คำอธิบายในฐานที่ 3 วิปัสสนา
ไม่ให้ติดอยู่ในความรู้ อันผ่านมาทางทวาร 6 แต่นี้จะอธิบายฐานที่ 3 ซึ่งเป็นตัว วิปัสสนา เข้าประจัญบาน เอากันถึงขั้นแตกหักเรียกว่า โลกุตตรภูมิไม่หลบลี้หนีตากับข้าศึก เมื่อฐานที่ 2 วางความคิดสามกาลได้แล้ว มันเหลือความรู้ คือ ไม่คิดเรื่องอะไรแต่มันมีความรู้ ความรู้ที่มีอยู่ในปัจจุบันก็สงเคราะห์ลงในภูมิทั้งสาม คือ กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ เท่านี้
ในขณะที่เราอยู่โดย ธรรมดา ถึงเราจะ เพ่ง หทัยวัตถุอยู่ก็ตามจะ ไม่เพ่ง ก็ตาม ความรู้ อันนี้เป็น วิบากจิต เป็นของเป็นเอง เราไม่ได้บอกให้มันรู้มันก็รู้เอง นี้ เป็นกามาวจร วิบาก เป็นตัว ทุกข์สัจจ เป็นของ ละไม่ได้ การที่ให้ดูหทัยวัตถุก็เพื่อจะให้รู้ รู้ความเป็นเองของขันธ์
ในขณะไหนเราเพ่งหทัยวัตถุดูความเป็นเองของขันธ์ในขณะนั้นเป็น วิชา ถ้าเรา เผลอสติไม่ได้เพ่งหทัยวัตถุ เวลานั้นเป็นอวิชา ถึงเราดูอยู่ก็ตาม แต่ถาเราไม่รู้เท่าทันขันธ์ เรา ดัดแปลงขันธ์ ก็ตกอยู่ในอวิชาอีกเหมือนกัน ที่ว่าดัดแปลงขันธ์นั้นคือ สิ่งใดควรแก่เรา เราพอใจในสิ่งนั้น และอยากให้สิ่งนั้นตั้งอยู่ กามตัณหา และภวตัณหา
โลกธรรม 8
ถ้าสิ่งใดไม่ควรแก่เรา เราไม่พอใจ และอยากให้สิ่งนั้น

ไปนี้เป็นวิภวตัณหา เป็นตัว สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์เป็นของ ควรละ ถ้าปล่อยได้วางได้ก็เป็น นิโรธ ความดับทุกข์กิริยาที่เราทำการปล่อยวาง ก็เป็น มรรค
สิ่งที่ชอบใจเรา ได้ลาภ ได้ยศ ได้รับสรรเสริญสุข ก็เป็นสิ่งที่พอใจ ถ้าเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทาทุกข์ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ชอบใจ ความชอบกับความไม่ชอบเกิดขึ้นเพราะ โลกธรรม 8 เป็นเครื่องครอบงำสัตว์โลก ไม่ว่าปุถุชนหรือพระอริยเจ้า
โลกธรรมทั้ง 8 จะต้องครอบงำทุกถ้วนหน้า ถ้า ออกจากความรู้ อันเกิดจากโลกธรรมเข้าครอบงำแล้ว ผู้นั้นจึงหลุดพ้นได้ ถ้าออกไม่ได้ก็หลุดพ้นไม่ได้ โลกธรรมเข้าครอบงำจะเอา สมาธิ เข้าต่อสู้ ก็ตกอยู่ในด้าน อดทนเอา เท่านั้นที่จะให้หมดมลทิน ต้องอาศัยปัญญา รู้ถึงเหตุการณ์ว่า กามโลกนี้ต้องมีโลกธรรมประจำอยู่อย่างนี้
