ต้องบอกไว้ก่อนเลยล่ะกันนะครับว่านี่เป็นกระทู้แรก แล้วไม่ได้เก่งทางด้านอักษรศาสตร์แต่อย่างใด ถ้าเรียบเรียงคำพูด
หรือประโยคใดๆผิดไป ก็ขออภัยด้วยนะครับ ยาวนิดนึงนะครับ แค่อยากปรึกษาเรื่องนี้กับคนอื่นบ้าง
เข้าเรื่องดีกว่า ต้องขอแนะนำตัวก่อน จขกท.เคยเป็นผู้ชาย(ย้ำว่าเคย) เรียนชายล้วนและจะจบม.ปลายแล้ว รอเข้ามหาลัยอย่างเดียวละตอนนี้ ผมเป็นคนร่าเริงครับ ชิวๆเฮฮาไปเรื่อย แต่ก็ไม่ได้เอะอะโหวกเหวกโวยวายแบบนักเลงหัวไม้ขนาดนั้น ถ้าเทียบกับเพื่อนในห้องก็จะเป็นคนแบบเรียบร้อยแต่ไม่ใช่ว่าเป็นคนดี แกล้งเพื่อนทำอะไรได้ตามปกติ ไม่ใช่ประเภทติ๋มๆหงิมๆเด็กเนิร์ดขนาดนั้นบ้าหอบหนังสือเรียนเป็นตั้งๆ โรงเรียนผมมีหลายคู่ครับที่คบกันแบบ ช-ชเปิดเผยกันรู้กันในวงเพื่อน หรือไปคบกับเด็กชายล้วนอีกโรงเรียนหนึ่งละแวกใกล้เคียงกันก็มี ตัวผมเองก็เฉยๆนะตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร มองเป็นเรื่องปกติ
ผมได้รู้จัก'พี่'คนนึงจากการไปร่วมงานด้วยกัน การทำงานนี้ใช้เวลาหลายเดือน ต้องซ้อมต้องบรีฟงานกันอยู่นานทีเดียว
ระหว่างนั้นผมก็ปกติ รู้จักคนไปทั่ว เฮฮาเข้ากับคนง่ายครับ แล้วบังเอิญได้รู้จักกับ'พี่' คนนึงเข้าเพราะพี่เขาลืมกระเป๋าเอาไว้
แล้วผมก็เป็นคนเดียวตอนนั้นที่มีไลน์ของพี่เค้า เพราะคนอื่นๆตอนนั้นไม่มีใครมีเลย ตามธรรมเนียมครับผมเลยทักพี่เขาไปเรื่องกระเป๋า
บุคลิกของพี่เค้าคือ เป็นคนนิ่ง ใจเย็น ใครที่ไม่สนิทจะรู้สึกว่าพี่เขาหยิ่ง หน้าโหด แต่พอสนิทด้วยจริงๆแล้วไม่ใช่คนแบบนั้นเลยครับ เป็นคนที่ใจดี ถ้าคุยเรื่องถูกคอแล้วล่ะก็พูดเป็นต่อยหอย จนคนพูดมากแบบผมต้องหยุดฟัง ประกอบกับพี่เขาเรียนวิศวะด้วยมั้งครับเลยทำให้ดูน่าเกรงขาม ฉลาด หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรมาก ผมก็แค่นัดให้พี่เขาเจอกันที่ลานโบว์ลิ่ง เพื่อเอากระเป๋าคืน แล้วพวกผมก็อยู่ฉลองกันต่อซึ่งพี่เค้าก็อยู่ด้วย พอเสร็จทุกคนต่างแยกย้ายกลับบ้าน ผมต้องรอคนที่บ้านมารับก็กะเดินเล่นไปเรื่อย