ที่ตั้งแห่งองค์อริยมรรค
แต่การหลุดพ้นย่อมมีหลายประเภท พระโสดา สกิทาคา เป็นตะทังควิมุติ พ้นได้ชั่วคราว พระอนาคาเป็นวิขัมภะนะวิมุติพ้นได้นาน ๆ พระอรหัตต์พ้นได้เป็นสุมเฉทวิมุติพ้นได้เด็ดขาด เพราะญาณความรู้ที่รู้ว่าหลุดพ้นแล้ว เรียกว่า ปัจจเวกขณะญาณ
คือการกำหนดรู้ของพระอรหัตต์ไม่กำเริบ เพราะท่านได้ญาณสัมปยุตกามาวจรกิริยา เป็นที่ตั้งแห่งองค์อริยะมรรค คือจิตของท่านพ้นจากบาปจากบุญ บาปบุญไม่มาเกิดในจิตของท่านอีก บุญบาปจะหมดก็เพราะสิ้นตัณหา
เมื่อสิ้นตัณหาสิ้นบุญสิ้นบาป ไม่มีผู้จะนำไปสู่ภพ ตัณหาคือกิเลสเป็นเหตุให้ทำกรรมภพ เมื่อทำกรรมภพเอาไว้ ตัวอุปาทานการเข้ายึดก็ยึดเอาไว้ เมื่อยึดเอากรรมภพไว้แล้วตัวอุปปัตติภพ คือชาติจึงต้องมีอีก
ตัวชาติจึงเปรียบเหมือนไฟ ตัวกรรมภพจึงเปรียบเหมือนเชื้อของไฟ ตัวอุปาทานเปรียบเหมือนคนยึดเอาเชื้อของไฟไว้ พระเสขะแปลว่าผู้ยังจะต้องศึกษาคือพระโสดา สกิทคา อนาคา ญาณรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว แต่จิตกำเริบอีกเพราะท่านมีญาณสัมปยุตกามาวจรกุศลเป็นที่ตั้ง
เมื่อมีกุศล อกุศลก็ต้องมีเป็นคู่กัน แต่อกุศลมีกำลังน้อยจึงไม่สามารถจะแต่งเกิดในอบายภูมิ กุศลจึงแต่งให้เกิดในมนุษย์และสวรรค์อีก เพราะอินทรีย์ 5 พละ 5 ยังไม่เต็มบริบูรณ์จึงยังไม่เสร็จกิจ จึงยังต้องใช้ความเพียร ละบาปละบุญที่เหลืออยู่ให้หมด
เพราะเหตุนั้น เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ท่านจึงให้มีปัจจเวกขณะญาณการกำหนดรู้ ถ้าไม่มีปัจจเวกขณะญาณเป็นมิจฉาวิมุติ เป็นกุปปธรรม เป็นธรรมที่กำเริบ
ถ้ามีปัจจเวกขณะญาณการกำหนดรู้ไม่กำเริบก็เป็นอกุปปธรรม เป็นธรรมไม่กำเริบ
คำอธิบายใน ฐานที่ 4 ให้เอาสติเป็นนายประตู ดู (มโน ) ทวาร
เมื่อโยคาวจรผู้บำเพ็ญ รู้ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว ถ้ามีปัจจเวกขณะญาณ จิตจึงไม่กำเริบ เหตุนั้นในฐานที่ 4 จึงให้มีสติ เป็น นายประตูดูทวาร เมื่ออารมณ์ ผ่าน เกิด ดับ ต้องให้รู้ เวลาไหน รู้ เวลานั้นเป็นวิชา เวลาไหนไม่ รู้เวลานั้นเป็น อวิชา
ทวารตาก็ไม่สำคัญ ตาเป็นดุจกล้องส่อง คนที่ส่องกล้องข้างในสำคัญ หูเป็นดุจวิทยุเครื่องรับเสียง คนที่ฟังเสียงอยู่ข้างในสำคัญ คนที่ดมกลิ่น คนที่ลิ้มรส คนที่ถูกต้องโผฏฐัพพะสำคัญ ให้จับเอให้ได้แต่ ตัวสำคัญจริง ๆ คือผู้รับธรรมมารมณ์อันได้แก่ใจ ใจเป็นใหญ่
ใจย่อมอยู่ในมโนทวาร อารมณ์ผ่านทวารภายนอก ก็เข้าไปบอกให้ ใจ เป็นผู้รู้ เหมือนสายโทรศัพท์ เข้าไปถึงกันได้รวดเร็ว จึงไม่ต้องดูทวารอื่นให้ลำบาก ดูแต่มโนทวารอย่างเดียวเท่านั้นก็พอ เมื่อผู้บำเพ็ญมีสติเป็นนายประตู ดูมโนทวาร เมื่ออารมณ์ผ่านก็จะเข้าไปบอกให้ท่านรู้เองไม่ต้องไปดูที่อื่นให้ลำบาก เหมือนคนดูหนัง เขาย่อมดูที่ จอหนัง
เพราะจอหนังเป็น ที่ประชุม แห่งรูปหุ่นก่อน แต่รูปยังไม่ปรากฏบนจอหนัง จอหนังย่อม ว่างเปล่า จอหนังจะมีรูปหุ่น อาศัยเครื่องฉายหมุน เครื่องฉายจะหมุนอาศัยคนฉายเมื่อรูปหุ่นมาปรากฏที่จอหนัง จอหนังจึง กลาย เป็นบ้านเป็นเมือง เป็นแม่น้ำลำธาร เป็นสัตว์เป็นคน เป็น พระเอก นางเอก สารพัด นับไม่ถ้วนรวมความลง ในการดูก็มีอยู่ สองอย่าง คือ ทำให้คนที่ดูชื่นชนยินดีอย่างหนึ่ง ทำให้ชิงชัง ยินร้ายอย่างหนึ่ง การดู หนังใน คือดู หทัยวัตถุ ก็ไม่มีต่างกันเลย เมื่อไม่มีอารมณ์ อันใด หทัยวัตถุก็ว่างเปล่า อยู่