ถ้าเราพอใจโลกธรรมติดอยู่ในโลกธรรม ก็เท่ากับพอใจติดอยู่ในทุกข์ ข้อที่ว่า โลกธรรมเป็นของที่มีประจำโลก ก่อนที่เรายังไม่เกิดก็มีอยู่อย่างนี้ เมื่อเราเกิดมาก็มีอย่าอย่างนี้ เมื่อเราตายก็มีอยู่อย่างนี้ อายุของเรามีเพียงเล็กน้อย เราจะเอามาแข่งขัน กันโลกธรรมจะป่วยการเสียเวลาเปล่าๆ
กามภายนอก - กามภายใน
ความรู้ที่เราเรียนเอาโลกมาไว้ในตัวเรา เป็นความรู้ที่เกิดจากการ ติดสมมุติความนิยมของโลก อันพวก คนพาลเขาติดอยู่ แต่ท่านผู้รู้หาข้องอยู่ไม่ ถ้าผู้ใดปล่อยวาง ผู้นั้นก็พ้นจากบ่วงของมาร
ความรู้อันเกิดแต่โลกธรรม เป็นส่วนกามาวจรภูมิ ถ้าจิตยังไม่หลุดพ้นจากกาม ก็พ้นจากโลกธรรมไปไม่ได้ ตัวของเราติดอยู่ใน กามภายใน และกามภายนอก กามภายในหมายเอา ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ กามภายนอกหมายเอา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ รวมกันเข้าจึงเป็น กามตัณหาปัจจุบัน 12 เป็นอดีต 12 เป็นอนาคต 12 รวมทั้ง 3 กาล จึงเป็นกามตัณหา 36 ด้วยกัน
ผู้ที่ทำสมาธิเข้าสู่องค์ฌาน จิตก็หลุดพ้นได้แต่เพียงตะทังคปหาน และวิขัมภะนะปหาน ด้วยองค์ฌานสะกดไว้เท่านั้น ครั้นออกจากฌานแล้ว มันกลับกำเริบขึ้นอีก จึงนับว่ายังไม่พ่นหนี้สิน ผู้จะพ้นจากหนี้สินต้องประหารให้ขาด ฆ่าให้ตายคือออกจากตัณหา การออกจากตัณหา ก็คือการออกจากตา หู จมูก ลิ้น กายใจ นี้เอง คือ เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ไม่ใช่ เราเห็น เมื่อได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่ใช่เราได้ยิน เมื่อทราบ เมื่อรู้ก็สักแต่ว่าทราบว่ารู้ ในกาลใดสิ่งใดที่จะ พึงเห็น พึงฟัง พึงทราบ พึงรู้ เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อฟังก็สักแต่ว่าฟัง เมื่อทราบเมื่อรู้ก็สักแต่ว่าทราบว่ารู้ ในกาลนั้น ความกำหนัดขัดเคือง ลุ่มหลงในอารมณ์นั้นไม่มี เมื่อความกำหนัดขัดเคลื่องล่มหลงในอารมณ์นั้นไม่มี โลกนี้ก็ไม่มี โลกอื่นก็ไม่มี ไม่มีทั้งโลกนี้และโลกอื่น ทั้ง 2 ถ้าออกจากตัวเราได้ดังนี้ จึงจะพ้นจากโลกธรรมและกามตัณหาเหล่านี้ได้ เพราะเหตุนั้นในฐานที่ 3 จึงให้ออกจากความรู้ เพราะตัวเราเป็นผู้เรียนผู้รู้เอาไว้ จนกลายเป็นอุปาทาน ถือมั่นในกาม
