“การกระทำตัดสินเราเท่าเท่ากับตอนที่เราตัดสินใจกระทำ”

เรื่องมันก็มีอยู่ว่า....เราเข้าเรียนตอนปี 1 ที่คณะหนึ่งเกี่ยวกับพวกออกแบบอะไรประมานนั้น เราต่างก็ตื่นเต้นดีใจที่จะได้เจอผู้คนมากหน้าหลายตา ร้อยพ่อพันแม่ หลายๆที่มารวมกันอยู่
วันแรกที่เราตื่นแต่เช้า  แต่งตัวไปเรียนด้วยความที่จะได้เจอเพื่อนใหม่ๆ มันเป็นความคิดตอนเปิดเทอมใหม่
เราเป็นคนไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า อาจจะดูนิ่งๆถ้าเจอใครหน้าแปลกๆ
เราเดินขึ้นตึกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะเป็นโรคกลัวคนเยอะๆ  แถมไม่รู้จักใครด้วย และมันทำให้เราประหม่า  เจอคนมองหน้ากันให้ ล็อกแล็ก  ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้จะทำยังไงดี  นึกขึ้นได้   อ้อ... เรามีมือถือ  ควักขึ้นมาเล่นยิ้มเลย(ช่วยได้จริง) จริงๆตอนนั้นรู้จักเพื่อนผู้หญิงที่เรียนเส็กเดียวกันอยู่คนนึง เราเจอกันตอนสอบเข้า คุยกันถูกคอ ก็เลยตัดสินใจเป็นเพื่อนกันซะเลย เรานั่งรอเพื่อน  เออ... เอาเป็นว่านางชื่อ A ละกัน เรานั่งรอ  A อยู่พักใหญ่ๆ ใหญ่มากๆเลยแหละ   นั่งรอจน...จากที่คนเต็มหน้าตึก ตอนนี้หายสาบสูญกันไปหมด(เยี่ยมจริงๆเพื่อนฉัน  ช้าไปอีกกกกก  )  
พอ  A  มาเราก็ขึ้นเรียนกัน  หลังจากเรียนเสร็จแล้ว สิ่งที่เราชอบทำกันเป็นประจำก็คือ  ถ่ายรูป (เห่อๆเพื่อนใหม่นิดนึง)
ใช่!  ลืมบอกเลย  พอเราเข้ามาในห้องเรียน เราก็รู้จักกับเพื่อนอีก  5-6  คน ประมาณนั้น  จริงๆเราไม่ได้ไปทำความรู้จักหรืออะไรหรอก  แต่ A เป็นคนพูดคุย ทักมายถามชื่อ สาระทุกข์สุขดิบ ก็เลยทำให้”เรา”  รู้จักกัน   เพราะเราเป็นคนไม่ค่อยพูดกับคนที่ไม่รู้จักไง เพื่อนๆหลายคนเลยมองว่าหยิ่ง (เห็นเพื่อนบอกว่างั้น หลังจากที่ร่วมหัวตีลังกาคบกันเรียบร้อยแล้ว) แต่พอมารู้จัก...เอิ่ม...  คนละคนกันเลย
แล้วเราก็ได้รู้จักกับ  เอ่อ..ชื่อ 1  ละกัน 1 เป็นเพื่อนร่วมห้องกับเราเป็นเพื่อนในกลุ่มกผ้ว่าได้ จริงๆเรารู้จักกับเพื่อนผู้ชายอีก 4-5คน ( เพราะส่วนใหญ่ผู้ชายในห้องเราเยอะมากกกกกก) แต่ส่วนเพื่อนผู้หญิงก็มีแค่ A  ที่เรารู้จักแล้วก็เพื่อนอีกคน และนางกระเทยนางหนึ่ง
วันแรก..เพื่อนคนที่ตัวใหญ่ที่สุดในกลุ่ม  สมมติมันชื่อ  0  แล้วกัน  0  มันชวนพวกเราไปหาไรกินกันหลังจากเลิกเรียนแล้ว เราก็ไปตามประสาเพื่อนพ้อง เป็นกลุ่มเป็นแก็งค์ สร้างมิตรดีกว่าสร้างศัตรูจริงมั้ย?