เมื่อมี ผัสสะ เข้ามากระทบทวารเข้าแล้ว ก็จะเห็นเป็นเรื่องเป็นราว มีทั้ง สุขมี ทั้งทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ มีทั้ง ดี มีทั้ง ชั่ว มีทั้ง บาป มีทั้ง บุญ สารพัด นับไม่ถ้วน แต่เมื่อสรุป ความลงก็คงมี สอง คือ อิฎฐารมณ์ อารมณ์ที่ชอบอย่างหนึ่ง อนิฏฐารมณ์ อารมณ์ ที่ไม่ชอบอย่างหนึ่ง
เหตุปัจจัยที่ทำให้สังขารเกิด
เมื่อดูหนังในให้มากเข้าแล้ว จะจับต้นสายปลายทางแห่งสังขารอันมาประชุมแต่งในดวงหทัยวัตถุ จะเห็นสังขารที่เป็นอดีตบ้าง อนาคตบ้าง ปัจจุบันบ้าง เป็นไปในภูมิสาม คือ กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ จะมาประชุมที่หทัยวัตถุสังขารเหล่านี้มาจากอะไร เมื่อสาวเข้าไปหา ต้นเหตุ จะรู้ได้ว่าสังขารเหล่านี้เกิดจาก
อาหาร อย่างหนึ่ง
กรรม อย่างหนึ่ง
ตัณหา อย่างหนึ่ง
อวิชา อย่างหนึ่ง
อาหารมี 2
กวลิงกาฬาหาร อาหารคือคำข้าว เป็นอาหารของ กาย
ผัสสาหาร การกระทบทางทวาร เป็นอาหารของ ใจ
กรรม คือ
กุศลกรรม และอกุศลกรรม อันเกิด แต่การกระทำ ทำไว้แต่อดีตบ้าง ปัจจุบันบ้าง ทำทางกาย พูดทางวาจา ตัว มโนกรรม เป็นผู้สั่งให้ทำ ทำแล้วตัวมโนกรรมก็เป็นผู้สั่งสมเอาไว้ กรรมเหล่านี้เกิดจากตัณหาความอยาก
หทัยวัตถุเทียบกับจอหนัง
ตัณหา มาจาก อวิชา ความไม่รู้เท่าบุญเท่าบาป ดวงหทัยวัตถุจึงเปรียบเหมือนจอหนัง กายสังขารทุกส่วนเปรียบเหมือนโรงหนัง สังขาร ที่เข้ามากระทบหทัยวัตถุ เปรียบเหมือน รูปหุ่น เข้ากระทบที่จอหนัง ตัณหา ความอยาก เปรียบเหมือนเครื่องฉายหนัง เมื่ออยากในเรื่องไหนก็ฉายในเรื่องนั้น ตัวอวิชา เปรียบเหมือนคนฉายหนัง เมื่ออวิชาดับ ไม่เข้าไปหนุนตัณหาให้อยาก สังขารความปรุงแต่งก็ดับ เมื่อสังขารความปรุงแต่งดับ ดวงหทัยวัตถุก็ว่างเปล่า ฉันใด
เมื่อคนฉายหนังหยุดฉาย เครื่องฉายมันก็หยุด เมื่อเครื่องฉายหยุดรูปหุ่นก็ไม่ปรากฏ ที่จอหนัง จอหนังจึงว่างเปล่า เมื่อผู้บำเพ็ญรู้แจ้งดังนี้แล้ว ก็ให้มี ปัจจเวถขณะ ญาณ การ กำหนดรู้ ตัวปัจจเวกขณะญาณ นี้แหละเป็น ตัววิชา เป็นเครื่องห้ามอวิชาไม่ให้เข้าไปหนุนตัณหาให้อยากเมื่อตัณหาไม่อยากแล้ว ความคิดในสามกาลจึงไม่มี
เมื่อความคิดในสามกาลไม่มี หทัยวัตถุจึงว่างเปล่าที่ว่าสังขารดับหมายเอา ดับความคิดในสามกาล เท่านั้น ส่วนวิญญาณ ความรู้ในทวาร 6 เป็นของ ดับไม่ได้ ดับ ได้แต่เวลานอนหลับเท่านั้น เมื่อตื่นขึ้นมา ก็ต้องได้เห็น ต้องได้ยิน ขันธ์อันนี้ท่านเรียกว่า วิบากขันธ์ เป็นตัวทุกข์ สัจจ เป็นของควรกำหนดรู้ ห้ามแต่ไม่ให้เข้าไปยึด
ถ้าเข้าไปยึดเป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ ถ้า ว่าง เป็น นิโรธ ความดับทุกข์ กริยา ที่ปล่อยวางเป็น มรรค การออกจากขันธ์ คือ เมื่อรู้ก็สักแต่ว่ารู้ ไม่ใช่เรารู้ ได้ กล่าวแล้วในฐานที่ 3 ถ้า ออกจากวิญญาณขันธ์ ได้ก็นับว่า หมดเรื่องวิญญาณขันธ์ก็นับเข้าในนามขันธ์คือใจ