การเรียนทางวิปัสนา แปลว่า เรียนแก้ความรู้เรียนแก้ความรู้ในที่นี้หมายเอา วิญญาณขันธ์ อันรู้ทางตา ทางหู เป็นต้น จะอาศัยการ สำรวมระวัง ในขณะที่ได้เห็นได้ยินด้วย อินทรีย์สังวรศีล ก็เป็นเครื่อง ระงับไว้ชั่วครั้งชั่วคราว เท่านั้นจะทำ สมาธิ คือหลับตาไม่ให้ได้เห็น จะเข้าไปที่สงัดไม่ให้ได้ยิน กับทั้งวางความคิดภายนอกให้หมด หยุด คิดปิดนึกจนเกิดปิติสุข เข้าถึงองค์ฌานเพ่งอยู่ในจุดอันเดียวก็ ดี ก็พ้นจาก ความรู้ อันเกิดแต่การ ได้เห็นได้ยิน ซึ่งเป็นส่วนกามารมณ์ได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
ถ้าระหว่างหลุดพ้นก็หลุดพ้นได้แต่เพียง กามาสวะ ยังมีความรู้อยู่ภายใน ฯ อันเป็นส่วนละเอียด คือเราหลับตาแล้วมันยังมีการเห็นกายใน คือเห็นสีดำ สีแดง สว่าง เพ่งสิ่งใด เห็นสิ่งนั้นติดตาม นี้เป็นตัว ภวตัณหา สิ่งใดที่เราไม่ได้เพ่งมันยังเกิดมโนภาพให้แลเห็น เห็นสัตว์เห็นคน สิ่งใดที่เราไม่ได้เพ่ง มันยังเกิดให้เห็น เมื่อเห็นแล้ววิญญาณความรู้ อันเป็นส่วน สุขุมรูป ยังต้องรับรู้อยู่
ถ้าติดอยู่ในความรู้อันเกิดแต่การทำสมาธิ ยังติดอยู่ในภวตัณหา ถ้าปล่อยวางความรู้เหล่านี้ได้ จึงจะหลุดพ้นจากภวตัณหา แม้พ้นจากนิมิตเหล่านี้เข้าถึงขั้น อรูป ไม่มีอะไรเป็นที่ตั้ง เหลืออยู่แต่ วิญญาณ ก็ดี ยังตกอยู่ใน วิภวตัณหายังพ้นจากภพ ไปไม่ได้
จิตหลุดพ้นจากภพ 3
เมื่อมีภพก็ต้องมีชาติ เมื่อภพดับชาติจึงดับ ผู้อยากเห็นอามรณ์พระนิพพาน พึงตรวจดูตัวภพให้แยบคาย ภพทั้ง 3 ภพ ไม่มีในพระนิพพาน ภพเหล่านี้ ย่อมบังเกิดขึ้นที่ขันธ์ ถ้า ว่างขันธ์ ได้ ก็เป็นอันว่า วางภพ เพราะภพจะเกิดขึ้นที่ขันธ์
เพราะเหตุนั้นในฐานที่ 3 จึงให้ วางทั้งความคิด ทั้ง ความรู้ให้หมด ความคิดเป็นตัวสังขารขันธ์ ความรู้เป็นตัววิญญาณขันธ์ เมื่อวางความรู้ ภพทั้งปวงก็ดับไปด้วยประการทั้งปวง ฯ ดังพระบาลีที่พระองค์ทรงแสดงไว้เป็นหลักว่า “ เอกาหิธาตุ ทิฏฐธมฺมิกา สอุปปาทิเสส ภวานิสพพโส “ แปลว่า “ ธาตุอันหนึ่ง เป็นไปในธรรมอันได้เห็นแล้วมีภพทั้งปวงดับไปด้วยประการทั้งปวง” เพราะสิ้นธรรมชาติผู้จะนำไปสู่ภพคือตัณหา ข้อที่ว่า สิ้นตัณหาได้แก่สิ้นความคิดนั่นเอง ตกลงคงได้ความว่า ความคิดนำไปสู่ภพ เช่น ผู้จะไปเกิดในอบายภูมิก็ต้องคิดถึงบาปที่ตนทำไว้จึงจะไปสู่อบายภูมิได้