ซึ่งพี่เค้าก็ถามผมว่าอยู่คนเดียวได้เหรอ? ให้อยู่เป็นเพื่อนมั๊ย? ผมก็บอกว่าไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมเดินเล่นรอพ่อ แล้วก็เลยเดินกันไปเรื่อยๆ ถามนู่นถามนี่ไปเรื่อยเปื่อยเลยได้รู้ว่าคอนโดพี่เค้าอยู่แถวนั้นเอง สุดท้ายผมเลยไปนั่งเล่นที่คอนโดของพี่เค้า นั่งแค่ตรงรีเซปชั่นรับรองแขกด้านล่างนะครับไม่ได้ขึ้นบนห้อง จนพ่อมารับผมก็กลับแยกย้ายตามปกติ
แล้วพอทีนี้ทุกคนเริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ 'ไลน์กลุ่ม' จึงเกิดขึ้น ทุกคนถูกชักชวนเข้าไม่เว้นแม้แต่ผมหรือพี่เค้า คุยกันเรื่อยเปื่อยครับ สัพเพเหระอ่ะ จนผ่านไปมันจะมีคนนึงที่นิสัยเสียชอบส่งรูปอาหารตอนดึกๆลงกลุ่ม ซึ่งคนๆนั้นก็คือผมเอง ผมเป็นคนส่งเป็นประจำ แต่แล้ววันนึงพี่เค้าก็ส่งรูปอาหารนี้มาแข่งกัน พวกผมสองคนเริ่มแข่งกันส่งรูปอาหารลงกรุ๊ปกันเรื่อยๆ อวดว่าของใครน่ากินมากกว่ากัน เบ่งกันไปมา โดยที่พี่เค้าเป็นคนพิมน้อย แค่คำสองครับก็หาย การส่ง'ไลน์ส่วนตัว' จึงค่อยๆเกิดขึ้น เอาจริงผมเองก็ลืมไปแล้วว่าเริ่มคุยส่วนตัวกับพี่เขาตอนไหน เพราะตั้งแต่จบงานนั้นมา หน้าแชทของผมจะขึ้นชื่อของพี่เค้าเป็นคนแรกเสมอ และเป็นแบบนั้นตลอดมาสองปี
ตัวผมเองเริ่มรู้ตัวเองแหละครับว่าผม 'ขาดโทรศัพท์ไม่ได้' ไม่ใช่เพราะมือติดกาวนะ 5555 เพราะผมกำลังเริ่ม'ติด'คนในโทรศัพท์มากกว่า ผมเป็นคนทำอาหารเก่งครับ ชอบทำชอบกินชอบชิมแล้วก็จะถ่ายรูป ซึ่งพี่เค้าเองก็เป็นเหมือนกัน พวกผมสองคนจึงเริ่มคุยกันมากขึ้น แชร์สูตรอาหาร แชร์รูป แชร์เรื่องราวกันต่างๆมากมาย
แล้วทีนี้ เป็นกันมั๊ยครับว่าเวลาคุณมีปัญหาอะไร คุณอยากได้ใครสักคนที่คอยรับฟังในวันที่คุณไม่มีใครให้คุย? คนที่รับฟังผมตอนนั้นคือพี่เค้าครับ ทุกครั้งที่ผมมีปัญหาพี่เค้าจะรับฟังผม ให้ผมบ่นได้ ให้ผมเล่าเรื่องบ้าบอได้ทุกอย่างโดยที่ไม่เคยบ่นว่ารำคาญผมสักครั้ง อ่อ ลืมเล่าไปว่าตอนคุยแรกๆ พี่เค้ามักจะถามคำตอบคำ หรือบางทีก็ตอบข้ามวัน ตัวผมเองแรกๆก็ไม่อะไรนะ แต่หลังๆก็เลยพูดว่าถ้าพี่ตอบเร็วกว่านี้ก็คงจะดี พี่เค้าก็บอกว่า 'งั้นต่อไปพี่จะตอบให้เร็ว' นั่นแหละครับตั้งแต่นั้นพวกผมก็คุยกันมาตลอด คุยกันในทุกๆเรื่อง
