ถ้าไม่ได้เรียนหมอ ชีวิตในอนาคตจะลำบากมากเลยเหรอ

"เรียนในสิ่งที่ชอบ นั่นแหละดีที่สุด แล้วทุกอย่างจะดีเอง"
คติประมาณนี้มันยังเป็นจริงอยู่ใช่ไหมค่ะ ?

ทำไมพ่อแม่(ไม่ทุกคนนะ)สมัยนี้ถึงชอบคะยั้นคะยอให้เรียนหมอกันนัก ยอมทุ่มทุกอย่าง กิจกรรมต่างๆในชีวิตเด็กวัยรุ่น
กลายเป็นเรื่องไม่สำคัญไร้สาระไปเลย เราเข้าใจนะว่าทำไมเค้าถึงอยากให้เราเรียนหมอมากขนาดนี้
..แต่คงไม่ลึกซึ้งมากพอจนยอมเรียนตามที่เค้าต้องการ เพราะเราก็อยู่ในวัยที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่ชีวิตผู้ใหญ่ เริ่มเข้าใจว่าเงินมันหายากแค่ไหน
เลยไม่กล้าจะตอบโต้อะไรกลับไปมากมาย แต่เราก็เห็นนะว่าอาชีพหมอในสายตาผู้ใหญ่มันมั่นคงสุดแล้ว ไม่ตกงาน ไม่ต้องดิ้นรนมาก
หาเงินง่าย คล่อง ทำงานในห้องแอร์ แต่งตัวดูสะอาดเรียบร้อย เปิดคลินิกได้อีก กิน/เที่ยว/ซื้ออะไรมากแค่ไหนแพงเท่าไหร่ไม่ค่อยคิดเยอะ
ถ้าทำงานในโรงพยาบาลแล้วคนในครอบครัวป่วย การได้ห้องพิเศษและการดูแลเป็นพิเศษจากหมอและพยาบาลก็เป็นเรื่องง่ายๆ
(ขึ้นอยู่กับตัวหมอเองด้วยว่ามีอำนาจพอรึยัง เช่น อาจทำงานมานานแล้ว) อยากได้รถ/บ้าน ศึกษานิดๆหน่อยๆ โอเคซื้อ คือพูดง่ายๆทุกเรื่อง
ที่ต้องใช้เงินไม่มีปัญหาอ่ะ ฟุ่มเฟือยได้ตามใจ

เราไม่ได้มีเจตนาจะสื่อว่าคนที่เรียนหมอทุกคนตามกระแสนะ เรารู้ว่าหลายคนก็พร้อมจะเป็นหมอที่ดีอย่างแน่นอน
แต่บางคนยังไม่ทันได้รู้เลยว่าจริงๆแล้วตัวเองชอบอะไรก็ต้องชอบหมอซะก่อนแล้วเพราะพ่อแม่วันๆมีแต่พูดว่าหมอๆๆๆ
เรารู้ว่าต่อไปเราโตพอต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัวที่จะมีใหม่(ถ้ามี)และพ่อแม่ มันคือสิ่งที่เราต้องทำและเราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นภาระเลยนะ
แค่สงสัยว่าเราจะประกอบอาชีพที่เราชอบเพื่อเลี้ยงครอบครัวให้มีความสุขไม่ได้แล้วเหรอ อย่าเอาความเป็นพ่อแม่มาบังคับกันอย่างนี้เลย