ถ้าไม่ได้ทำบาป ถึงคิดอยากไปก็ไปไม่ได้ คนไม่ได้ทำบาป คิดได้ ใจ ก็ไม่เศร้าหมอง จึงไปทุคติไม่ได้ ส่วนผู้จะไปสู่สุคติ คือ มนุษย์และสวรรค์ ก็ต้องอาศัยความคิด คือคิดถึงบุญที่ตนทำไว้ ผู้ที่จะไปเกิดในชั้นพรหม ก็ต้องคิดถึงธรรมของพรหมที่ตนทำได้ ผู้จะไปสู่อรูปพรหม ก็อาศัยความคิดถึงธรรมอรูปพรหมที่ตนทำได้ ผู้ที่ไปสู่นิพพานชั้นต้นต้องอาศัยความคิดก่อนเพราะความคิดเป็น อเนญชาภิสังขาร เป็นสังขารกลาง คิดไป ในบาป วิญญาณก็รู้ทางบาป ถ้าคิดทางบุญก็รู้ทางบุญ ถ้าคิดไปนิพพานก็รู้ทางนิพพาน วิญญาณความรู้เป็นตัวปฏิสนธิ
นิพพานไม่มีปฏิสนธิ
นิพพานไม่มีปฏิสนธิ มีแต่ภพทั้ง 3 (ที่มีปฏิสนธิ ) ผู้ที่จะไปสู่นิพพานต้องอาศัยความคิด ความคิดต้องอาศัยความอยาก เมื่ออยากได้นิพพานก็คิดไปหานิพพาน เมื่อเห็นนิพพานแล้วว่า พระนิพพานไม่มีความคิด ไม่มีความรู้ ชั้นสุดท้าย ก็ให้วางความคิดความรู้ทั้งหมดทิ้งไว้ในภพทั้งสาม
ฝ่ายวิญญาณคือความรู้เป็นฝ่ายเกิด เมื่อมีเกิดก็ต้องมีดับ ฝ่ายนิพพาน ไม่มีความรู้ เมื่อไม่มีความรู้ก็ ไม่มีความเกิด เมื่อไม่มีความเกิดก็ ไม่มีความดับ ฝ่ายไหนเกิดฝ่ายนั้นก็ดับ ฝ่ายไหนไม่เกิด ฝ่ายนั้นก็ไม่ดับ เมื่อญาณความรู้เกิดขึ้นจึง ทิ้ง ความเกิดความดับไว้กับภพ แล้ว ออกไปอยู่นอกภพ คือ อยู่กับฝ่ายที่ไม่เกิดไม่ดับ ก็ภพทั้งปวงมันเกิดขึ้นที่ไหน มันเกิดขึ้นที่ขันธ์ ถ้าวางขันธ์ ก็เป็นอันวาง ภพ
เมื่อว่างภพก็เป็นอันว่าวางชาติ ดุจหนึ่งว่าวางเชื้อของไฟก็เป็นอันว่าวางไฟ เมื่อวางไฟก็เป็นอันว่าวางความร้อน เมื่อไฟดับหมดแล้วก็เหลือแต่ ความเย็น ความเย็นท่านเรียกว่า วิมุติ นิโรธ นิพพาน อันเดียวกัน ความเย็นจะเกิดขึ้นก็เพราะจิตหลุดพ้นจากกาม จากภพ จากอวิชา ดังภาษิตคาถาที่ท่านผู้รู้นำมาลงไว้เป็นหลักวางว่า
“ กามาสวาปิ จิตตํ วิมุจฺจติ”
แปลว่า จิตหลุดพ้นแล้ว แม้จากอาสวะ คือ กาม จิตหลุดพ้นแล้ว แม้จากอาสวะ คือ ภพ จิตหลุดพ้นแล้ว แม้จากอาสวะคือ อวิชา
“ วิมุตฺตสฺสมึ วิมุตฺติญานํ โหติ”
แปลว่า เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ญาณรู้แล้วว่าหลุดพ้นแล้วย่อมมี เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วก็เป็นธรรมดาที่จะต้องรู้ว่าตนหลุดพ้นแล้ว เหมือน ผู้วางไฟก็ย่อมรู้ว่าตนพ้นจากความร้อนเป็นธรรมดา
