์ข้อเท็จจริง กรณีนี้ว่า “เอสแอลซี” ซื้อหุ้นเนชั่น สัดส่วน 12.27% “เข้าข่าย” ผู้มีผลประโยชน์ร่วมกันและเป็นการถือครองใบอนุญาตทีวีดิจิทัล ในหมวดหมู่เดียวกันเกินสัดส่วน 10% ที่กำหนดไว้ตามประกาศ ดิจิทัล ตามประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกให้ใช้คลื่นความถี่ในกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์เพื่อประกอบกิจการทางธุรกิจ พ.ศ.2556 (ประกาศฯ หลักเกณฑ์ประมูล)
กรณีนี้ สำนักงานฯ ได้หารือกับคณะอนุกรรมการที่ปรึกษากฎหมาย กสทช.ซึ่งให้ความเห็นว่าประกาศฯ หลักเกณฑ์ประมูล ซึ่งอ้างอิงมากจาก มาตรา 31 พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ พ.ศ.2551 ที่ป้องกันการผูกขาดกิจการสื่อ ให้มีผลบังคับใช้ต่อเนื่องในกลุ่มผู้ได้รับใบอนุญาตตลอดอายุใบอนุญาต 15 ปี ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย นักวิชาการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนิด้า ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้เข้าประมูลทีวีดิจิทัล ให้ความเห็นว่ากรณีเอสแอลซีซื้อหุ้นเนชั่น สัดส่วน 12.27% เข้าข่ายผู้มีผลประโยชน์ร่วมกัน จากการถือครองใบอนุญาต ทีวีดิจิทัล ช่องข่าว 2 ช่อง
ขณะที่การประชุมบอร์ด กสท. วันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา บอร์ด กสท. “เสียงข้างมาก” 3 เสียง มีมติว่ากรณีเอสแอลซี ซื้อหุ้นเนชั่น 12.27% สามารถดำเนินการได้โดยไม่ขัดกับประกาศฯ หลักเกณ์ประมูล โดย 2 เสียงงดออกเสียงเนื่องจากเห็นว่า ประกาศฯ หลักเกณฑ์ประมูล ไม่มีผลบังคับใช้ผู้ได้รับใบอนุญาตหลังประมูล และอีก 1 เสียง เห็นว่า เอสแอลซี ไม่ได้กระทำการซื้อหุ้นขัดกับประกาศฯ หลักเกณฑ์ประมูล
เปิดทางกลุ่มทุนซื้อหุ้นทีวีดิจิทัล
นายธวัชชัย จิตรภาษ์นันท์ กรรมการ กสทช. และกรรมการ กสท. กล่าวว่าเนื้อหาตาม มาตรา 31 ของพ.ร.บ.การประกอบกิจการฯ ปี2551 กำหนดเรื่องการป้องกันการผูกขาดข่าวสาร ส่วนมาตรา 32 ป้องกันการผูกขาดทางธุรกิจ ซึ่ง กสทช. นำทั้ง 2 มาตราดังกล่าวมาจัดทำเป็น ประกาศฯ กสทช. โดยมาตรา 31 การผูกขาดเรื่องข้อมูลข่าวสาร กำหนดไว้ในประกาศฯ หลักเกณฑ์ประมูล ด้วยการกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นผู้รับใบอนุญาตทีวีดิจิทัล และกลุ่มผู้มีผลประโยชน์ร่วมกัน
อีกทั้งได้กำหนดสัดส่วนความเป็นเจ้าของช่องทีวีดิจิทัลไว้แล้ว 24 ช่อง ซึ่งมีผู้รับใบอนุญาตต่ำสุดที่ 14 บริษัท จากการกำหนดให้ 1 บริษัทรับใบอนุญาตสูงสุด 3 ช่อง โดยห้ามถือครองใบอนุญาตช่องเอชดีคู่กับช่องข่าว และกำหนดให้ 1 บริษัท ถือครองใบอนุญาตทีวีดิจิทัล ประเภทเดียวกันได้ 1 ช่อง
“หากประกาศฯ ที่ กสทช.เป็นผู้จัดทำขึ้นเอง เพื่อกำกับดูแลกิจการสื่อถูกละเมิด ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขสัดส่วนการถือครองช่องทีวีดิจิทัล ที่กำหนดไว้ และคิดว่ามือใครยาว สาวได้สาวเอา เป็นสิ่งที่อันตรายในอนาคต”
เนื่องจากทีวีดิจิทัล เป็นที่เข้าถึงผู้ชมได้ทั่วประเทศ ด้วยคุณภาพคมชัดสูง เป็นแหล่งข้อมูลและความบันเทิง ที่ประชาชนให้ความเชื่อถือ ทีวีจึงมีความสำคัญสูงในการใช้เป็นช่องทางเผยแพร่ข้อมูล ที่เชื่อมโยงกับประชาชนทั่วประเทศ การไม่บังคับใช้ประกาศฯ กสทช.ที่มีอยู่ ในกรณีเอสแอลซีและเนชั่น มีโอกาสสูงที่จะเกิดกรณีการซื้อหุ้นของกลุ่มทุนต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มทุนขนาดใหญ่ เพื่อเป็นเจ้าของทีวีดิจิทัล และส่งผลให้เหลือผู้เล่นน้อยราย ผิดจากเจตนารมณ์เดิมในการจัดสรรคลื่นความถี่ทีวีดิจิทัล ที่ต้องการให้มีความหลากหลายของกลุ่มทุนที่เป็นเจ้าของทีวีดิจิทัล โดยเฉพาะช่องข่าว ที่กำหนด 7 ช่อง 7 เจ้าของ