เมื่อออกจากใจ ได้ก็ หมดเรื่อง เพราะราคะ โทสะ โมหะ มันเกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้นที่ใจ ถ้าทิ้งใจแล้ว ก็เป็นอันว่า ตัดต้นทางของกิเลส กิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ จึงเปรียบ เหมือนไฟ วิญญาณ คือใจเปรียบเหมือนเชื้อของไฟ ถ้าทิ้งเชื้อไฟก็เท่ากับทิ้งไฟ กล่าวย่อๆ ก็ให้ วางรูปวางนาม คือว่าง กายกับใจเท่านั้น
ถ้าวางรูปขันธ์ วางนามขันธ์ได้แล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรอีก ที่จะนำมากล่าว ที่กล่าวกันไปมาก ๆ เพื่อให้ฟังกันให้สนุกเท่านั้น จึง
นำมากล่าวอีก ถ้าทิ้งกายกับใจได้แล้ว ไม่ต้องฟัง อีกก็ได้ ฟังไปได้ก็ เบื่อหู เบื่อตา เปล่า ๆ ถ้าทิ้งใจยังไม่ได้ให้ฟังอีกก่อนใจจะเกิดมีขึ้น อาศัยอะไร อะไรเป็นเหตุให้มีใจ อ้อใจมีขึ้นนั้น
• อาศัยตากับรูป เกิดจักขุวิญญาณ
• อาศัยหูกับเสียง เกิดโสตวิญญาณ
• อาศัยจมูกกับกลิ่น เกิดฆานวิญญาณ
• อาศัยลิ้นกับรส เกิดชิวทาวิญญาณ
• อาศัยกายกับโผฎฐัพพะ เกิดกายวิญญาณ
• อาศัยใจกับธรรมารมณ์ เกิดมโนวิญญาณ
ประชุมธรรมอย่างละสาม ๆ เป็นปัจจัยให้เกิด ผัสสะ ผัสสะ จึงเป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สุข ไม่ทุกข์บ้าง
เมื่อบุคคลใดถูกต้องสุขเวทนาแล้ว ไม่เพลิดเพลิน ไม่ ชื่นชม ไม่หมกมุ่นติดอยู่ อนุสัย คือราคะ ก็ไม่ตามนอนในสันดาน ของบุคคลนั้น
เมื่อบุคคลนั้นถูกต้องทุกข์เวทนาแล้ว ไม่โศกเศร้าเสียใจไม่ตีอกร้องไห้ ไม่คร่ำครวญหลงใหล อนุสัย คือ ปฏิฆะ ก็ไม่ตามนอนใน สันดาน ของบุคคลนั้น
เมื่อบุคคลนั้นถูกต้อง อทุกขมสุขเวทนาแล้ว รู้จักความเกิดรู้จัก ความดับ รู้จัก ความอร่อย รู้จัก ความให้โทษ รู้จัก ออกจาก เวทนานั้น โดยชัดเจน ตามเป็นจริง อนุสัย คือ อวิชา ก็ไม่ตามนอนใน สันดาน ของบุคคลนั้น
• บุคคลนั้นละ อนุสัย คือราคะ ในสุขเวทนาได้แล้ว
• ถ่ายถอน อนุสัย คือ ปฏิฆะ ในทุกขเวทนาได้แล้ว
• เพิกถอน อนุสัย คือ อวิชา ในอทุกขเวทนาได้แล้ว
• กระทำวิชาให้เกิด จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
ในสูตรนี้เรียกว่า เวทนา ให้ออกจากเวทนา ถ้าออก จากเวทนาได้ ก็ออกจากใจได้ ใจอันเดียวมันมีสัญชาติต่าง กัน จึงเรียกไปตามสัญชาติของใจ คือมันมี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมกันเข้าจึงเรียกว่าใจ ตัวแกงอันเดียวกันมีหลายรส คือ รสเปรี้ยว รสเผ็ด รสเค็ม รสหวาน ไปตามอรรถรส ของแกง มีอยู่ 4 รส ถ้ารวมกันเรียกว่า แกง อันเดียว เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เปรียบเหมือนรสของแกง ใจ จึงเปรียบเหมือนแกง ถ้าวางแกงได้ก็เป็นอันว่าวางรสของแกงทั้งหมด ฉันใดถ้าวางใจได้ก็เป็นอันว่าวาง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งหมด ของ 4 อย่าง ถ้าวางอันหนึ่งได้ ก็ได้ไปหมด
ถ้าวางไม่ได้ ต้องการอยากเห็นพระนิพพานก็ไม่เห็น เพราะพระนิพพานไม่มีขันธ์ ขันธ์บังพระนิพพานอยู่มิดชิด ถ้าอยากเห็นพระนิพพาน ก็ต้องเพิกขันธ์ออกให้หมด ถ้าเพิกขันธ์ไม่ได้ วางขันธ์ไม่ได้ ก็เป็นอันว่าหมดหวัง จะแสวงหาหนทางอื่น ไม่มีหนทาง มีหนทางเดียวเท่านี้ เพราะขันธ์ของเราไม่เป็นของที่มีจริงเป็นของหลอกลวงให้เราเข้าไปยึดถือ