รูปาวจรภูมิ-อรูปาวจรภูมิและโลกุตตรภูมิ ภาค5
ไม่ให้ติดอยู่ในความรู้ อันผ่านมาทางทวาร 6 แต่นี้จะอธิบายฐานที่ 3 ซึ่งเป็นตัว วิปัสสนา เข้าประจัญบาน เอากันถึงขั้นแตกหักเรียกว่า โลกุตตรภูมิไม่หลบลี้หนีตากับข้าศึก เมื่อฐานที่ 2 วางความคิดสามกาลได้แล้ว มันเหลือความรู้ คือ ไม่คิดเรื่องอะไรแต่มันมีความรู้ ความรู้ที่มีอยู่ในปัจจุบันก็สงเคราะห์ลงในภูมิทั้งสาม คือ กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ เท่านี้
ในขณะที่เราอยู่โดย ธรรมดา ถึงเราจะ เพ่ง หทัยวัตถุอยู่ก็ตามจะ ไม่เพ่ง ก็ตาม ความรู้ อันนี้เป็น วิบากจิต เป็นของเป็นเอง เราไม่ได้บอกให้มันรู้มันก็รู้เอง นี้ เป็นกามาวจร วิบาก เป็นตัว ทุกข์สัจจ เป็นของ ละไม่ได้ การที่ให้ดูหทัยวัตถุก็เพื่อจะให้รู้ รู้ความเป็นเองของขันธ์
ในขณะไหนเราเพ่งหทัยวัตถุดูความเป็นเองของขันธ์ในขณะนั้นเป็น วิชา ถ้าเรา เผลอสติไม่ได้เพ่งหทัยวัตถุ เวลานั้นเป็นอวิชา ถึงเราดูอยู่ก็ตาม แต่ถาเราไม่รู้เท่าทันขันธ์ เรา ดัดแปลงขันธ์ ก็ตกอยู่ในอวิชาอีกเหมือนกัน ที่ว่าดัดแปลงขันธ์นั้นคือ สิ่งใดควรแก่เรา เราพอใจในสิ่งนั้น และอยากให้สิ่งนั้นตั้งอยู่ กามตัณหา และภวตัณหา
โลกธรรม 8
ถ้าสิ่งใดไม่ควรแก่เรา เราไม่พอใจ และอยากให้สิ่งนั้น
สิ่งที่ชอบใจเรา ได้ลาภ ได้ยศ ได้รับสรรเสริญสุข ก็เป็นสิ่งที่พอใจ ถ้าเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทาทุกข์ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ชอบใจ ความชอบกับความไม่ชอบเกิดขึ้นเพราะ โลกธรรม 8 เป็นเครื่องครอบงำสัตว์โลก ไม่ว่าปุถุชนหรือพระอริยเจ้า
โลกธรรมทั้ง 8 จะต้องครอบงำทุกถ้วนหน้า ถ้า ออกจากความรู้ อันเกิดจากโลกธรรมเข้าครอบงำแล้ว ผู้นั้นจึงหลุดพ้นได้ ถ้าออกไม่ได้ก็หลุดพ้นไม่ได้ โลกธรรมเข้าครอบงำจะเอา สมาธิ เข้าต่อสู้ ก็ตกอยู่ในด้าน อดทนเอา เท่านั้นที่จะให้หมดมลทิน ต้องอาศัยปัญญา รู้ถึงเหตุการณ์ว่า กามโลกนี้ต้องมีโลกธรรมประจำอยู่อย่างนี้