วันนั้นเป็นวันแรกที่ 1 บอกชอบเรา จริงๆมันไม่ได้มาบอกเราเองหรอก  มันเป็นคนไม่กล้า  มันเลยให้เพื่อนในกลุ่มอีกคนแหละมาบอกเรา ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะตอนนั้นเราก็มีแฟนอยู่แล้ว เรามีแฟนเป็นทอม  เราคิดว่ามันคงเป๋นเพราะช่วงแรกๆแหละมั้ง เพราะคนไม่เคยเจอกัน  มากหน้าหลายตามาเจอกันก็ต้องหวั่นไหวเป็นธรรมดา เราบอกตรงๆตอนนั้นเราไม่ได้มองผู้ชายคนไหนหรือผู้ชายคนไหนถูกเสป็กเราสักคน เพราะเราเป็นคนมีอคติกับผู้ชายอยู่พอควร เราคิดว่าผู้ชายยิ้มเป็นเพศที่นิสัยไม่ดี และเราไม่คิดชอบผู้ชายอีก
แต่แล้ววันหนึ่งเราก็เลิกกับแฟนที่เป็นทอม เหตุเพราะเราไม่ค่อยสนใจ เราให้ความสนใจกับเพื่อนมากกว่า เฮ้อ....  เหตุผลแย่ๆว่ะ  ช่วงนั้นเราก็เฮิร์ทอยู่เหมือนกัน เพราะเราก็คิดว่าคบผู้หญิงด้วยกันแล้วจะเข้าใจกันมากกว่าคบผู้ชาย แต่เปล่าเลย..แถมเลิกคบกับเราก็ไปคบกับเพื่อนสนิทเราปุ๊ปเลย ยอมรับว่าตกใจอยู่เหมือนกัน  เพราะเพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนที่สนิทกันในกลุ่มตั้งแต่สมัยมัธยมปลายแน่ะ เป็นไง? จุกเลยค่ะจุก  เจอแบบนี้อึ้งไปอีกหลายวันอยู่ นับจากนั้นมาเราก็เลิกคบกับเพื่อนคนนั้นไปเลย เรารับไม่ได้นะกับการกระทำแบบนี้ มันแรงเกนกว่าที่เราจะรับได้ หลังจากนั้นเราก็ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ อยู่เป็นโสดแบบสบายใจ เราก็เริ่มสนิทกัน 1 เพราะในช่วงกีฬาสีของมหาลัย เราก็ต้องซ้อมกันดึกพอควรอยู่ เราเป็นหรีดคณะ ส่วนหนึ่งเป็นนักบอลคณะ  ทุกๆวันพอซ้อมบอลเสร็จ  1และเพื่อนๆในกลุ่มเราก็จะมานั่งรอเราและนางกระเทยซ้อมหรีดจนดึกดื่น เพราะตอนนั้นเหลือเราเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม เพราะA กับเพื่อนอีกคนก็ต่างมีแฟนหนีเราไปหมด  มีแฟนก็ต้องไปอยู่กับแฟนไง อันนี้ก็เข้าใจ  ทุกๆวัน 1 กับเพื่อนๆจะมานั่งรอเรากับนางกระเทยซ้อมหรีด(พวกมันก็นั่งดูสาวกันด้วยแน่ะ จริงๆมันไม่ได้มานั่งรอจริงๆหรอก) พอซ้อมเสร็จเราก็จะไปกินข้าวเย็นนพร้อมๆกัน หรือบางทีก้นั่งดริ้งกันตามประสาพวกมัน พอเสร็จแล้วทุกคนก็จะไปส่งเราที่หอ ตอนนั้นเราอยู่หอใน เราอยู่หอหญิง พวกเอนๆประมาน4-5 คนก็จะแห่กันไปส่งเราที่หอ  ไปโหวกแหวกโวยวาย  ให้ป้าเจ้าของหอแกด่าทู้กกกกกวัน
ไปๆมาๆเราก็สนิทกับ1มากขึ้น เรียกง่ายๆเราก็เริ่มชอบ 1แล้วแหละมั้ง แต่เราไม่ได้พูดหรือบอกอะไรกับใคร  แต่เราก็คุยกันทุกวัน  มาทางfacebooบ้าง ทางโทรศัพท์บ้าง  เพราะบางที 1 มาส่งเราที่หอพร้อมเพื่อนๆแล้วพีก็จะกลับบ้าน  บ้านพีก็อยู่ไกลจากมหา’ลัยพอควร ก็แบบ..จะโทรถามไงว่า ถึงบ้านยัง ปลอดภัยไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย?อะไรแบบนี้