สิ่งใดที่เราเข้าไปยึดถือโดยความเป็นเจ้าของ จะเป็นของหาโทษมิได้ สิ่งนั้นย่อมไม่มี
สิ่งทั้งปวงทั้งวัตถุภายในคือในตัวเรา หรือ วัตถุภายนอกคือ นอกตัวเราก็ดี ไม่มีสิ่งใดเป็นสาระแก่นสาร มีแต่สิ่งที่ให้เกิดโทษโดยส่วนเดียว เหตุนั้นฐานที่ 5 จึงให้อยู่กับความไม่ถือมั่น
คำอธิบายใน ฐานที่ 5 ให้อยู่กับความไม่ถือมั่น ไม่ให้ถือมั่นอะไรทั้งหมด
ฐานที่ 5 ก็ให้เพ่งหทัยวัตถุอันเดียวนั้นเอง แต่มีความหมายต่างกัน คือมีอะไรผ่านมาทางมโนทวาร จะเป็น อิฏฐารมณ์ หรือ อนิฏฐารมณ์ ไม่ให้ถือมั่นในอารมณ์เหล่านั้น ก็ตัวปัจจเวกขณะญาณจะกำเริบ คือสติจะเหนี่ยวรั้งไว้ไม่ได้ เพราะ ความถือมั่น ในอารมณ์เหล่านั้น แหละเป็นเหตุ เมื่อถือมั่นในสิ่งใด จิตใจของเราจึงเข้าไปยึดถือเอาสิ่งนั้นสิ่งอะไรเล่าที่เรายึดเราถือมากกว่าสิ่งทั้งปวง ไม่มีสิ่งอื่นนอกจากตัวเรา
• รักอะไรจะยิ่งกว่าตัวเราไม่มี
• เกลียดอะไรจะเกลียดเท่าความตายไม่มี
• ทุกข์อะไรจะทุกข์ยิ่งกว่าพระนิพพานไม่มี
ตัวเรา ในที่นี้หมายเอา ขันธ์ทั้ง 5 คือ กายกับใจอันเป็นที่รักอย่างยิ่ง ไม่มีสิ่งอะไรจะเทียบถึงจำพวกที่ทำการทุจริตผิดศีลธรรมฝ่าฝืนเอาประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นประโยชน์ของตน ก็เพราะรักตนนี้เอง แต่การรักตนชนิดนี้ไม่ถูกทาง เท่ากันกับเกลียดชังตน
ถ้ารักตนต้องทำคาวมดีไว้เพื่อตน ความดีกับความชั่วที่ตัวทำไว้ย่อมจักได้เป็นผล เหมือนกับเงาเทียมตนฉะนั้น ตนคือ ขันธ์ 5 ที่หลงงมงายเข้าไปยึดถือ ไม่ใช่ตนจริง เป็นตนแต่เพียงสมมุติ ให้รู้ ว่าเขา ว่าเรา ว่าหญิง ว่าชาย เพื่อให้รู้ว่าใครเป็นใคร เรียก กันได้แต่เพียงชั่วคราว ในระยะที่ยังไม่สิ้นลมหายใจเท่านั้น
เมื่อสิ้นลมหายใจแล้ว การสมมุติว่าสัตว์ว่าคน ก็ไม่มีตน ขันธ์ 5 จึงเป็นของ หลอกลวงให้ลุ่มหลง เหมือนคนเล่นกลหลอกลวง การยึดถือเอาขันธ์ 5 เป็นตน จึงนับว่าถือเอาของไม่มีจริง ถือเอาของไม่เที่ยง จึงต้องได้รับทุกข์ ทุกข์เพราะเราหลงถือเอาของไม่จริง ทุกข์อะไรจะทุกข์เท่าเบ็ญจขันธ์ไม่มี
แต่เป็นอะไรคนเราทุก ๆ คนจึงรักเบ็ญจขันธ์ยิ่งกว่าสิ่งทั้งปวงเป็นเพราะคนเราตกอยู่ในอำนาจแห่งอวิชา ไม่รู้เท่าสังขารตามความเป็นจริง จึงมัวหลงยึดเอาของไม่จริง ของไม่เที่ยง จึงได้แต่วิ่งเข้าไปหาทุกข์ คิด ๆ ดูก็น่าขัน ก็ว่าทุกข์ก็วางทุกข์เสีย ดังนี้จึง จะพ้นทุกข์ ก็ว่าไฟเป็นของร้อนก็น่าจะวางไฟ
แต่เหตุไฉนคนเราทุก ๆ จำพวกที่ยังขาดจากการ สดับ ก็ว่าไฟแต่วิ่งเข้าไปหาไฟ เข้าไปยึดไปถือเอไว้ ถ้าวางไฟ เสียได้ ความร้อนจะมีมาแต่ที่ไหน ถึงความร้อนของไฟจะมีอยู่ก็โดยธรรมชาติของมัน เมื่อเราไม่ไปจับมัน
วิธีวางขันธ์ 5
ฉันใดขันธ์ทั้ง 5 อันเป็นตัวทุกข์ เปรียบเหมือนไฟ ถ้าเราวางเสียซึ่งขันธ์ 5 อันเป็นตัวทุกข์ ทุกข์จะมีได้อย่างไร ถึง ขันธ์ 5 จะเป็นทุกข์ ก็เป็นทุกข์โดยธรรมชาติของมัน พึง เห็นดังขันธ์ 5 ของคนอื่น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ญาติของเรา เมื่อเราได้เห็นเขาเจ็บเขาตาย ก็จะเพียงเมตตากรุณาเท่านั้น หรือถ้าเป็นคน