ถ้าเราพอใจโลกธรรมติดอยู่ในโลกธรรม ก็เท่ากับพอใจติดอยู่ในทุกข์ ข้อที่ว่า โลกธรรมเป็นของที่มีประจำโลก ก่อนที่เรายังไม่เกิดก็มีอยู่อย่างนี้ เมื่อเราเกิดมาก็มีอย่าอย่างนี้ เมื่อเราตายก็มีอยู่อย่างนี้ อายุของเรามีเพียงเล็กน้อย เราจะเอามาแข่งขัน กันโลกธรรมจะป่วยการเสียเวลาเปล่าๆ
กามภายนอก - กามภายใน
ความรู้ที่เราเรียนเอาโลกมาไว้ในตัวเรา เป็นความรู้ที่เกิดจากการ ติดสมมุติความนิยมของโลก อันพวก คนพาลเขาติดอยู่ แต่ท่านผู้รู้หาข้องอยู่ไม่ ถ้าผู้ใดปล่อยวาง ผู้นั้นก็พ้นจากบ่วงของมาร
ความรู้อันเกิดแต่โลกธรรม เป็นส่วนกามาวจรภูมิ ถ้าจิตยังไม่หลุดพ้นจากกาม ก็พ้นจากโลกธรรมไปไม่ได้ ตัวของเราติดอยู่ใน กามภายใน และกามภายนอก กามภายในหมายเอา ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ กามภายนอกหมายเอา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ รวมกันเข้าจึงเป็น กามตัณหาปัจจุบัน 12 เป็นอดีต 12 เป็นอนาคต 12 รวมทั้ง 3 กาล จึงเป็นกามตัณหา 36 ด้วยกัน
ผู้ที่ทำสมาธิเข้าสู่องค์ฌาน จิตก็หลุดพ้นได้แต่เพียงตะทังคปหาน และวิขัมภะนะปหาน ด้วยองค์ฌานสะกดไว้เท่านั้น ครั้นออกจากฌานแล้ว มันกลับกำเริบขึ้นอีก จึงนับว่ายังไม่พ่นหนี้สิน ผู้จะพ้นจากหนี้สินต้องประหารให้ขาด ฆ่าให้ตายคือออกจากตัณหา การออกจากตัณหา ก็คือการออกจากตา หู จมูก ลิ้น กายใจ นี้เอง คือ เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ไม่ใช่ เราเห็น เมื่อได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่ใช่เราได้ยิน เมื่อทราบ เมื่อรู้ก็สักแต่ว่าทราบว่ารู้ ในกาลใดสิ่งใดที่จะ พึงเห็น พึงฟัง พึงทราบ พึงรู้ เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อฟังก็สักแต่ว่าฟัง เมื่อทราบเมื่อรู้ก็สักแต่ว่าทราบว่ารู้ ในกาลนั้น ความกำหนัดขัดเคือง ลุ่มหลงในอารมณ์นั้นไม่มี เมื่อความกำหนัดขัดเคลื่องล่มหลงในอารมณ์นั้นไม่มี โลกนี้ก็ไม่มี โลกอื่นก็ไม่มี ไม่มีทั้งโลกนี้และโลกอื่น ทั้ง 2 ถ้าออกจากตัวเราได้ดังนี้ จึงจะพ้นจากโลกธรรมและกามตัณหาเหล่านี้ได้ เพราะเหตุนั้นในฐานที่ 3 จึงให้ออกจากความรู้ เพราะตัวเราเป็นผู้เรียนผู้รู้เอาไว้ จนกลายเป็นอุปาทาน ถือมั่นในกาม