จนอยู่มาวันนึง คือพี่เค้าเรียนวิศวะปีหนึ่งใช่มั๊ยครับ เรื่องเลขนี่ก็ขอให้บอก ผมอยากเรียนหมอแต่ดันโง่คณิตจึงต้องให้พี่เค้ามาช่วยเป็นติวเตอร์ให้ ทั้งฟิสิกส์และคณิตพี่เค้าจึงกลายเป็นติวเตอร์ให้ผมและเพื่อนๆไปโดยปริยาย แต่เรื่องมันก็เกิดขึ้นเพราะวันเกิดเพื่อนคนนึงในกลุ่มที่เป็นผู้หญิง นัดกันไปเล่นไอซ์เสก็ตกันครับ อีตอนแรกก็เล่นดีๆอยู่หรอกครับ แต่เมื่อผมเห็นว่าพี่เค้าประคองเพื่อนผม จับมือพาเดิน ผมก็กลับอารมณ์เสีย วิ่งรอบลานไอซ์สเก็ตเร็วจนหัวฟาดขอบเลย 55555 ตอนนั้นผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม รู้แต่ว่าเคือง รู้สึกแค่ว่าไม่ชอบที่พี่เค้าจับมือเพื่อนผญ ไม่ชอบให้เพื่อนผญเข้าไปอ้อนๆ พอเสร็จก็ไปปาร์ตี้กันต่อ ผมที่อารมณ์เสียเลยเลือกที่จะไม่นั่งข้างพี่เค้า เหมือนหนีอ่ะ แต่พี่เค้าก็กลับแลกที่นั่งมานั่งข้างผมถึงสามครั้ง! กระซิบถามผมว่าเป็นอะไร ผมก็ตอบไม่ได้จึงได้แค่บอกปัดไป พอผ่านไปวันหนึ่งก็อารมณ์ดีกลับมาคุยกันปกติ
จนเรื่องมันแดงว่าเพื่อนในกลุ่มนั่นแหละเริ่มจับสังเกตุผม เลยแกล้งให้เพื่อนคนนั้นเข้าไปทำแบบนั้น ผมเองก็เริ่มรู้สึกแล้วล่ะครับว่าผม'ไม่ได้คิดกับเขาแค่รุ่นพี่หรือแค่ติวเตอร์' ผมงงตัวเองครับตอนนั้นว่า "เฮ้ย!! ตกลงกูเป็นเกย์ใช่มั๊ย? กูชอบผู้ชายด้วยกันแล้วเหรอวะ?" ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมเคยจีบผู้หญิง เคยมีแฟน แต่ทำไมมันเกิดอะไรขึ้น? ผมไม่เก็บความสงสัยไว้กับตัวครับ เพื่อนจึงเป็นทางเลือกแรกที่ผมถาม แล้วคำตอบของมันก็คือ "กูว่ายังสับสน อาจแค่รู้สึกดีๆกับพี่เค้า" เพื่อนหลายคนก็แซวครับแรกๆ พูดแหย่เรื่องชื่อพี่เค้า พูดนู่นพูดนี่ให้ผมอายได้ทุกครั้ง แล้วตอนนี้ผมเลยมั่นใจมากครับว่าผม'ชอบ'พี่เค้าแล้วจริงๆ เพื่อนมันก็ถามว่าแล้วตกลงพวกสองคนยังไงกัน? ผมตอบไม่ได้ครับ เลยได้แต่บอกว่า "ไม่รู้ ไม่ใช่แฟน ไม่ใช่พี่ แต่กูอยากให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ กูพอใจที่ได้อยู่แบบนี้" ผมไม่รู้เหมือนกันว่าผมกำลังหลอกตัวเองอยู่รึเปล่า?
