ากกรณีกระทู้"การที่คอสเพลย์ถ่ายรูปด้วยท่าโพสที่ส่อไปทางเพศ เช่นโอบกอด จูบ นั่งคร่อม ในสถานที่เปิดเช่นลานหน้า Centralworld เหมาะสมมั๊ย"
ผมกะจะเขียนไปถึงท่าน แต่ผมขออ่านความเห็นของหลายๆท่านก่อน และขอเวลาตัดสินใจหลายวันจนสุดท้ายจึงได้มาเขียน
ต้องกล่าวก่อนว่าในสังคมย่อมมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย และแต่ละคนนั้นมีการให้ชุดคุณค่าที่แตกต่างกันไป หากในแง่ของกฏหมายกรณีการโพสท่าไม่ว่าท่าไหน หากไม่เข้าข่ายอนาจารย่อมสามารถทำได้ ไม่ว่าท่าไหนก็ตามที หรือต่อให้ขัดกับความรู้สึกของท่านก็ตามก็ย่อมทำได้ การเอาคุณธรรมส่วนบุคคล หรือมาตรฐานของท่านไปตัดสินคนอื่นนั้นย่อมเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะ แต่ละคนย่อมมีมาตรฐานความเหมาะสมที่ไม่เท่ากันหากเอาไปใส่คนอื่นโดยที่เขาไม่ยินยอมย่อมเกิดปัญหาได้ เพราะความคิดคนละชุดกัน หรือต่อให้อ้างคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ไปสำรวจมาเป็นชิ้นเป็นอันก็เถอะ ก็ย่อมฟังไม่ขึ้น
การแสดงความเห็นในลักษณะของท่านย่อมชัดเจนว่าเป็นไปในทางอนุรักษ์นิยมสุดๆโดยไม่ได้ดูความเป็นจริงไม่ เพราะคนไทยในช่วง 40-60 ปีที่ผ่านมาย่อมมีแนวความคิดแบบนี้จากการถูกPropaganda(โฆษณาชวนเชื่อโดยรัฐ)ว่านี่คือความเป็นไทย และคนไทยก็ถูกสอนแบบนั้นมาตลอดให้ซาบซึ้งเข้าไปซึ่งเมื่อเห็นอะไรที่ท่านรู้สึกผิดหูผิดตาก็ย่อมจะมีความอ่อนไหวทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ได้โดยง่าย เพราะท่านเชื่อโดยสนิทใจว่านี่คือความดี หรือสัจธรรมอะไรก็ตาม สิ่งที่นักอนุรักษ์นิยมอย่างท่านยังไม่เข้าใจ
ผมจะบอกให้ รู้ไหมครับว่าสิ่งที่ท่านยึดมั่น ถือมั่นเกิดมากจากวัฒนธรรมรัฐชาติสมัยใหม่ที่อาศัยโครงสร้างของวัฒนธรรมในยุคจารีตที่ยังไม่มีรัฐชาติ กับวัฒนธรรมในนครรัฐมาประดิษฐ์ใหม่เป็นประดิษฐกรรมเพื่อสนิองความต้องการของรัฐ เพื่อควบคุมชาติ ประชาชนให้อยู่ในอำนาจได้โดยอาศัยชุดความเ้ชื่อเดียวกัน อายุของมันประมาณไม่เกิน 150 ปี (มันพึ่งเกิดนั่นเอง) ดังนั้นธรรมเนียมทั้งหลายของไทยเป็นวัฒนธรรมที่สร้างโดยรัฐชาติสมัยใหม่ และมีการนำวัฒนธรรมอื่นเข้ามาผสมเช่นของทางฝั่งยุโรปในยุคนั้น และเมื่อความเชื่อนี้ถูกถ่ายทอดผ่านระบบการศึกษาตลอดจนจบม.ปลาย ก็ย่อมไม่แปลกใจหากยังมีคนเชื่อ แสดงว่าระบบการศึกษาแบบเก่ายังสามารถให้ผลที่คิดว่าดี(ทั้งที่จริงแย่ด้วยซ้ำ) ใส่ชุดความคิดโดยเชื่อสนิทใจและใช้ชุดความคิดนี้ไปชั่งตวงวัดสังคมอื่นๆ โดยเอาเป็นศูนย์กลาง ไปอธิบายว่าอะไรเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เ้ป็นการอธิบายที่ไม่ดูบริบทเอาเสียเลย
มาตรฐานความเหมาะสมของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ไม่ควรที่จะเอามาตรฐานความเหมาะสมของตัวเองหรือศีลธรรมของตัวเองไปใช้กับคนอื่นแต่ควรที่จะมาสร้างกติการ่วมกันและยอมรับพื้นที่ของพวกเขาให้เขาทำงานอดิเรกของเขาบ้าง เพราะ ค่านิยมส่วนตัว ไม่สามารถที่จะเอามาตัดสินสังคมได้สังคมจะอยู่ได้ก็ด้วยกติกาภายใต้หลักการและเหตุผลมิใช่ความเชื่อที่มอมเมาและไม่เป็นไปตามบริบท วัฒนธรรมขึ้นอยู่กับคน ท่านคงไปห้ามอะไรไม่ได้
และก็ไม่ควรที่จะเอาจารีต หรือค่านิยม มาเป็นกฏหรือหลักการเพราะหาเหตุผลมิได้ และการใช้มันอธิบายสังคมย่อมไม่ควรอย่างยิ่งเพราะไม่ได้เป็นไปตามบริบทจริงๆ เป็นการมองจากสายตาคู่นึงของตัวเองเท่านั้น และวัฒนธรรมในสมัยใหม่หากอยากอยู่รอดต้องแข่งขัน โดยการเสนอContent ที่น่าสนใจเข้าสู้ หาใช่บังคับหรือยัดเยียดไม่ วัฒนธรรมนั้นจึงจะอยู่ต่อไปได้
สุดท้ายถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะขอชวนท่านมาดีเบตกัน ณ ลานเซนทรัลเวิล์ด มาอภิปรายสนทนากันอย่างมีปัญญาอารยะเขาทำกันบ้างเพื่อคุยกันว่าอะไรคือปัญหาจริงๆกันแน่
ด้วยความนับถือ
จากกรณีกระทู้คอสเพลย์ ถึง สมาชิกหมายเลข 895425 ด้วยความนับถือ
ผมกะจะเขียนไปถึงท่าน แต่ผมขออ่านความเห็นของหลายๆท่านก่อน และขอเวลาตัดสินใจหลายวันจนสุดท้ายจึงได้มาเขียน
ต้องกล่าวก่อนว่าในสังคมย่อมมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย และแต่ละคนนั้นมีการให้ชุดคุณค่าที่แตกต่างกันไป หากในแง่ของกฏหมายกรณีการโพสท่าไม่ว่าท่าไหน หากไม่เข้าข่ายอนาจารย่อมสามารถทำได้ ไม่ว่าท่าไหนก็ตามที หรือต่อให้ขัดกับความรู้สึกของท่านก็ตามก็ย่อมทำได้ การเอาคุณธรรมส่วนบุคคล หรือมาตรฐานของท่านไปตัดสินคนอื่นนั้นย่อมเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะ แต่ละคนย่อมมีมาตรฐานความเหมาะสมที่ไม่เท่ากันหากเอาไปใส่คนอื่นโดยที่เขาไม่ยินยอมย่อมเกิดปัญหาได้ เพราะความคิดคนละชุดกัน หรือต่อให้อ้างคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ไปสำรวจมาเป็นชิ้นเป็นอันก็เถอะ ก็ย่อมฟังไม่ขึ้น