รูปาวจรภูมิ-อรูปาวจรภูมิและโลกุตตรภูมิ ภาค 6
แต่การหลุดพ้นย่อมมีหลายประเภท พระโสดา สกิทาคา เป็นตะทังควิมุติ พ้นได้ชั่วคราว พระอนาคาเป็นวิขัมภะนะวิมุติพ้นได้นาน ๆ พระอรหัตต์พ้นได้เป็นสุมเฉทวิมุติพ้นได้เด็ดขาด เพราะญาณความรู้ที่รู้ว่าหลุดพ้นแล้ว เรียกว่า ปัจจเวกขณะญาณ
คือการกำหนดรู้ของพระอรหัตต์ไม่กำเริบ เพราะท่านได้ญาณสัมปยุตกามาวจรกิริยา เป็นที่ตั้งแห่งองค์อริยะมรรค คือจิตของท่านพ้นจากบาปจากบุญ บาปบุญไม่มาเกิดในจิตของท่านอีก บุญบาปจะหมดก็เพราะสิ้นตัณหา
เมื่อสิ้นตัณหาสิ้นบุญสิ้นบาป ไม่มีผู้จะนำไปสู่ภพ ตัณหาคือกิเลสเป็นเหตุให้ทำกรรมภพ เมื่อทำกรรมภพเอาไว้ ตัวอุปาทานการเข้ายึดก็ยึดเอาไว้ เมื่อยึดเอากรรมภพไว้แล้วตัวอุปปัตติภพ คือชาติจึงต้องมีอีก
ตัวชาติจึงเปรียบเหมือนไฟ ตัวกรรมภพจึงเปรียบเหมือนเชื้อของไฟ ตัวอุปาทานเปรียบเหมือนคนยึดเอาเชื้อของไฟไว้ พระเสขะแปลว่าผู้ยังจะต้องศึกษาคือพระโสดา สกิทคา อนาคา ญาณรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว แต่จิตกำเริบอีกเพราะท่านมีญาณสัมปยุตกามาวจรกุศลเป็นที่ตั้ง
เมื่อมีกุศล อกุศลก็ต้องมีเป็นคู่กัน แต่อกุศลมีกำลังน้อยจึงไม่สามารถจะแต่งเกิดในอบายภูมิ กุศลจึงแต่งให้เกิดในมนุษย์และสวรรค์อีก เพราะอินทรีย์ 5 พละ 5 ยังไม่เต็มบริบูรณ์จึงยังไม่เสร็จกิจ จึงยังต้องใช้ความเพียร ละบาปละบุญที่เหลืออยู่ให้หมด
เพราะเหตุนั้น เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ท่านจึงให้มีปัจจเวกขณะญาณการกำหนดรู้ ถ้าไม่มีปัจจเวกขณะญาณเป็นมิจฉาวิมุติ เป็นกุปปธรรม เป็นธรรมที่กำเริบ
ถ้ามีปัจจเวกขณะญาณการกำหนดรู้ไม่กำเริบก็เป็นอกุปปธรรม เป็นธรรมไม่กำเริบ
คำอธิบายใน ฐานที่ 4 ให้เอาสติเป็นนายประตู ดู (มโน ) ทวาร
เมื่อโยคาวจรผู้บำเพ็ญ รู้ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว ถ้ามีปัจจเวกขณะญาณ จิตจึงไม่กำเริบ เหตุนั้นในฐานที่ 4 จึงให้มีสติ เป็น นายประตูดูทวาร เมื่ออารมณ์ ผ่าน เกิด ดับ ต้องให้รู้ เวลาไหน รู้ เวลานั้นเป็นวิชา เวลาไหนไม่ รู้เวลานั้นเป็น อวิชา
ทวารตาก็ไม่สำคัญ ตาเป็นดุจกล้องส่อง คนที่ส่องกล้องข้างในสำคัญ หูเป็นดุจวิทยุเครื่องรับเสียง คนที่ฟังเสียงอยู่ข้างในสำคัญ คนที่ดมกลิ่น คนที่ลิ้มรส คนที่ถูกต้องโผฏฐัพพะสำคัญ ให้จับเอให้ได้แต่ ตัวสำคัญจริง ๆ คือผู้รับธรรมมารมณ์อันได้แก่ใจ ใจเป็นใหญ่
ใจย่อมอยู่ในมโนทวาร อารมณ์ผ่านทวารภายนอก ก็เข้าไปบอกให้ ใจ เป็นผู้รู้ เหมือนสายโทรศัพท์ เข้าไปถึงกันได้รวดเร็ว จึงไม่ต้องดูทวารอื่นให้ลำบาก ดูแต่มโนทวารอย่างเดียวเท่านั้นก็พอ เมื่อผู้บำเพ็ญมีสติเป็นนายประตู ดูมโนทวาร เมื่ออารมณ์ผ่านก็จะเข้าไปบอกให้ท่านรู้เองไม่ต้องไปดูที่อื่นให้ลำบาก เหมือนคนดูหนัง เขาย่อมดูที่ จอหนัง
เพราะจอหนังเป็น ที่ประชุม แห่งรูปหุ่นก่อน แต่รูปยังไม่ปรากฏบนจอหนัง จอหนังย่อม ว่างเปล่า จอหนังจะมีรูปหุ่น อาศัยเครื่องฉายหมุน เครื่องฉายจะหมุนอาศัยคนฉายเมื่อรูปหุ่นมาปรากฏที่จอหนัง จอหนังจึง กลาย เป็นบ้านเป็นเมือง เป็นแม่น้ำลำธาร เป็นสัตว์เป็นคน เป็น พระเอก นางเอก สารพัด นับไม่ถ้วนรวมความลง ในการดูก็มีอยู่ สองอย่าง คือ ทำให้คนที่ดูชื่นชนยินดีอย่างหนึ่ง ทำให้ชิงชัง ยินร้ายอย่างหนึ่ง การดู หนังใน คือดู หทัยวัตถุ ก็ไม่มีต่างกันเลย เมื่อไม่มีอารมณ์ อันใด หทัยวัตถุก็ว่างเปล่า อยู่
