คนรุ่นใหม่ GenZ 70% เครียดเงิน-งานหายาก จนนอนไม่หลับ แต่เลือกหนีความจริงด้วย Bed rotting นอนเน่าบนเตียง ไถโซเชียลไม่หยุด

KEY
POINTS
• คนรุ่นใหม่ Gen Z ราว 70% เผชิญความเครียดสูงจากปัญหาการเงิน ค่าครองชีพ และความไม่มั่นคงในอาชีพ จนส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ
• เพื่อหลีกหนีจากความจริงและความกังวล คนกลุ่มนี้เลือกใช้วิธี "นอนเน่าบนเตียง" (Bed Rotting) คือการใช้เวลาอยู่บนเตียงนานหลายชั่วโมงโดยไม่ได้หลับ
• นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมหนีปัญหาอื่นๆ ที่พบได้แก่ การไถโซเชียล (Doomscrolling) และการดูซีรีส์ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเพียงการปลอบใจตนเองระยะสั้น ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา
.
ในวันที่เศรษฐกิจโลกเต็มไปด้วยแรงกดดัน ทั้งเงินเฟ้อที่ไม่ยอมลด อัตราว่างงานที่เริ่มขยับสูงขึ้น และค่าครองชีพที่แพงขึ้นทุกวัน วัยทำงานกลุ่มเด็กจบใหม่  กลายเป็นกลุ่มที่แบกรับความเครียดหนักที่สุด
.
ล่าสุดผลสำรวจเผยว่า 7 ใน 10 ของ Gen Z กังวลเรื่องการเงินจนถึงขั้นนอนไม่หลับ และแทนที่จะหาวิธีแก้ปัญหาอย่างการวางแผนงบประมาณหรือสร้างกองทุนสำรอง แต่พวกเขากลับเลือกหนีความจริงด้วยการ “นอนเน่าบนเตียง (Bed Rotting)”, ดูทีวีต่อเนื่อง และไถโซเชียล (Doomscrolling) แบบไม่หยุด
.
โดย 70% ของคนรุ่นใหม่ยอมรับว่า นอนไม่หลับเพราะความเครียดเรื่องค่าครองชีพ ค่าเช่า และความมั่นคงในการทำงาน พวกเขากลายเป็นคนรุ่นที่ต้องบังคับให้ตนเอง “โตเร็ว” ในภาวะเศรษฐกิจยากลำบาก
.
Gen Z จำนวนไม่น้อยกลับหันไปพึ่งพา “กิจกรรมปลอบใจตัวเอง” ที่ไม่ได้แก้ปัญหาในระยะยาว โดยผู้เชี่ยวชาญได้สรุปออกมาได้ 3 พฤติกรรมที่น่ากังวล ได้แก่
.
1. Bed Rotting: หนึ่งในสามของ Gen Z ยอมรับว่าใช้เวลาหลายชั่วโมงนอนแช่อยู่บนเตียง แม้ไม่ได้หลับ แต่เป็นการกระทำเพื่อหนีความจริงที่เผชิญอยู่
.
2. Doomscrolling: การไถโซเชียลหาข่าวไม่หยุด ซึ่งนักวิจัยเตือนว่ามีแนวโน้มทำให้ความเครียดยิ่งเพิ่มมากขึ้น เพราะยิ่งเสพข่าวร้าย ก็ยิ่งเพิ่มระดับความวิตกกังวลให้ร่างกายและจิตใจ
.
3. ดูทีวี-ซีรีส์ต่อเนื่อง: เพื่อเบี่ยงเบนความคิดจากปัญหาที่ตนเองเจออยู่ แม้รู้ว่าหลังจากนั้นก็ยังคงกลับมารู้สึกกังวลเหมือนเดิม
.
พฤติกรรมเหล่านี้อาจช่วยปลอบใจชั่วคราว แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า “ยิ่งทำให้คุณภาพการนอนเสียหายอย่างมาก” และปัญหาเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ไม่หายไปไหน
ผู้เชี่ยวชาญแนะ 3 เทคนิคเอาชนะการหนีปัญหา
นักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนเตือนตรงกันว่า การหลีกเลี่ยงปัญหาด้วยการไถหน้าจอหรือการนอนเน่าบนเตียงทั้งวัน เป็นเพียงการ “เลื่อนเวลาเจอปัญหา” ออกไปเท่านั้น แต่สิ่งที่ควรทำจริงๆ เพื่อแก้ไข คือ หาวิธีรับมืออย่างมีระบบมากกว่า โดยมีเทคนิคที่น่าสนใจ 3 วิธี ได้แก่

1. Worry Window:
คือการตั้งกำหนดเวลา 15-20 นาทีในแต่ละวัน เพื่อเขียนความกังวลลงบนกระดาษ พร้อมหาทางออกเบื้องต้น เมื่อความกังวลย้อนกลับมาในเวลากลางคืน ให้บอกตัวเองว่า “จัดการไปแล้ว” เพื่อปิดความคิดวนลูปซ้ำซากไปมา

2. งดเล่นมือถือก่อนนอน:
ตั้งกฎ “ควบคุมการเล่นมือถือ” อย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนเข้านอน หรือเก็บโทรศัพท์และแท็บเล็ตไว้นอกห้องเพื่อตัดสิ่งล่อใจ

3. หากิจกรรมทดแทน:
เช่น อ่านหนังสือเล่ม เขียนบันทึก หรือทำโยคะยืดเหยียดเบาๆ สมองจะมีสิ่งใหม่ให้จดจ่อ ทดแทนพฤติกรรมกการไถดูโซเชียล

ฝึกเปลี่ยนพฤติกรรมการเงินของตนเองทีละน้อย เพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่
ในด้านการเงิน นักวิจัยแนะนำให้เริ่มจาก เป้าหมายเล็กๆ ที่ทำได้จริง เช่น ตั้งกองทุนฉุกเฉินเล็กๆ หรือตั้งเป้าหมายปิดหนี้ก้อนเล็กก่อน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ เมื่อเริ่มเห็นผลลัพธ์เล็กๆ เราก็จะมั่นใจในการบริหารจัดการเงินมากขึ้น

ที่สำคัญที่สุดคือควร ติดตามรายรับ รายจ่าย หนี้สิน และเงินออมอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อเห็นภาพชัดว่าตัวเองอยู่จุดไหน ไม่ใช่ปล่อยให้ความกลัวครอบงำ เพราะ “ข้อมูลจริง” จะช่วยลดความกังวลที่มาจากการคาดเดาไปเองได้

อย่างไรก็ตาม คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคนรุ่นใหม่ยุคนี้เจอแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่หนักหน่วงกว่าคนรุ่นก่อนๆ ไม่ใช่แค่เงินเฟ้อหรือค่าครองชีพ แต่รวมถึงอนาคตการทำงานที่ไม่มั่นคง จนกระทบทั้งการนอนและสุขภาพจิต

แต่การเลือกหลีกหนีด้วยการดูทีวี ไถโซเชียล หรือ bed rotting ก็ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาระยะยาว ดังนั้น ควรหันมาเผชิญหน้าปัญหาตรงๆ ใช้เทคนิคต่างๆ ข้างต้นฝึกจิตใจให้มั่นคง และสร้างวินัยทางการเงินไปทีละก้าวเล็กๆ เพียงเท่านี้ก็ช่วยลดความกังวล และเพิ่มความมั่นใจทางการเงินในอนาคตให้ดีขึ้นได้มากกว่าที่เคย

CR https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1200942

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่