จนถึงม.6 ผมเริ่มที่จะเรียนหนักขึ้นอ่านหนังสือเยอะขึ้น พี่เค้าก็ขึ้นปีสองครับ ภาคโยธา โดยก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่พี่เค้าไปสังสรรค์กับเพื่อน เค้าจะส่งรูปหรือไม่ก็ไลน์มาบอกผม หรือแม้กระทั่งตอนไปซัมเมอร์ที่เมกา พี่เค้าก็ยังคุยกับผมปกติ สไกป์หากัน ตอนแรกผมก็กลัวนะว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่ผมคิด ผมคิดไปเองฝ่ายเดียวรึเปล่า? เกิดพี่เค้าไปพบรักที่นู่นทำไงวะ หมาเลยดิ แต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม พี่เค้ายังคุยกับผมมาตลอด
หลายครั้งที่เวลาผมเมาแล้วพี่เค้ายุ่งอยู่ พี่เค้าจะไลน์ถามเพื่อนว่าผมกลับบ้านหรือยัง เป็นยังไงบ้าง เมามากรึเปล่า? ถ้าครั้งไหนไปส่งได้พี่เค้าก็จะไปส่ง เมื่อตอนที่ผมประสบอุบัติเหตุนอนโรงพยาบาล ตอนแรกผมบอกแค่ว่าไม่เป็นไรไม่หนักมากเดี๋ยวก็ออกจากรพ.ได้แล้ว แต่พอรู้อาการจริงๆพี่เค้าก็รีบมาเยี่ยม ซื้ออาหารเจ้าโปรดของผมมาฝาก สัญญากันว่าจะไปกินร้านอาหารที่ผมชอบไปกัน พี่เค้าเริ่มทำให้ผมคิดไปไกล
ช่วงนี้ภาระเด็กม.6เริ่มหนัก ผมก็เครียดกับเรื่องสอบหมอ ภาวะกดดันหลายๆอย่างเริ่มรุมเร้าเข้ามาเรื่อยๆ แล้วคนที่รับฟังผมก็คือพี่เค้าในทุกครั้ง พี่เค้าใจเย็นรับฟังในทุกปัญหา ไม่ว่าเรื่องครอบครัวผมหรือเรื่องเรียน จนผมเองก็ถามไปหลายครั้งว่า"รำคาญรึเปล่า เลิกคุยกันก็ได้นะพี่" พี่เค้าก็บอกว่า"ไม่รำคาญ บ่นมาเถอะ พี่ฟังได้ แล้วพี่ก็โอเคมากที่เป็นแบบนี้ ไม่ต้องคิดมาก" ผมรู้สึกดีมากนะครับที่ได้ยินแบบนี้ ไม่แปลกใจที่ผม'เริ่มตกหลุมรัก'พี่เขามากขึ้นเรื่อยๆ
เหตุการณ์นึงคือ ผมทะเลาะครั้งใหญ่กับคุณพ่อเรื่องเรียน และผมตัดสินใจที่จะหนีจากปัญหาตรงหน้านี้ไปอยู่ที่ไหนสักแห่งก่อนชั่วคราว
คอนโดที่มีก็ไปไม่ได้เพราะพ่อยึด และที่พึ่งของผมตอนนั้นคือพี่เค้าครับ
ผมเอ่ยปากขอไปค้างที่คอนโดพี่เค้าสักสองคืน พี่เค้าถามครับว่าเกิดอะไรขึ้น ผมเป็นอะไร ผมได้แต่บอกว่าเดี๋ยวเล่าให้ฟัง สุดท้ายก็นัดเจอกันที่หน้าร้านเหล้าครับ เพราะตอนนั้นพี่เค้ากำลังสังสรรค์กับเพื่อนที่คณะอยู่ พอผมถึงพี่เค้าก็ขอตัวเพื่อนกลับก่อน ผมเองก็รู้สึกผิดนะที่จู่ๆพี่เค้าก็ต้องเลิกนัดกับเพื่อนกลางครันทั้งที่เพิ่งนั่งกินกันได้ไม่นาน พอถึงคอนโดพี่เค้า พวกผมก็นั่งคุยกันพี่เค้านั่งฟังผมเล่าเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด ฟังผมโดยที่ไม่ได้โต้แย้งผมสักคำแล้วคอยปลอบผม ให้กำลังใจ แล้วบอกให้ผมใจเย็น ค่อยๆเคลียร์กับที่บ้าน นั่งคุยกันอย่างนั้นจนเช้าอ่ะครับ สุดท้ายผมก็กลับบ้านแล้วก็ปรับความเข้าใจกันครับ ทุกอย่างผ่านไปโดยดี