เมื่อมี ผัสสะ เข้ามากระทบทวารเข้าแล้ว ก็จะเห็นเป็นเรื่องเป็นราว มีทั้ง สุขมี ทั้งทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ มีทั้ง ดี มีทั้ง ชั่ว มีทั้ง บาป มีทั้ง บุญ สารพัด นับไม่ถ้วน แต่เมื่อสรุป ความลงก็คงมี สอง คือ อิฎฐารมณ์ อารมณ์ที่ชอบอย่างหนึ่ง อนิฏฐารมณ์ อารมณ์ ที่ไม่ชอบอย่างหนึ่ง
เหตุปัจจัยที่ทำให้สังขารเกิด
เมื่อดูหนังในให้มากเข้าแล้ว จะจับต้นสายปลายทางแห่งสังขารอันมาประชุมแต่งในดวงหทัยวัตถุ จะเห็นสังขารที่เป็นอดีตบ้าง อนาคตบ้าง ปัจจุบันบ้าง เป็นไปในภูมิสาม คือ กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ จะมาประชุมที่หทัยวัตถุสังขารเหล่านี้มาจากอะไร เมื่อสาวเข้าไปหา ต้นเหตุ จะรู้ได้ว่าสังขารเหล่านี้เกิดจาก
อาหาร อย่างหนึ่ง
กรรม อย่างหนึ่ง
ตัณหา อย่างหนึ่ง
อวิชา อย่างหนึ่ง
อาหารมี 2
กวลิงกาฬาหาร อาหารคือคำข้าว เป็นอาหารของ กาย
ผัสสาหาร การกระทบทางทวาร เป็นอาหารของ ใจ
กรรม คือ
กุศลกรรม และอกุศลกรรม อันเกิด แต่การกระทำ ทำไว้แต่อดีตบ้าง ปัจจุบันบ้าง ทำทางกาย พูดทางวาจา ตัว มโนกรรม เป็นผู้สั่งให้ทำ ทำแล้วตัวมโนกรรมก็เป็นผู้สั่งสมเอาไว้ กรรมเหล่านี้เกิดจากตัณหาความอยาก
หทัยวัตถุเทียบกับจอหนัง
ตัณหา มาจาก อวิชา ความไม่รู้เท่าบุญเท่าบาป ดวงหทัยวัตถุจึงเปรียบเหมือนจอหนัง กายสังขารทุกส่วนเปรียบเหมือนโรงหนัง สังขาร ที่เข้ามากระทบหทัยวัตถุ เปรียบเหมือน รูปหุ่น เข้ากระทบที่จอหนัง ตัณหา ความอยาก เปรียบเหมือนเครื่องฉายหนัง เมื่ออยากในเรื่องไหนก็ฉายในเรื่องนั้น ตัวอวิชา เปรียบเหมือนคนฉายหนัง เมื่ออวิชาดับ ไม่เข้าไปหนุนตัณหาให้อยาก สังขารความปรุงแต่งก็ดับ เมื่อสังขารความปรุงแต่งดับ ดวงหทัยวัตถุก็ว่างเปล่า ฉันใด
เมื่อคนฉายหนังหยุดฉาย เครื่องฉายมันก็หยุด เมื่อเครื่องฉายหยุดรูปหุ่นก็ไม่ปรากฏ ที่จอหนัง จอหนังจึงว่างเปล่า เมื่อผู้บำเพ็ญรู้แจ้งดังนี้แล้ว ก็ให้มี ปัจจเวถขณะ ญาณ การ กำหนดรู้ ตัวปัจจเวกขณะญาณ นี้แหละเป็น ตัววิชา เป็นเครื่องห้ามอวิชาไม่ให้เข้าไปหนุนตัณหาให้อยากเมื่อตัณหาไม่อยากแล้ว ความคิดในสามกาลจึงไม่มี
เมื่อความคิดในสามกาลไม่มี หทัยวัตถุจึงว่างเปล่าที่ว่าสังขารดับหมายเอา ดับความคิดในสามกาล เท่านั้น ส่วนวิญญาณ ความรู้ในทวาร 6 เป็นของ ดับไม่ได้ ดับ ได้แต่เวลานอนหลับเท่านั้น เมื่อตื่นขึ้นมา ก็ต้องได้เห็น ต้องได้ยิน ขันธ์อันนี้ท่านเรียกว่า วิบากขันธ์ เป็นตัวทุกข์ สัจจ เป็นของควรกำหนดรู้ ห้ามแต่ไม่ให้เข้าไปยึด
ถ้าเข้าไปยึดเป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ ถ้า ว่าง เป็น นิโรธ ความดับทุกข์ กริยา ที่ปล่อยวางเป็น มรรค การออกจากขันธ์ คือ เมื่อรู้ก็สักแต่ว่ารู้ ไม่ใช่เรารู้ ได้ กล่าวแล้วในฐานที่ 3 ถ้า ออกจากวิญญาณขันธ์ ได้ก็นับว่า หมดเรื่องวิญญาณขันธ์ก็นับเข้าในนามขันธ์คือใจ