ถ้าไม่ได้เป็นหมอแล้วชีวิตในอนาคตของเรามันจะลำบากขนาดนั้นเลยเหรอ? จนมาก? น่าเวทนาน่าสงสารมาก? ดูตกต่ำ?
คือถ้าเราประกอบอาชีพอื่นแต่ไม่ได้มีเงินมีบ้านรถมากเท่ากับหมอหรือถ้าเทียบกับเพื่อนวัยเดียวกันหรือญาติรุ่นเดียวกันแล้วไม่ได้รวยเท่า
นั่นคือเราล้มเหลวในชีวิตเหรอ น่าอายมากรึเปล่า? การที่เราไม่ได้ช็อปชิวๆ ไม่ได้กินข้าวนอกบ้านทุกวัน การนั่งรถสาธารณะ
ถ้าต่อไปเวลาเราต้องหาเงินใช้เองและวันนึงเกิดอยากได้บางอย่างมากๆ(นอกเหนือปัจจัย4)หรือกินของตามห้างแต่ต้องคิดหนักหน่อย
เพราะเราใช้ฟุ่มเฟือยมากไม่ได้ คิดว่าเก็บไว้ดีกว่านะมีเรื่องอื่นที่จำเป็นต้องใช้เงินมากกว่าสุดท้ายก็ต้องตัดใจ แค่นี้ก็สามารถทำให้คนรอบข้าง
มองว่าเราน่าสงสาร ชีวิตลำบากโคตรๆได้แล้วเหรอ อีกอย่างเวลาเราพูดอะไรไปแบบเป็นความคิดของเราอ่ะ เค้าก็จะตอบกลับประมาณว่ามันไม่มั่นคงนะ
ดูอย่างคนนี้สิ... คนนั้นสิเค้าทำแล้ว.... และไม่ใช่ว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จแบบนั้น มันเหนื่อยมาก พูดในทำนองว่าสิ่งที่เราวางแผนไว้คร่าวๆ
ว่าจะเรียนยังไง จบแล้วคิดจะทำอะไรต่อ ต่อยอดธุรกิจยังไงมันคือเรื่องเพ้อฝันสวยงามเกินไป สิ่งที่เราคิดเป็น "ความคิดตื้นๆเด็กๆ"
บอกให้เราเรียนและทำงานในสิ่งที่มั่นคงก่อน(?) แล้วสิ่งที่ชอบค่อยทำเป็นงานอดิเรก ว่างๆแล้วค่อยทำว่างั้นเถอะ ออกแนวต่อว่าและคัดค้าน
เหมือนผิดหวังในตัวเราว่าเราทำไมคิดได้แค่นี้ ก็เหมือนเริ่มเถียงกัน

อย่างนักธุรกิจที่รวยล้นฟ้าก็มีให้เห็นแต่พอเราบอก พ่อแม่ก็พูดประมาณว่าคนเดี๋ยวนี้ก็หันไปเปิดธุรกิจส่วนตัวหมดแล้ว ต้องไปแข่งไปสู้กับเค้าอีก
แก่ตัวไปก็ทำไม่ไหว สู้พวกรุ่นใหม่ไม่ได้ คนที่จะรวยอย่างนั้นจะมีสักกี่คนเชียว ถ้าล้มละลายก็เป็นหนี้ล้นตัว อย่างชาวสวนก็เหมือนกัน
ถามว่ารวยไหม รวยนะเฟ้ย แต่กว่าเค้าจะรวยเค้าต้องคลุกฝุ่น ดูไม่สะอาด หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ก้มๆเงยๆ ทดลองพืชต่างๆ ทดลองดิน แต่งตัวผ้าขาวม้า
ตากแดดตากฝนผิวหน้าผิวกายเท้ามือหยาบกร้าน เหงื่อไหลเต็มหน้าเต็มตัวดูเหนอะหนะมอมแมม แล้วกว่าพืชชนิดหนึ่งจะประสบความสำเร็จก็ใช้เวลาอยู่
แต่เราก็คิดว่าเอ้า!! ก่อนที่จะมีเงินซื้อเตียงไว้นอน(สบาย) ทุกคนก็ต้องเคยนอนข้างถนน(ลำบากโคตรๆ)มาก่อนเปล่าว่ะ หลายคนเคยล้มละลาย
จนจะฆ่าตัวตาย โดนไล่ออก โดนนินทาโดนดูถูกโดนกดดัน เคยล้มเหลวแบบตกต่ำสุดๆๆๆๆมาก่อนอ่ะ เรารู้นะว่าพ่อแม่คงไม่อยากเห็น
ลูกต้องลำบากเลยแม้แต่สักวันเดียว ความจนมันน่ากลัวมากเพราะพวกเค้าเคยผ่านมาแล้ว แต่นี่เล่นพูดเจตนาบังคับให้เรียนหมอ
แล้วด้วยความที่เป็นคำพูดที่ออกจากปากพ่อแม่อ่ะ ลูกได้ยินถึงไม่อยากเรียนก็ต้องมีเก็บไปคิดมากอยู่แล้ว พูดเรื่องเงินเรื่องหน้าตาในสังคม
เรื่องภาระนู่นนี่ต่างๆนานามาให้ฟัง(มีแต่ด้านลบๆน่ากลัวๆ)รวมๆกันเข้าไปอีก ทีนี้ก็คิดเลยว่าไออาชีพที่เราตัดสินใจจะเลือกเนี่ยมันจะพอมั๊ยว่ะ..?

