2 Become Once : บันทึกการ(เริ่ม)เดินทาง ของผู้ชายบ้างาน กับ ผู้ชาย (เพิ่ง) ตกงาน ตอนที่ 1 “สุข (ศุกร์)แห่งสยาม”

2 Become Once :
บันทึกการ(เริ่ม)เดินทาง
ของผู้ชายบ้างาน กับ ผู้ชาย(เพิ่ง)ตกงาน
ตอนที่ 1 “สุข (ศุกร์)แห่งสยาม


Intro

ท่ามกลางมหานครที่แสนจะวุ่นวาย  เฉกเช่น กรุงเทพมหานคร สภาพการจราจรที่ติดขัด
ผู้คนที่ดูเร่งรีบตลอดเวลา  ค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกวัน  ปัญหาสังคมต่างๆที่ถาโถมเข้าใส่ผู้คนไม่เว้นแต่ละวัน
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันทำให้ความหมายของ “ความสุขที่แท้จริง” ของคนกรุง หรือคนที่ทำงานและอาศัยอยู่ในเมืองกรุง
มักถูกตั้งคำถามว่า "มันมีอยู่จริงหรือไม่ หรือเหมือนมันไม่เคยมีอยู่จริงเลยกันแน่"




แต่เชื่อเถอะครับ ถึงแม้ว่าพวกเขาเหล่านี้จะยังหาคำตอบถึงนิยามของความสุขที่แท้จริงไม่ได้ ภายใต้ความวุ่นวายของเมืองใหญ่แบบนี้  
แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนคงปฏิเสธไม่ได้ ก็คือ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองกรุงแต่ละคนก็ต่างมีพื้นที่ความสุขส่วนตัวในแบบฉบับของตัวเอง
หลบซ่อนอยู่ไม่มุมใดก็มุมหนึ่ง เป็นมุมที่เขาสามารถจะยิ้มกว้างๆได้อย่างไม่ต้องกลัวใครคิดว่า “บ้า”  
นั่งร้องไห้มีน้ำตาได้อย่างไม่ต้องอายใคร
ตะโกนออกไปได้สุดเสียงโดยไม่ต้องสนใจว่าใครจะได้ยินเสียงของคุณหรือไม่
เป็นเหมือนพื้นที่เล็กๆ ที่ช่วยซ่อมแซมหัวใจช้ำๆ และชาร์จพลังงานให้ตัวคุณมีแรงเต็มหลอด
ให้พร้อมจะออกเดินทางไปบนถนนสายชีวิตที่เหลือสั้นยาวแตกต่างกันไป


**********************************

ผมชื่อ A ครับ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตและทำงานอยู่ใจกลางเมืองกรุงมานานหลายปี
เป็นมนุษย์เงินเดือนรับค่าตอบแทนอันเนื่องมาจากภาษีของประชาชน ประกอบอาชีพที่พอใครทราบแล้วถ้าไม่รักกันก็คงเกลียดกันไปเลย




อายุแตะเลข 3 สูง 180 ไม่นิยมเล่นกล้าม ยึดมั่นในลัทธิชายไทยไว้พุงอย่างเคร่งครัด
เป็นมนุษย์เงินเดือนทั่วๆไป ที่เบื่อวันจันทร์บ้าง อู้บ้าง ขี้เกียจบ้าง
แต่เรื่องความรับผิดชอบต่องานในหน้าที่ และความมุ่งมั่นในการทำงานให้สัมฤทธิ์ผล
มันเปรียบเสมือนฮอร์โมนชนิดพิเศษในกายผม ที่พร้อมจะพลุ่งพล่านได้ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นแล้ว ผมก็จัดได้ว่า เป็นคน “บ้างาน” คนหนึ่งแห่งสยามประเทศเลยทีเดียว


**************************


จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดมันเกิดขึ้นจาก เสียงแอพพลิเคชั่น Line  ที่ดังขึ้นในเย็นวันศุกร์
ท่ามกลางผู้คนที่กำลังเลิกงานและกำลังทยอยเดินทางกลับ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
เสียงชักชวนกันไปกินเหล้า ระคนไปกับบทสนทนาว่า สุดสัปดาห์นี้จะไปเที่ยวนั่น ไปดูโน่น ไปดูนี่
ค่อยๆแว่วผ่านตัวของผมไป มีเสียงทักทาย บอกลาผม ประปราย
แล้วมันก็กลายเป็นเสียงเงียบในที่สุด