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผมก็ยิ่งรู้สึกดีกับพี่เค้ามากขึ้นไปอีก รู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะขาดพี่เค้าไม่ได้ เพราะมีครั้งนึงตอนปีใหม่ ผมกำลังเตรียมขึ้นบ้านใหม่ใช่มั๊ยครับ ผมเลยต้องนอนเร็วกว่าปกติ ก็เลยไม่ได้อยู่เค้านท์ดาวน์ พี่เค้าก็เฉยๆกับเทศกาลทุกเทศกาลนี้อยู่แล้ว ผมก็เลยบอกว่าผมจะไปนอนแล้วนะ แฮปปี้นิวเยียร์ ขอบคุณที่อยู่ข้างผม ขอบคุณที่รับฟังผมมาตลอด พี่เค้าก็รับฟังแล้วก็อวยพรผมกลับมา แต่คำพูดนึงที่ทำให้ผมคิดมากจนถึงขั้นเพ้อ เพราะพี่เค้าบอกว่า
"ปีหน้าพี่ก็จะยังฟังเราต่อ จะอยู่ข้างๆแบบนี้แหละ"
หลังจากนั้นในทุกครั้งในการสอบ กำลังใจของผมคือการที่หน้าจอที่มีคำว่า'สู้ๆนะ'หรือคำอวยพรในทุกๆการสอบของผม
แต่เรื่องราวมันไม่ได้ดีอย่างนั้นเสมอไป ผมเริ่มที่จะติดพี่เค้ามากขึ้น เริ่มไม่พอใจกับ'สถานะ' ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ผมเริ่มงี่เง่ามากขึ้น
เอาแต่ใจมากขึ้น หลายครั้งที่ผมงี่เง่าใส่ แต่พี่เค้ารับรู้แล้วอธิบายให้ผมฟังแบบละเอียดยิบ ทั้งที่ไม่ใช่คนพูดมากหรือพูดเยอะ
จนผมเองก็รู้สึกว่าผมดูแย่มากๆไปเลยครับ
เนื่องจากพี่เค้าเรียนวิศวะโยธา งานพี่เค้าเริ่มที่จะหนัก เรียนเริ่มที่เยอะขึ้นเรื่อยๆ งานแล้วงานเล่าที่ทำให้ผมรู้สึก'ห่าง'จากพี่เค้าเรื่อยๆ
สอบก็เยอะมาก จนพวกผมเริ่มคุยกันน้อยลง มีบ้างที่ผมบ่นไปทั้งที่ก็เกรงใจ แต่มันอดไม่ได้ พี่เค้าก็บอกว่าอย่าคิดมากเลย อย่าเครียด
แต่มันจะมีกี่คนครับที่ทำได้?
เหตุการณ์ที่เป็นแบบนี้ทำให้ผมกลายเป็นคนคิดมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงนี้คุยกันน้อยลงมากๆ พี่เค้าว่างเฉพาะวันศุกร์-อาทิตย์ที่จะได้คุย
หรือบางครั้งคุยกันได้ไม่นานก็หายไปเลย แล้วพอศุกร์ถัดไปก็จะกลับมาใหม่ มีบ่นให้ผมฟังเรื่องงาน เรื่องค่ายบ้าง ทุกครั้งพี่เค้าก็
ขอโทษนะครับที่หายไปแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันเหมือนเริ่มถอยห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ ผมกำลังรู้สึกตัวเองแย่ลงเรื่อยๆ
เพื่อนผมเริ่มที่จะถามกันว่าตกลงผมเป็นยังไง คุยกันแบบนี้มาสองปีกว่าแล้วยังไม่มีอะไรเหรอ? จะคุยกันแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆใช่มั๊ย? ผมเก็บคำพูดเพื่อนมาคิด บ้ามากครับ เริ่มน้อยใจ เริ่มคิดมาก เริ่มตั้งความหวังไปต่างๆนาๆ เริ่มคิดที่ว่าพี่เค้ากำลัง'เปลี่ยนไป' ผมเลยตัดสินใจครับว่าจะนัดพี่เค้ามาคุยกันตรงๆ ผมเองอยากลองที่จะบอกความรู้สึกจริงๆไปซักที ก่อนที่ผมจะไม่มีโอกาสได้บอก
ผมเองก็เตรียมใจที่จะยอมรับคำตอบนั้นแล้วครับ ไม่ว่าคำตอบนั้นผมจะเป็นคนที่คิดไปเองฝ่ายเดียวรึเปล่า....
สุดท้ายคำถามของผมที่มันกวนจิตใจมาตลอด 'คนที่ไม่รู้สึกอะไรกัน จะคุยกันมาได้นานถึงสองปีมั๊ยครับ? จะคุยกันได้ทุกเรื่องทุกปัญหาแบบที่ผมเล่าให้ฟังมั๊ยครับ? หรือผมอาจเป็นแค่รุ่นน้องในสายตาพี่เค้าจริงๆ?'
