เรื่องพระชนะคดีในโรงศาล แล้วเป็นอาบัติปราชิก...ต้องตีความให้ดีๆ ไม่งั้นจะเข้าใจผิด สับสนเลอะเทอะ
กระทู้สนทนา
http://pantip.com/topic/33288458
ต้องทำความเข้าใจให้ดี ไม่งั้นจะสับสน ..ในกรณีข้อความว่า พระชนะคดีในโรงศาล แล้วเป็นอาบัติปราชิก นั่นหมายถึง พระไปตู่เพื่อฉ้อโกงเอาทรัพย์สินของชาวบ้าน ... จนต้องไปขึ้นโรงขึ้นศาลกัน แล้วพระชนะคดี ได้ทรัพย์สินนั้นมาเป็นสมบัติของตน แบบนี้ก็คือพระไปฉ้อโกงเขามานั่นเอง ขาดความยุติธรรมและเหตุผล จึงเป็นอาบัติปราชิก
แต่ถ้าทรัพย์สินนั้นเป็นของพระอยู่ก่อน แล้วมีชาวบ้านขี้โกงมาตู่เอาทรัพย์สินนั้น ฟ้องร้องจนถึงขั้นขึ้นโรงศาล แล้วพระก็ปกป้องทรัพย์สินของตน ไปขึ้นโรงขึ้นศาลจนพระชนะคดี ไม่ต้องสูญเสียทรัพย์สิน แบบนี้ไม่ถือว่าพระเป็นอาบัติปราชิก
อ่านแล้วควรตีความให้ถูกต้อง ไม่งั้นจะเข้าใจผิดมั่วซั่วสับสนจนเลอะเทอะ
ขอประทานโทษนะครับท่าน คือผมกลับเห็นว่า เป็นท่านนั่นแหละที่เข้าใจผิด และตีความพระวินัยจนมั่วซั่วเละเทะ
ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจก่อนว่า พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องศีลว่า ภิกษุย่อมเว้นขาดจากการ รับที่ดินไร่นาวัวควาย ฯลฯ เงินทอง
และทรงปรับอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ แก่ภิกษุที่รับเงินรับทองด้วย นะครับ จะปลงอาบัติได้ ก็ต้องสละสิ่งของนั้นก่อน
หมายความว่า หลักการของพระพุทธบัญญัติก็คือ ภิกษุจะมีทรัพย์สินพวกนี้เป็นส่วนตัวไม่ได้ นะครับท่าน
แต่แล้วเหตุใดท่านจึง กล่าวตู่ตีความพระวินัย เอาตามใจชอบ จนกลายเป็นว่า พระพุทธเจ้า
และพระวินัย รับรองว่าภิกษุสามารถมีทรัพย์สินส่วนตัว เป็นที่ดิน เงินทอง ได้เล่าครับ ?
ตีความแบบนี้ ก็เท่ากับทำให้ พระวินัยขัดกันเองในหลักการ เป็นการตีความกฏหมายให้ขัดกัน
มันก็หมายความว่า ท่านตีความผิด และกำลังกล่าวตู่บิดเบือนพระธรรมวินัย อยู่น่ะสิครับท่าน
ตกลงว่า ภิกษุมีทรัพย์สินเหล่านั้นเป็นส่วนตัวไม่ได้ ต้องสละให้สงฆ์ หรือภิกษุมีของเหล่านั้นได้
และยังสามารถฟ้องร้องคดี สู้คดีในศาลเพื่อปกป้องทรัพย์ของตนได้ กันแน่ครับท่าน ?
หลักการของพระพุทธศาสนา คืออย่างไรกันแน่ครับท่าน ?
ผมขอฟังคำอธิบาย ด้วยครับท่าน
โจมตี สำนักวัดพระธรรมกาย จนกลายเป็นกล่าวตู่พระธรรมวินัยเสียเอง แล้วครับท่าน
กระทู้สนทนา
http://pantip.com/topic/33288458
ต้องทำความเข้าใจให้ดี ไม่งั้นจะสับสน ..ในกรณีข้อความว่า พระชนะคดีในโรงศาล แล้วเป็นอาบัติปราชิก นั่นหมายถึง พระไปตู่เพื่อฉ้อโกงเอาทรัพย์สินของชาวบ้าน ... จนต้องไปขึ้นโรงขึ้นศาลกัน แล้วพระชนะคดี ได้ทรัพย์สินนั้นมาเป็นสมบัติของตน แบบนี้ก็คือพระไปฉ้อโกงเขามานั่นเอง ขาดความยุติธรรมและเหตุผล จึงเป็นอาบัติปราชิก
แต่ถ้าทรัพย์สินนั้นเป็นของพระอยู่ก่อน แล้วมีชาวบ้านขี้โกงมาตู่เอาทรัพย์สินนั้น ฟ้องร้องจนถึงขั้นขึ้นโรงศาล แล้วพระก็ปกป้องทรัพย์สินของตน ไปขึ้นโรงขึ้นศาลจนพระชนะคดี ไม่ต้องสูญเสียทรัพย์สิน แบบนี้ไม่ถือว่าพระเป็นอาบัติปราชิก
อ่านแล้วควรตีความให้ถูกต้อง ไม่งั้นจะเข้าใจผิดมั่วซั่วสับสนจนเลอะเทอะ
ขอประทานโทษนะครับท่าน คือผมกลับเห็นว่า เป็นท่านนั่นแหละที่เข้าใจผิด และตีความพระวินัยจนมั่วซั่วเละเทะ
ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจก่อนว่า พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องศีลว่า ภิกษุย่อมเว้นขาดจากการ รับที่ดินไร่นาวัวควาย ฯลฯ เงินทอง
และทรงปรับอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ แก่ภิกษุที่รับเงินรับทองด้วย นะครับ จะปลงอาบัติได้ ก็ต้องสละสิ่งของนั้นก่อน
หมายความว่า หลักการของพระพุทธบัญญัติก็คือ ภิกษุจะมีทรัพย์สินพวกนี้เป็นส่วนตัวไม่ได้ นะครับท่าน
แต่แล้วเหตุใดท่านจึง กล่าวตู่ตีความพระวินัย เอาตามใจชอบ จนกลายเป็นว่า พระพุทธเจ้า
และพระวินัย รับรองว่าภิกษุสามารถมีทรัพย์สินส่วนตัว เป็นที่ดิน เงินทอง ได้เล่าครับ ?
ตีความแบบนี้ ก็เท่ากับทำให้ พระวินัยขัดกันเองในหลักการ เป็นการตีความกฏหมายให้ขัดกัน
มันก็หมายความว่า ท่านตีความผิด และกำลังกล่าวตู่บิดเบือนพระธรรมวินัย อยู่น่ะสิครับท่าน
ตกลงว่า ภิกษุมีทรัพย์สินเหล่านั้นเป็นส่วนตัวไม่ได้ ต้องสละให้สงฆ์ หรือภิกษุมีของเหล่านั้นได้
และยังสามารถฟ้องร้องคดี สู้คดีในศาลเพื่อปกป้องทรัพย์ของตนได้ กันแน่ครับท่าน ?
หลักการของพระพุทธศาสนา คืออย่างไรกันแน่ครับท่าน ?
ผมขอฟังคำอธิบาย ด้วยครับท่าน