..เราว่ามันเหมือนวงจรอุบาทว์(ไม่ใช่วงการแพทย์นะ) เหมือนเรายอมแพ้ให้กับกระแสนิยมเพียงเพราะกลัวว่าในอนาคตเราจะล้มคลุกคลาน
ไม่มีบ้านใหญ่ไม่มีรถไม่มีเงินเยอะเท่าเพื่อนรุ่นเดียวกันหรือญาติๆ เราจะอายไม่มีหน้าไปพบปะสังสรรค์กลัวว่าถ้าตัวเองเดินสวนกระแสในวันนี้
ไม่เดินตามผู้ใหญ่ ในอนาคตถ้ามันไม่ได้เป็นตามที่เราวาดภาพไว้ อาจจะเท่าทุนหรือขาดทุนก็ตามแต่ โดนนินทาคำดูถูกกดดันจากรอบข้าง
และโดยเฉพาะจากพ่อแม่ เราจะยังมั่นคงและสู้ต่อไปในทางที่เราเลือกเองไหม จะมีคำถามว่าทำไมวันนั้นฉันถึงไม่เลือกเรียนหมอ
ตามที่พ่อแม่บอกนะขึ้นมาในหัวไหม การศึกษาไทยรุ่นเรายังขนาดนี้ แล้วรุ่นต่อๆไปจะแข่งกันขนาดไหนเนี่ย แต่เราก็คอยพูดกับตัวเองเสมอว่า
คนเบื้องบนที่เค้าทำให้การศึกษาไทเละเทะขนาดนี้เราไม่มีอะไรไปต่อกรกับเค้านะ เราสั่งเค้าเราต่อต้านเค้าแบบต่อหน้าต่อตาไม่ได้ ณ ตอนนี้
สิ่งที่เราต่อกรเพื่อจะเปลี่ยนแปลงได้ก็คือตัวเราเองนี่แหละ ไม่ใช่คนไกลเลย แต่ถ้าตอนนี้ยังกลัวอยู่ก็ลองหาประสบการณ์เล็กๆน้อยๆไปก่อน
ไม่ต้องฟังคำใครมาก เห็นว่าดีก็ลุยสิค่ะ 555 ความเจ็บปวดที่เกิดจากการคิดไปเอง มักจะมากกว่าความเป็นจริงเสมอ >> ไม่ได้คิดเองนะ55555
แต่จำเครดิตไม่ได้แล้วเป็นชื่อคนต่างชาติแต่แค่อ่านแล้วมันสัมผัสได้เลย แน่นอนว่าถ้าเราเรียนตามผู้ใหญ่บอกหรือกระแสนิยม
ทางสว่างก็อยู่ใกล้เพียงแค่เปิดประตูเข้าไป(ไม่ทั้งหมดหรอกแต่อย่าลืมนั่นไม่ใช่แสงสว่างจากตัวเราเอง มันเป็นสวิตซ์ที่มีคนคอยควบคุมอยู่
ตัวเราก็แค่พึ่งแสงจากเค้าแค่นั้นแหละ แต่ถ้าเราหันหลังและเดินไปตามทางที่เราต้องเกลี่ยเองใหม่หมดเลย อีกทั้งยังไม่มีคนมาคอยส่องแสงให้สักนิด
ทางก็ย๊าวววววยาวแต่เราจะกล้าและมีแรงสู้จนเจอแสงที่เป็นของเราเองไหม เราไม่อยากให้ประโยคที่ว่า "เรียนในสิ่งที่ชอบแล้วทุกอย่างจะดี"
กลายเป็นแค่อดีตและความคิดเพ้อฝันของคนขี้แพ้นะ

แลกเปลี่ยน&แชร์ความคิดเห็นได้นะค่ะ แต่ขอแบบสุภาพและไม่แซะกันนะ

ปล.รู้นะบางคนจะบอกว่าเราไม่ใช่ดาวฤกษ์จะมีแสงในตัวเองได้ไงใช่มะ5555 รู้ทันๆ เปรียบเทียบให้ดูยิ่งใหญ่ไปงั้นแหละ 55555
ปล2.เราเขียนเท่าที่เรารู้และเห็นตัวอย่างมาจริงๆ ถ้าเนื้อหาส่วนไหนที่มันละเอียดอ่อนกว่านั้นเราก็ไม่รู้จริงๆ อาจไปกระกระเทือนความรู้สึกใคร
ต้องขอโทษไว้ล่วงหน้าเลยนะค่ะ กล่าวตักเตือนกันได้ค่ะ
** ย้ำอีกๆๆๆ ไม่ได้ต่อต้านและว่าวงการแพทย์แต่อย่างใด อย่าพยายามตีความไปมากกว่าที่เห็น สงสัยถามได้ค่ะ **

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่