เย็นวันศุกร์แบบนี้ แน่นอนว่าผมไม่ควรมานั่งอยู่ที่ทำงาน ย่านใจกลางเมือง แบบนี้
แต่กับงานที่ยังคงกองอยู่ตรงหน้าพอสมควร มันทำให้ผมถอนหายใจบางๆ และคงไม่มีอะไรดีไปกว่า นั่งทำมันให้เสร็จภายในค่ำคืนนี้
ในความเงียบของที่ทำงาน ซึ่งนอกจากเสียงเครื่องปรับอากาศรุ่นเก่า ที่ยังส่งเสียงเป็นเพื่อนผมอยู่นั้น
พลันเสียง Line ที่สองและสามก็ดังขึ้น ทำลายความเงียบๆ เหงาๆ จนทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า ผมลืมกดเข้าไปดูข้อความ

“ A อยู่ไหนวะ”
“เห้ยกินเหล้ากัน ”
“ไปหาได้เปล่า ตอบกรูที”

ข้อความจากพี่ชายที่ผมสนิทคนหนึ่ง ที่อยู่ๆก็เหมือนไม่ค่อยได้คุยกันมาหลายเดือน เพราะต่างก็ทำมาหากินกันคนละเส้นทาง  
แถมบ้านช่องก็อยู่ไกลกันมาก (นึกภาพตาม บ้านผมอยู่ฟิวเจอร์รังสิต บ้านพี่แกอยู่เมกกะบางนา)
แต่สิ่งที่ทำให้ผมฉุกคิดก็คือ ถ้าพี่เขาพิมพ์มาทรงนี้ มันไม่ปกติแล้วหวะ สัญชาติญาณมันบอกผมแบบนั้น
พี่เขาคงมีเรื่องอะไรไม่สบายใจซักอย่าง แน่ๆ

“มาเลยพี่ ผมยังอยู่ที่ทำงาน ถึงแล้วโทรมา เดี๋ยวลงไปรับ”
“งั้นลงมารับเลย  เจ้าหน้าที่ข้างล่างไม่ให้กูเข้ามาที่ทำงานหวะ ตรวจกระเป๋าอยู่ได้”
“ เชี่ยละ พี่มาไวไปป่ะวะ งานผมยังไม่เสร็จเลยพี่”
“ก็ไม่ตอบ กรูเลยวัดดวง”
ผมชั่งใจเล็กๆ เกาหัวสองที เห้ยได้ข่าวว่าคลาดสายตาจาก Line ไม่เกิน 5 นาที พี่แกทำไมมาไวจังวะ
เพ่งกระแสจิตมองงานที่กองอยู่ ตรงหน้า แล้วก็มองหน้าจอโน๊ตบุ๊ค  พลันนิ้วมือก็พิมพ์ไปโดยอัตโนมัติ
“โอเค เดี๋ยวลงไปรับพี่ รอเดี๋ยวนะ”
สมองสั่งการให้กด shut down ครับ รู้ตัวอีกทีก็เดินไปกดลิฟต์ แล้วก็บอกกับตัวเองว่า
“เอาจริงๆงานยิ้มก็ไม่ด่วนมั้ง พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”

**********************************

ไม่กี่อึดใจลิฟต์ก็เปิดออก ณ ชั้นที่ 1  
ภาพตรงหน้าของผมก็คือ พี่กุ้ง ชายไทยซึ่งสูงกว่าระดับหัวไหล่ผมเล็กน้อย อายุก็เลข 3 ปลายๆ ชอบวิ่งมาราธอน
ชอบถ่ายภาพ ชอบดำน้ำมีงานประจำทำ มีเงินเดือนที่โอเค




แกยืนยิ้มกวนตีน มือซ้ายถือขาตั้งกล้อง มือขวากำลังสแคชบางสิ่งในระดับกระเป๋ากางเกง สะพายกระเป๋ากล้องแบบเป้ใบค่อนข้างใหญ่  
แน่นอนครับ สาระรูป เอ้ยไม่สิ สภาพแบบนี้  เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยของที่ทำงานผม
คงไม่ปล่อยผ่านเข้ามาง่ายๆ แน่ๆ และทันทีที่ผมกำลังจะเอ่ยทักทาย พี่แกก็เดินพรวดเข้ามาในลิฟต์และกดชั้นที่ผมทำงานอยู่
(ซึ่งก็ไม่รู้ว่าฮีรู้ได้ไง)