“กรณีเอสแอลซีและเนชั่น เป็นประเด็นสำคัญที่จะเปิดประตูไปสู่ปัญหาใหญ่ หากประกาศฯ นี้บังคับใช้ไม่ได้ จะไม่มีการกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นทีวีดิจิทัลอีก หากมีคนฉวยโอกาสจากช่องว่างนี้ไปดำเนินการ เนื่องจากไม่มีหลักประกันในการกำกับการถือหุ้น ในอนาคตช่องข่าวอาจถูกควบคุมไปในทิศทางเดียวกัน หากมีเจ้าของกลุ่มเดียว”
จี้กสท.แจงมติขัดประกาศฯ
นางสุวรรณา จิตประภัสสร์ ที่ปรึกษา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่าจากมติ กสท. ในการพิจารณากรณีเอสแอลซีและเนชั่น ภาคประชาชนจะส่งหนังสือไปถึง บอร์ด กสท. รวมทั้ง บอร์ด กสทช. เพื่อให้ชี้แจงมติกรณีดังกล่าว ซึ่งกรรมการ 3 คน มีความเห็นสวนทางกับคณะอนุกรรมการที่ปรึกษากฎหมายของ กสทช. และพิจารณามติ ขัดแย้งกับ ประกาศฯ หลักเกณฑ์ประมูล
หากองค์กรกำกับดูแลสื่อ กสทช. ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน ไม่พิจารณาแนวทางการกำกับดูแลสื่อตามกรอบกฎหมายที่มี ประชาชนเสี่ยงที่จะถูกครอบงำการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่หลากหลาย กรณีที่เกิดขึ้นกับเอสแอลซีและเนชั่น อาจเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาการครอบงำกิจการที่ อาจกลายเป็นโดมิโนล้มทั้งกระดานในอนาคตหรือไม่
เจตนารมย์ของกฎหมายกำหนดแนวทางการป้องกันการควบรวมและครอบงำกิจการไว้แล้ว ตามมาตรา 31 และ 32 ดังนั้นประชาชนจะต้องมีคำถามกับการกำกับดูแลของ กสทช. ว่าได้ทำงานไปตามเจตนารมย์หรือไม่
หลังจากนี้อาจกรณีซื้อทีวีดิจิทัลขึ้นอีก จะส่งผลกระทบต่อสิทธิการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายของประชาชน เพราะสื่อทีวีมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนทัศนคติได้ ทั้งการขายสินค้าและการควบคุมความคิดทางการเมือง หากมีเจ้าของสื่อน้อยรายเสี่ยงต่อการเกิดสถานการณ์ครอบงำทางความคิดผ่านกลุ่มทุนเดียว เพื่อเสนอข่าวสารในทิศทางที่ต้องการ และหากเป็นเช่นนี้ประเทศไทยจะเกิดวิกฤติ จากการได้ข้อมูลข้างเดียว
นางสุวรรณา กล่าวอีกว่าเพื่อร่วมกันส่งเสริมให้สังคมมีสื่อหลากหลาย ภาคประชาชนต้องรักษาและสนับสนุนสื่อมืออาชีพให้มีพื้นที่ยืน กลุ่มที่สนับสนุนเนชั่น โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นรายย่อยอาจแสดงออกเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้ด้วยการไปร่วมประชุมผู้ถือหุ้นเนชั่น
กำกับสื่อทุกแพลตฟอร์มยุคหลอมรวม
นางสาวพิจิตรา สึคาโมโต้ อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าเนื่องจากสื่อทีวีเป็นสื่อที่มีอิทธิพลต่อการเข้าถึงและให้ข้อมูลข่าวสารกับประชาชนในวงกว้าง ซึ่งข่าว เป็นรายการที่ได้รับความนิยมจากผู้ชมเป็นอันดับ 2 รองจากละคร ดังนั้นทีวีช่องข่าวจึงมีความสำคัญต่อสังคมไทย
เจตนารมณ์ทางกฎหมายไม่ต้องการให้มีการควบรวม สื่อทีวี วิทยุ ภายใต้กลุ่มทุนใด กลุ่มทุนหนึ่ง เพราะเนื้อหาสื่อทีวี วิทยุ ส่งผลต่อความเชื่อของผู้เสพสื่อ ดังนั้นการกำกับดูแลสื่อจึงมีองค์กรกำกับเฉพาะ โดยมีการออกกฎหมายและกลไกการกำกับดูแลสื่อ เพื่อให้เกิดการแข่งขันเสรี ส่งเสริมการมีผู้ประกอบการหลากหลาย แนวทางการกำกับดูแลเนื้อหาสื่อในยุคสื่อหลอมรวม จะต้องกำกับดูแลตั้งแต่เจ้าของ และช่องทางการเผยแพร่ในทุกแพลตฟอร์มที่เข้าถึงประชาชน ไม่ใช่เพียงช่องทางใดช่องทางหนึ่ง เพราะในยุคนี้ ประชาชนเปิดรับข้อมูลหลากหลายช่องทาง
ที่มา : http://www.nationtv.tv/main/content/social/378449501/