เมื่อออกจากใจ ได้ก็ หมดเรื่อง เพราะราคะ โทสะ โมหะ มันเกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้นที่ใจ ถ้าทิ้งใจแล้ว ก็เป็นอันว่า ตัดต้นทางของกิเลส กิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ จึงเปรียบ เหมือนไฟ วิญญาณ คือใจเปรียบเหมือนเชื้อของไฟ ถ้าทิ้งเชื้อไฟก็เท่ากับทิ้งไฟ กล่าวย่อๆ ก็ให้ วางรูปวางนาม คือว่าง กายกับใจเท่านั้น
ถ้าวางรูปขันธ์ วางนามขันธ์ได้แล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรอีก ที่จะนำมากล่าว ที่กล่าวกันไปมาก ๆ เพื่อให้ฟังกันให้สนุกเท่านั้น จึง
นำมากล่าวอีก ถ้าทิ้งกายกับใจได้แล้ว ไม่ต้องฟัง อีกก็ได้ ฟังไปได้ก็ เบื่อหู เบื่อตา เปล่า ๆ ถ้าทิ้งใจยังไม่ได้ให้ฟังอีกก่อนใจจะเกิดมีขึ้น อาศัยอะไร อะไรเป็นเหตุให้มีใจ อ้อใจมีขึ้นนั้น
• อาศัยตากับรูป เกิดจักขุวิญญาณ
• อาศัยหูกับเสียง เกิดโสตวิญญาณ
• อาศัยจมูกกับกลิ่น เกิดฆานวิญญาณ
• อาศัยลิ้นกับรส เกิดชิวทาวิญญาณ
• อาศัยกายกับโผฎฐัพพะ เกิดกายวิญญาณ
• อาศัยใจกับธรรมารมณ์ เกิดมโนวิญญาณ
ประชุมธรรมอย่างละสาม ๆ เป็นปัจจัยให้เกิด ผัสสะ ผัสสะ จึงเป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สุข ไม่ทุกข์บ้าง
เมื่อบุคคลใดถูกต้องสุขเวทนาแล้ว ไม่เพลิดเพลิน ไม่ ชื่นชม ไม่หมกมุ่นติดอยู่ อนุสัย คือราคะ ก็ไม่ตามนอนในสันดาน ของบุคคลนั้น
เมื่อบุคคลนั้นถูกต้องทุกข์เวทนาแล้ว ไม่โศกเศร้าเสียใจไม่ตีอกร้องไห้ ไม่คร่ำครวญหลงใหล อนุสัย คือ ปฏิฆะ ก็ไม่ตามนอนใน สันดาน ของบุคคลนั้น
เมื่อบุคคลนั้นถูกต้อง อทุกขมสุขเวทนาแล้ว รู้จักความเกิดรู้จัก ความดับ รู้จัก ความอร่อย รู้จัก ความให้โทษ รู้จัก ออกจาก เวทนานั้น โดยชัดเจน ตามเป็นจริง อนุสัย คือ อวิชา ก็ไม่ตามนอนใน สันดาน ของบุคคลนั้น
• บุคคลนั้นละ อนุสัย คือราคะ ในสุขเวทนาได้แล้ว
• ถ่ายถอน อนุสัย คือ ปฏิฆะ ในทุกขเวทนาได้แล้ว
• เพิกถอน อนุสัย คือ อวิชา ในอทุกขเวทนาได้แล้ว
• กระทำวิชาให้เกิด จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
ในสูตรนี้เรียกว่า เวทนา ให้ออกจากเวทนา ถ้าออก จากเวทนาได้ ก็ออกจากใจได้ ใจอันเดียวมันมีสัญชาติต่าง กัน จึงเรียกไปตามสัญชาติของใจ คือมันมี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมกันเข้าจึงเรียกว่าใจ ตัวแกงอันเดียวกันมีหลายรส คือ รสเปรี้ยว รสเผ็ด รสเค็ม รสหวาน ไปตามอรรถรส ของแกง มีอยู่ 4 รส ถ้ารวมกันเรียกว่า แกง อันเดียว เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เปรียบเหมือนรสของแกง ใจ จึงเปรียบเหมือนแกง ถ้าวางแกงได้ก็เป็นอันว่าวางรสของแกงทั้งหมด ฉันใดถ้าวางใจได้ก็เป็นอันว่าวาง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งหมด ของ 4 อย่าง ถ้าวางอันหนึ่งได้ ก็ได้ไปหมด
ถ้าวางไม่ได้ ต้องการอยากเห็นพระนิพพานก็ไม่เห็น เพราะพระนิพพานไม่มีขันธ์ ขันธ์บังพระนิพพานอยู่มิดชิด ถ้าอยากเห็นพระนิพพาน ก็ต้องเพิกขันธ์ออกให้หมด ถ้าเพิกขันธ์ไม่ได้ วางขันธ์ไม่ได้ ก็เป็นอันว่าหมดหวัง จะแสวงหาหนทางอื่น ไม่มีหนทาง มีหนทางเดียวเท่านี้ เพราะขันธ์ของเราไม่เป็นของที่มีจริงเป็นของหลอกลวงให้เราเข้าไปยึดถือ