“ถามจริงพี่ จะมาวางระเบิดที่ทำงานผมหรอครับ”
“เออ กรูปวดขี้ จะให้ตดในลิฟต์มัดจำก่อนดีมั้ย”
“พูดจริง”
“เปล่า กวนตีน”
เพราะตึกที่เริ่มจะไม่มีคนอยู่ในเย็นวันศุกร์แบบนี้ การทำงานของลิฟต์จึงพาเรามาถึงที่ทำงานผมอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าการพูดคุยกับผมจะดูปกติ แลดูเหมือนพี่กุ้งคนเดิมที่ผมคุ้นเคย แต่แววตาคนเรามันก็ปิดบังความจริงกันไม่ได้ป่ะวะ
“เฮ้ยทำงานต่อดิ เสร็จแล้วจะได้ไปกินเหล้า”
“ไม่ทำหล่ะครับ ไม่มีฟิลลิ่ง พี่ตอบผมมาก่อนดีกว่า  เป็นไรป่าวครับ วัยทอง ?”
“จริงๆคนดีๆ เขาไม่นั่งทำงานเย็นวันศุกร์แบบนี้นะ”
“เห้ยผมเป็นคนดีนะ แต่ผมมันมีการมีงานทำนี่ครับ ”
“เออวะ คนมีงานประจำทำนี่ โชคดีวะ”
มนุษย์กุ้ง หน้าสลดลง บทสนทนาเหมือนทำให้ต่างคนก็ต่างสตั๊นไปคนละ 3 วิ
ความเงียบเข้าปกคลุมอย่างไม่ได้ตั้งใจ และก่อนที่ความเงียบกำลังจะเชี่ยใส่เราสองคน  

ทุกคนคงจะจำสิ่งที่ผมเกริ่นนำในตอนต้นได้ใชไหมครับ ว่าคนเราทุกคนต่างก็มีพื้นที่ส่วนตัวเล็กๆ
ที่สามารถจะสร้างความสุขให้กับเรา และช่วยชาร์จแบตให้กับร่ายกายและหัวใจที่อ่อนล้า

***********************************


ผมก็เช่นกัน ผมก็มีพื้นที่ความสุขของผมซุกซ่อนอยู่ ท่ามกลางความวุ่นวายของเมืองหลวง
ซึ่งสถานที่นั้นมันก็ได้เก็บทุกความทรงจำของผม ตั้งแต่เด็กยันโต และมันก็อยู่ไม่ได้ใกล้ไม่ได้ไกล จากที่ทำงานของผมเลยครับ  
ใครๆก็เรียกมันสั้นๆง่ายๆว่า “สยาม”
หรือ “สยามแควร์” นั่นแหล่ะ




ผมเชื่อว่าหลายๆคน คงมีความทรงจำเกี่ยวกับสยาม ในแบบฉบับของตัวเอง
บางคนเติบโตมากับมัน มาเดินเล่น มาเรียนพิเศษ มาซื้อเสื้อผ้า มาตัดผม มาดูคอนเสิร์ต  นัดเดท นัดแฟน
นัดเพื่อน มาศูนย์หนังสือจุฬาฯ เดินผ่าน by pass ไปดูหนังที่โรงหนังสยาม ลิโด้ หรือไม่ก็ สกาล่า
มานั่งเล่นลานน้ำพุ ที่เซนเตอร์พ้อยน์ มาต่อแถวกินตำนัว  มานั่งกินข้าวไข่ข้นบ้านหญิง นั่งกินนมที่ Milk Plus ไปซื้อขนมปังที่ UFM  
หาเพลงเจ๋งๆฟังที่ร้าน  DJ SIAM  ดูของที่โบนันซ่า จิบเบียร์ที่ Hard rock café  สุดแล้วแต่ประสบการณ์ของแต่ละคน
แต่สำหรับผมทุกครั้งที่ผมอยากอยู่กับตัวเอง หรือมีเรื่องไม่สบายใจ หรือทุกข์ใจอะไรซักอย่าง
การเดินไปเรื่อยๆในสยาม คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย มองดูผู้คน มองดูบรรยากาศ โดยเฉพาะในเวลาเย็นๆ จนกระทั่งถึงกลางคืน
ยิ่งถ้าย้อนกลับไปตอนที่กรุงเทพมีฤดูหนาวยาวนานซักหน่อย จะยิ่งทำให้บรรยากาศการเดินสยามเพื่อแสวงหาความสุข
จากความทุกข์ที่เล่นตลกกับชีวิต มีดีกรีความฟินเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่าเลยทีเดียว


ตัดกลับไปที่ บทสนทนาของผู้ชายบ้าๆ 2 คน

“ไหนๆ พี่ก็มาเยือนที่ทำงานแระ เดี๋ยวผมมีอะไรให้ดู”
“อะไรวะ”  สีหน้าหมาเหงาของพี่กุ้งถูกแทนที่ด้วยสีหน้าของหมาฉงน
“อยากรู้ก็คงต้องตามมาครับพี่  ส้วมไม่เดินมาหาขี้ฉันใด ปวดขี้ก็ต้องเดินไปหาส้วมฉันนั้นครับ”
ไม่มีเสียงตอบรับ แต่อ่านปากที่ขยับแบบไม่มีเสียงได้ว่า “ I Here”

***************
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่