การเรียนทางวิปัสนา แปลว่า เรียนแก้ความรู้เรียนแก้ความรู้ในที่นี้หมายเอา วิญญาณขันธ์ อันรู้ทางตา ทางหู เป็นต้น จะอาศัยการ สำรวมระวัง ในขณะที่ได้เห็นได้ยินด้วย อินทรีย์สังวรศีล ก็เป็นเครื่อง ระงับไว้ชั่วครั้งชั่วคราว เท่านั้นจะทำ สมาธิ คือหลับตาไม่ให้ได้เห็น จะเข้าไปที่สงัดไม่ให้ได้ยิน กับทั้งวางความคิดภายนอกให้หมด หยุด คิดปิดนึกจนเกิดปิติสุข เข้าถึงองค์ฌานเพ่งอยู่ในจุดอันเดียวก็ ดี ก็พ้นจาก ความรู้ อันเกิดแต่การ ได้เห็นได้ยิน ซึ่งเป็นส่วนกามารมณ์ได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
ถ้าระหว่างหลุดพ้นก็หลุดพ้นได้แต่เพียง กามาสวะ ยังมีความรู้อยู่ภายใน ฯ อันเป็นส่วนละเอียด คือเราหลับตาแล้วมันยังมีการเห็นกายใน คือเห็นสีดำ สีแดง สว่าง เพ่งสิ่งใด เห็นสิ่งนั้นติดตาม นี้เป็นตัว ภวตัณหา สิ่งใดที่เราไม่ได้เพ่งมันยังเกิดมโนภาพให้แลเห็น เห็นสัตว์เห็นคน สิ่งใดที่เราไม่ได้เพ่ง มันยังเกิดให้เห็น เมื่อเห็นแล้ววิญญาณความรู้ อันเป็นส่วน สุขุมรูป ยังต้องรับรู้อยู่
ถ้าติดอยู่ในความรู้อันเกิดแต่การทำสมาธิ ยังติดอยู่ในภวตัณหา ถ้าปล่อยวางความรู้เหล่านี้ได้ จึงจะหลุดพ้นจากภวตัณหา แม้พ้นจากนิมิตเหล่านี้เข้าถึงขั้น อรูป ไม่มีอะไรเป็นที่ตั้ง เหลืออยู่แต่ วิญญาณ ก็ดี ยังตกอยู่ใน วิภวตัณหายังพ้นจากภพ ไปไม่ได้
จิตหลุดพ้นจากภพ 3
เมื่อมีภพก็ต้องมีชาติ เมื่อภพดับชาติจึงดับ ผู้อยากเห็นอามรณ์พระนิพพาน พึงตรวจดูตัวภพให้แยบคาย ภพทั้ง 3 ภพ ไม่มีในพระนิพพาน ภพเหล่านี้ ย่อมบังเกิดขึ้นที่ขันธ์ ถ้า ว่างขันธ์ ได้ ก็เป็นอันว่า วางภพ เพราะภพจะเกิดขึ้นที่ขันธ์
เพราะเหตุนั้นในฐานที่ 3 จึงให้ วางทั้งความคิด ทั้ง ความรู้ให้หมด ความคิดเป็นตัวสังขารขันธ์ ความรู้เป็นตัววิญญาณขันธ์ เมื่อวางความรู้ ภพทั้งปวงก็ดับไปด้วยประการทั้งปวง ฯ ดังพระบาลีที่พระองค์ทรงแสดงไว้เป็นหลักว่า “ เอกาหิธาตุ ทิฏฐธมฺมิกา สอุปปาทิเสส ภวานิสพพโส “ แปลว่า “ ธาตุอันหนึ่ง เป็นไปในธรรมอันได้เห็นแล้วมีภพทั้งปวงดับไปด้วยประการทั้งปวง” เพราะสิ้นธรรมชาติผู้จะนำไปสู่ภพคือตัณหา ข้อที่ว่า สิ้นตัณหาได้แก่สิ้นความคิดนั่นเอง ตกลงคงได้ความว่า ความคิดนำไปสู่ภพ เช่น ผู้จะไปเกิดในอบายภูมิก็ต้องคิดถึงบาปที่ตนทำไว้จึงจะไปสู่อบายภูมิได้