สิ่งใดที่เราเข้าไปยึดถือโดยความเป็นเจ้าของ จะเป็นของหาโทษมิได้ สิ่งนั้นย่อมไม่มี
สิ่งทั้งปวงทั้งวัตถุภายในคือในตัวเรา หรือ วัตถุภายนอกคือ นอกตัวเราก็ดี ไม่มีสิ่งใดเป็นสาระแก่นสาร มีแต่สิ่งที่ให้เกิดโทษโดยส่วนเดียว เหตุนั้นฐานที่ 5 จึงให้อยู่กับความไม่ถือมั่น
คำอธิบายใน ฐานที่ 5 ให้อยู่กับความไม่ถือมั่น ไม่ให้ถือมั่นอะไรทั้งหมด
ฐานที่ 5 ก็ให้เพ่งหทัยวัตถุอันเดียวนั้นเอง แต่มีความหมายต่างกัน คือมีอะไรผ่านมาทางมโนทวาร จะเป็น อิฏฐารมณ์ หรือ อนิฏฐารมณ์ ไม่ให้ถือมั่นในอารมณ์เหล่านั้น ก็ตัวปัจจเวกขณะญาณจะกำเริบ คือสติจะเหนี่ยวรั้งไว้ไม่ได้ เพราะ ความถือมั่น ในอารมณ์เหล่านั้น แหละเป็นเหตุ เมื่อถือมั่นในสิ่งใด จิตใจของเราจึงเข้าไปยึดถือเอาสิ่งนั้นสิ่งอะไรเล่าที่เรายึดเราถือมากกว่าสิ่งทั้งปวง ไม่มีสิ่งอื่นนอกจากตัวเรา
• รักอะไรจะยิ่งกว่าตัวเราไม่มี
• เกลียดอะไรจะเกลียดเท่าความตายไม่มี
• ทุกข์อะไรจะทุกข์ยิ่งกว่าพระนิพพานไม่มี
ตัวเรา ในที่นี้หมายเอา ขันธ์ทั้ง 5 คือ กายกับใจอันเป็นที่รักอย่างยิ่ง ไม่มีสิ่งอะไรจะเทียบถึงจำพวกที่ทำการทุจริตผิดศีลธรรมฝ่าฝืนเอาประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นประโยชน์ของตน ก็เพราะรักตนนี้เอง แต่การรักตนชนิดนี้ไม่ถูกทาง เท่ากันกับเกลียดชังตน
ถ้ารักตนต้องทำคาวมดีไว้เพื่อตน ความดีกับความชั่วที่ตัวทำไว้ย่อมจักได้เป็นผล เหมือนกับเงาเทียมตนฉะนั้น ตนคือ ขันธ์ 5 ที่หลงงมงายเข้าไปยึดถือ ไม่ใช่ตนจริง เป็นตนแต่เพียงสมมุติ ให้รู้ ว่าเขา ว่าเรา ว่าหญิง ว่าชาย เพื่อให้รู้ว่าใครเป็นใคร เรียก กันได้แต่เพียงชั่วคราว ในระยะที่ยังไม่สิ้นลมหายใจเท่านั้น
เมื่อสิ้นลมหายใจแล้ว การสมมุติว่าสัตว์ว่าคน ก็ไม่มีตน ขันธ์ 5 จึงเป็นของ หลอกลวงให้ลุ่มหลง เหมือนคนเล่นกลหลอกลวง การยึดถือเอาขันธ์ 5 เป็นตน จึงนับว่าถือเอาของไม่มีจริง ถือเอาของไม่เที่ยง จึงต้องได้รับทุกข์ ทุกข์เพราะเราหลงถือเอาของไม่จริง ทุกข์อะไรจะทุกข์เท่าเบ็ญจขันธ์ไม่มี
แต่เป็นอะไรคนเราทุก ๆ คนจึงรักเบ็ญจขันธ์ยิ่งกว่าสิ่งทั้งปวงเป็นเพราะคนเราตกอยู่ในอำนาจแห่งอวิชา ไม่รู้เท่าสังขารตามความเป็นจริง จึงมัวหลงยึดเอาของไม่จริง ของไม่เที่ยง จึงได้แต่วิ่งเข้าไปหาทุกข์ คิด ๆ ดูก็น่าขัน ก็ว่าทุกข์ก็วางทุกข์เสีย ดังนี้จึง จะพ้นทุกข์ ก็ว่าไฟเป็นของร้อนก็น่าจะวางไฟ
แต่เหตุไฉนคนเราทุก ๆ จำพวกที่ยังขาดจากการ สดับ ก็ว่าไฟแต่วิ่งเข้าไปหาไฟ เข้าไปยึดไปถือเอไว้ ถ้าวางไฟ เสียได้ ความร้อนจะมีมาแต่ที่ไหน ถึงความร้อนของไฟจะมีอยู่ก็โดยธรรมชาติของมัน เมื่อเราไม่ไปจับมัน
วิธีวางขันธ์ 5
ฉันใดขันธ์ทั้ง 5 อันเป็นตัวทุกข์ เปรียบเหมือนไฟ ถ้าเราวางเสียซึ่งขันธ์ 5 อันเป็นตัวทุกข์ ทุกข์จะมีได้อย่างไร ถึง ขันธ์ 5 จะเป็นทุกข์ ก็เป็นทุกข์โดยธรรมชาติของมัน พึง เห็นดังขันธ์ 5 ของคนอื่น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ญาติของเรา เมื่อเราได้เห็นเขาเจ็บเขาตาย ก็จะเพียงเมตตากรุณาเท่านั้น หรือถ้าเป็นคน