หลังจากนั้นเพื่อนก็ชอบล้อว่าเป็นแฟนกันมั่ง อะไรมั่ง  ก็อย่างว่าแหละ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรแต่พอเจอคนล้อกันมากๆไปๆมาชักหวั่นไหวสิคะ   เป็นไปตามหลักการ เราก็ยอมรับนะ เราก็เปิดใจ แต่อีกใจก็กลัว เพราะ1เคยมีปมเรื่องแฟนเก่าอยู่ แบบลืมแฟนเก่าไม่ได้ยังรักแฟนเก่าอยู่ไรงี้ เราก็เลยไม่รู้จะยังไง แต่ในใจก็นอยด์ๆแหละ
แล้วตอนนั้นช่วงเวลาเหมาะเจาะพอดี อีกคนก็เข้ามาพอดี  2  (สมมติว่าชื่อ 2 ละกัน) เป็นเพื่อนร่วมห้องเดียวกันกับเรานี่แหละ แต่ไม่ค่อยได้สนิมมาก 2ก็มาคุยกับเราก็นานพอสมควร และด้วยความที่น้อยใจหรืออะไรก็ไม่รู้ตอนนั้น  ตอนที่ 2 มาขอคบกับเรา ดันตัดสินใจตอบตกลงคบกับ2 ไปเลย ทั้งๆที่รู้ว่าในใจยังมีใคร...เศร้า
การตัดสินใจครั้งนั้นอยากจะบอกว่าเป็นการกระทำที่ผิดมากๆ
คบกันแรกๆก็ดีตามทั่วไป แรกๆก็หวานฉ่ำ ลืม1ไปเลยชั่วขณะ ตอนนั้นก็แค่จะคบประชด1เฉยๆแต่ดันเสือกรัก2จริงๆซะอีกนานวันผ่านไป กาลเวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยนความรักก็เริ่มไม่เหมือนเดิมหรือเป็นเพราะช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอมพอดี แล้วก็ปิดนานซะด้วยปิดซะ 6 เดือนกันเลยทีเดียว สำหรับเราเราเป็นคนสม่ำเสมอไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกล เป็นคนซื่อสัตย์กับคนรักนะ เป็นคนรักใครจะรักแค่คนเดียว แต่ทฤษฎีนี้มันใช้กับคนประเภทนี้ไม่ได้ ‘คนไม่รู้จักพอ’  2ก็มีคนอื่น เราจับได้ เราก็เลิก แต่มันก็ไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้เหตุผลเดียวหรอกที่ทำให้เราเลิกกับ 2 จริงๆเรายิ้มโคตรไม่เข้าใจกันเลยบางครั้ง   2บอกเราดีเกินไปไม่อยากจะทำให้เสียใจมากกว่านี้(แต่ที่เมิงมีคนอื่นนี้เมิงก็ทำร้ายกูไปจนไม่มีชิ้นดีแล้วละ)  เหตุผลบ้าบอ  ทุกๆครั้งในเวลาไม่เข้าใจกันเราจะพยายามเย็น  เพราะเรารู้ว่าถ้าเราร้อนขึ้นมาอีกคนมันจะเป็นเรื่องไม่จบไม่สิ้นซะที จนสุดท้ายเราเหนื่อย เราพอละ  เราไม่ไหว เราก็ปล่อย ตอนนั้นก็เฮิร์ทอยู่พักใหญ่เลยทีนี้  
วันนึง...คนที่เราไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงเขาในโทรศัพท์อีกครั้งกับได้ยินอีกครั้ง คงรู้แหละว่าเราเลิกกับ 2 แล้วจะจากfacebook หรืออะไรก็ช่าง เราไม่สนใจ
1ก็โทรมาเล่นกีต้าร์ให้ฟังร้องเพลงที่เราชอบให้ฟังเหมือนแต่ก่อน เออลืมบอก 1 เป็นคนเล่นกีต้าร์เก่ง แต่ก่อนจะได้ฟังเพลงก่อนนอนทุกๆวันไป วันเวลาเหล่านั้นย้อนคืนมาอีกครั้ง
ในวันเกิดเรา เพื่อนๆพี่ๆน้องๆต่างเซอร์ไพร์วันเกิดกันเต็มที่ แต่คนสุดท้ายที่มาอวยพรกับเราก็คือ “1”
ตอนนั้นเป็นเวลา ตี4กว่า จริงๆเราก็นอนแล้วแหละ  หมดแรงไปกับการเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆ พอจะนอนเท่านั้นแหละ โทรมาเลยจ้า ไม่รับไม่ได้นะคะสายนี้สำคัญ