ถ้าไม่ได้ทำบาป ถึงคิดอยากไปก็ไปไม่ได้ คนไม่ได้ทำบาป คิดได้ ใจ ก็ไม่เศร้าหมอง จึงไปทุคติไม่ได้ ส่วนผู้จะไปสู่สุคติ คือ มนุษย์และสวรรค์ ก็ต้องอาศัยความคิด คือคิดถึงบุญที่ตนทำไว้ ผู้ที่จะไปเกิดในชั้นพรหม ก็ต้องคิดถึงธรรมของพรหมที่ตนทำได้ ผู้จะไปสู่อรูปพรหม ก็อาศัยความคิดถึงธรรมอรูปพรหมที่ตนทำได้ ผู้ที่ไปสู่นิพพานชั้นต้นต้องอาศัยความคิดก่อนเพราะความคิดเป็น อเนญชาภิสังขาร เป็นสังขารกลาง คิดไป ในบาป วิญญาณก็รู้ทางบาป ถ้าคิดทางบุญก็รู้ทางบุญ ถ้าคิดไปนิพพานก็รู้ทางนิพพาน วิญญาณความรู้เป็นตัวปฏิสนธิ
นิพพานไม่มีปฏิสนธิ
นิพพานไม่มีปฏิสนธิ มีแต่ภพทั้ง 3 (ที่มีปฏิสนธิ ) ผู้ที่จะไปสู่นิพพานต้องอาศัยความคิด ความคิดต้องอาศัยความอยาก เมื่ออยากได้นิพพานก็คิดไปหานิพพาน เมื่อเห็นนิพพานแล้วว่า พระนิพพานไม่มีความคิด ไม่มีความรู้ ชั้นสุดท้าย ก็ให้วางความคิดความรู้ทั้งหมดทิ้งไว้ในภพทั้งสาม
ฝ่ายวิญญาณคือความรู้เป็นฝ่ายเกิด เมื่อมีเกิดก็ต้องมีดับ ฝ่ายนิพพาน ไม่มีความรู้ เมื่อไม่มีความรู้ก็ ไม่มีความเกิด เมื่อไม่มีความเกิดก็ ไม่มีความดับ ฝ่ายไหนเกิดฝ่ายนั้นก็ดับ ฝ่ายไหนไม่เกิด ฝ่ายนั้นก็ไม่ดับ เมื่อญาณความรู้เกิดขึ้นจึง ทิ้ง ความเกิดความดับไว้กับภพ แล้ว ออกไปอยู่นอกภพ คือ อยู่กับฝ่ายที่ไม่เกิดไม่ดับ ก็ภพทั้งปวงมันเกิดขึ้นที่ไหน มันเกิดขึ้นที่ขันธ์ ถ้าวางขันธ์ ก็เป็นอันวาง ภพ
เมื่อว่างภพก็เป็นอันว่าวางชาติ ดุจหนึ่งว่าวางเชื้อของไฟก็เป็นอันว่าวางไฟ เมื่อวางไฟก็เป็นอันว่าวางความร้อน เมื่อไฟดับหมดแล้วก็เหลือแต่ ความเย็น ความเย็นท่านเรียกว่า วิมุติ นิโรธ นิพพาน อันเดียวกัน ความเย็นจะเกิดขึ้นก็เพราะจิตหลุดพ้นจากกาม จากภพ จากอวิชา ดังภาษิตคาถาที่ท่านผู้รู้นำมาลงไว้เป็นหลักวางว่า
“ กามาสวาปิ จิตตํ วิมุจฺจติ”
แปลว่า จิตหลุดพ้นแล้ว แม้จากอาสวะ คือ กาม จิตหลุดพ้นแล้ว แม้จากอาสวะ คือ ภพ จิตหลุดพ้นแล้ว แม้จากอาสวะคือ อวิชา
“ วิมุตฺตสฺสมึ วิมุตฺติญานํ โหติ”
แปลว่า เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ญาณรู้แล้วว่าหลุดพ้นแล้วย่อมมี เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วก็เป็นธรรมดาที่จะต้องรู้ว่าตนหลุดพ้นแล้ว เหมือน ผู้วางไฟก็ย่อมรู้ว่าตนพ้นจากความร้อนเป็นธรรมดา