การแสดงความเห็นในลักษณะของท่านย่อมชัดเจนว่าเป็นไปในทางอนุรักษ์นิยมสุดๆโดยไม่ได้ดูความเป็นจริงไม่ เพราะคนไทยในช่วง 40-60 ปีที่ผ่านมาย่อมมีแนวความคิดแบบนี้จากการถูกPropaganda(โฆษณาชวนเชื่อโดยรัฐ)ว่านี่คือความเป็นไทย และคนไทยก็ถูกสอนแบบนั้นมาตลอดให้ซาบซึ้งเข้าไปซึ่งเมื่อเห็นอะไรที่ท่านรู้สึกผิดหูผิดตาก็ย่อมจะมีความอ่อนไหวทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ได้โดยง่าย เพราะท่านเชื่อโดยสนิทใจว่านี่คือความดี หรือสัจธรรมอะไรก็ตาม สิ่งที่นักอนุรักษ์นิยมอย่างท่านยังไม่เข้าใจ
ผมจะบอกให้ รู้ไหมครับว่าสิ่งที่ท่านยึดมั่น ถือมั่นเกิดมากจากวัฒนธรรมรัฐชาติสมัยใหม่ที่อาศัยโครงสร้างของวัฒนธรรมในยุคจารีตที่ยังไม่มีรัฐชาติ กับวัฒนธรรมในนครรัฐมาประดิษฐ์ใหม่เป็นประดิษฐกรรมเพื่อสนิองความต้องการของรัฐ เพื่อควบคุมชาติ ประชาชนให้อยู่ในอำนาจได้โดยอาศัยชุดความเ้ชื่อเดียวกัน อายุของมันประมาณไม่เกิน 150 ปี (มันพึ่งเกิดนั่นเอง) ดังนั้นธรรมเนียมทั้งหลายของไทยเป็นวัฒนธรรมที่สร้างโดยรัฐชาติสมัยใหม่ และมีการนำวัฒนธรรมอื่นเข้ามาผสมเช่นของทางฝั่งยุโรปในยุคนั้น และเมื่อความเชื่อนี้ถูกถ่ายทอดผ่านระบบการศึกษาตลอดจนจบม.ปลาย ก็ย่อมไม่แปลกใจหากยังมีคนเชื่อ แสดงว่าระบบการศึกษาแบบเก่ายังสามารถให้ผลที่คิดว่าดี(ทั้งที่จริงแย่ด้วยซ้ำ) ใส่ชุดความคิดโดยเชื่อสนิทใจและใช้ชุดความคิดนี้ไปชั่งตวงวัดสังคมอื่นๆ โดยเอาเป็นศูนย์กลาง ไปอธิบายว่าอะไรเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เ้ป็นการอธิบายที่ไม่ดูบริบทเอาเสียเลย
มาตรฐานความเหมาะสมของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ไม่ควรที่จะเอามาตรฐานความเหมาะสมของตัวเองหรือศีลธรรมของตัวเองไปใช้กับคนอื่นแต่ควรที่จะมาสร้างกติการ่วมกันและยอมรับพื้นที่ของพวกเขาให้เขาทำงานอดิเรกของเขาบ้าง เพราะ ค่านิยมส่วนตัว ไม่สามารถที่จะเอามาตัดสินสังคมได้สังคมจะอยู่ได้ก็ด้วยกติกาภายใต้หลักการและเหตุผลมิใช่ความเชื่อที่มอมเมาและไม่เป็นไปตามบริบท วัฒนธรรมขึ้นอยู่กับคน ท่านคงไปห้ามอะไรไม่ได้
และก็ไม่ควรที่จะเอาจารีต หรือค่านิยม มาเป็นกฏหรือหลักการเพราะหาเหตุผลมิได้ และการใช้มันอธิบายสังคมย่อมไม่ควรอย่างยิ่งเพราะไม่ได้เป็นไปตามบริบทจริงๆ เป็นการมองจากสายตาคู่นึงของตัวเองเท่านั้น และวัฒนธรรมในสมัยใหม่หากอยากอยู่รอดต้องแข่งขัน โดยการเสนอContent ที่น่าสนใจเข้าสู้ หาใช่บังคับหรือยัดเยียดไม่ วัฒนธรรมนั้นจึงจะอยู่ต่อไปได้
สุดท้ายถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะขอชวนท่านมาดีเบตกัน ณ ลานเซนทรัลเวิล์ด มาอภิปรายสนทนากันอย่างมีปัญญาอารยะเขาทำกันบ้างเพื่อคุยกันว่าอะไรคือปัญหาจริงๆกันแน่
ด้วยความนับถือ