เรารับสายพร้อมกับในโทรศัพท์มีเสียงกีต้าร์บรรเลงเพลงอวยพรวันเกิดกับเสียงร้องอย่างกับอึ่งโดนรถเหยียบ   ^^  น้ำตาผมนี่ปริ่มเลยคับ   1 พูดทุกอย่างที่ไม่คิดว่า1จะพูดมันออกมา ฟังไปน้ำตาไหลไป อยากจะหยุดเวลานี้เก็บไว้เลยจริงๆ แต่มีประโยคหนึ่งที่เราจำได้ขึ้นใจเลย “ กูอยากให้วันนี้เมิงเป็นวันที่มีความสุขที่สุด ที่ผ่านมากูไม่เคยเห็นมีความสุขเลย กูรู้กูดูออก กูเฝ้ามองตลอด”  เราคุยกันยันเช้าเลย  สรุป= ไม่ได้นอนเลยจ้า  แต่ก็คุ้ม ยอมค่ะ
หลังจากวันนั้นเราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลยทางโทรศัพท์ แต่เจอกันที่ห้องก็คุยกันบ้างแทบนับคำได้เลยแหละ แล้วเราก็มารู้ว่า 1ก็คบกับผู้หญิงอยู่คนนึง แต่เราก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่  เพราะในfacebook ของ1  ไม่มีอะไรที่แสดงว่าผู้หญิงคนนี้เป็นแฟน1เลย แต่ที่เรารู้ก็เพราะว่าผู้หญิงคนนั้น add friend เรา ตามธรรมดาที่เราจะรับใครเป็นเพื่อนในfacebook  เราก็ต้องดูก่อนใช่ป๊ะว่าคนนั้นเป็นใครมาจากไหน ดูรง ดูรูป ป้ะเลยจ้า  เจอรูปคู่รูปนึง หวานฉ่ำ  นั่นแหละทีนี้เราก็รู้เลย
ส่วน2 พอทะเลาะกับแฟนใหม่ทีไร ก็จะมาบอกเราทุกทีว่าเออ..’เลิกกับคนนั้นแล้วนะ’  เราก็ได้พูดแค่ว่า ‘แล้วมาบอกทำไม ไม่ได้อยากรู้’ เรารู้สุดท้ายก็ต้องกับไปคืนดีกันอยู่ดีจะบอกเราเพื่ออะไร  ตอนแรกๆที่เลิกกันใหม่ๆก็ทำใจไม่ค่อยได้  แต่พอพักหลังนี่เริ่มจะชิน   ไม่รู้สึกอะไรแล้วล่ะ  อาจเป็นเพราะเราชินกับอะไรหลายๆเรื่องที่2เคยอะไรที่ไม่ดีๆๆกับเราไว้ก็เป็นได้
       สุดท้ายเราก็ไม่ได้คบกับ 1 เราก็เดินตามทางเลือกที่เราเลือกเดิน
       1 ก็เดินตามทางที่เราคิดว่า1คงเลือกแล้วล่ะ
        2 ก้อเลือกเดินตามทางที่เขาได้เลือกมันแล้วเช่นกัน
แต่สิ่งหนึ่งที่เราอยากจะบอกกับทุกคนเลยว่า เวลาเราจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง อยากให้เราคิดให้ดีๆ เพราะถ้าเราตัดสินใจทำอะไรลงไปโดยไม่ได้คิดไตร่ตรองให้ดี ทำตามอารมณ์ชั่ววูบ ผลที่อออกมามันก็จะเป็นแบบที่เห็น
เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรมันได้เลย ถึงเราจะอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีมากมาย  แต่สิ่งที่เทคโนโลยีทำไม่ได้คือการย้อนเวลา  เราไม่ได้อยู่ในการ์ตูนเรื่อง โดราเอมอน  ที่จะขึ้นทาแมทชีน กลับไปแก้ไขอดีตได้  ตอนนี้เราอยู่กับความเป็นจริง เราไม่สามรถทำได้
เราไม่สามรถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้ถ้ามันได้ผ่านมาแล้ว
มันเป็นประโยคที่เชยเอามากๆเลยแต่เราว่ามันเป็นอะไรที่ฟังแล้วคิดตามเสมอ....
เราอยากให้ทุกคนอ่านเรื่องของเราแล้วเอาไว้เป็นบทเรียน

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่