ขอบคุณที่ทุกคนช่วยรับฟังผมด้วยนะครับ
คนที่ไม่ได้รู้สึกอะไรกันจะคุยกันมาได้ตลอดสองปีมั๊ย?
หรือประโยคใดๆผิดไป ก็ขออภัยด้วยนะครับ ยาวนิดนึงนะครับ แค่อยากปรึกษาเรื่องนี้กับคนอื่นบ้าง
เข้าเรื่องดีกว่า ต้องขอแนะนำตัวก่อน จขกท.เคยเป็นผู้ชาย(ย้ำว่าเคย) เรียนชายล้วนและจะจบม.ปลายแล้ว รอเข้ามหาลัยอย่างเดียวละตอนนี้ ผมเป็นคนร่าเริงครับ ชิวๆเฮฮาไปเรื่อย แต่ก็ไม่ได้เอะอะโหวกเหวกโวยวายแบบนักเลงหัวไม้ขนาดนั้น ถ้าเทียบกับเพื่อนในห้องก็จะเป็นคนแบบเรียบร้อยแต่ไม่ใช่ว่าเป็นคนดี แกล้งเพื่อนทำอะไรได้ตามปกติ ไม่ใช่ประเภทติ๋มๆหงิมๆเด็กเนิร์ดขนาดนั้นบ้าหอบหนังสือเรียนเป็นตั้งๆ โรงเรียนผมมีหลายคู่ครับที่คบกันแบบ ช-ชเปิดเผยกันรู้กันในวงเพื่อน หรือไปคบกับเด็กชายล้วนอีกโรงเรียนหนึ่งละแวกใกล้เคียงกันก็มี ตัวผมเองก็เฉยๆนะตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร มองเป็นเรื่องปกติ
ผมได้รู้จัก'พี่'คนนึงจากการไปร่วมงานด้วยกัน การทำงานนี้ใช้เวลาหลายเดือน ต้องซ้อมต้องบรีฟงานกันอยู่นานทีเดียว
ระหว่างนั้นผมก็ปกติ รู้จักคนไปทั่ว เฮฮาเข้ากับคนง่ายครับ แล้วบังเอิญได้รู้จักกับ'พี่' คนนึงเข้าเพราะพี่เขาลืมกระเป๋าเอาไว้
แล้วผมก็เป็นคนเดียวตอนนั้นที่มีไลน์ของพี่เค้า เพราะคนอื่นๆตอนนั้นไม่มีใครมีเลย ตามธรรมเนียมครับผมเลยทักพี่เขาไปเรื่องกระเป๋า
บุคลิกของพี่เค้าคือ เป็นคนนิ่ง ใจเย็น ใครที่ไม่สนิทจะรู้สึกว่าพี่เขาหยิ่ง หน้าโหด แต่พอสนิทด้วยจริงๆแล้วไม่ใช่คนแบบนั้นเลยครับ เป็นคนที่ใจดี ถ้าคุยเรื่องถูกคอแล้วล่ะก็พูดเป็นต่อยหอย จนคนพูดมากแบบผมต้องหยุดฟัง ประกอบกับพี่เขาเรียนวิศวะด้วยมั้งครับเลยทำให้ดูน่าเกรงขาม ฉลาด หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรมาก ผมก็แค่นัดให้พี่เขาเจอกันที่ลานโบว์ลิ่ง เพื่อเอากระเป๋าคืน แล้วพวกผมก็อยู่ฉลองกันต่อซึ่งพี่เค้าก็อยู่ด้วย พอเสร็จทุกคนต่างแยกย้ายกลับบ้าน ผมต้องรอคนที่บ้านมารับก็กะเดินเล่นไปเรื่อย ซึ่งพี่เค้าก็ถามผมว่าอยู่คนเดียวได้เหรอ? ให้อยู่เป็นเพื่อนมั๊ย? ผมก็บอกว่าไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมเดินเล่นรอพ่อ แล้วก็เลยเดินกันไปเรื่อยๆ ถามนู่นถามนี่ไปเรื่อยเปื่อยเลยได้รู้ว่าคอนโดพี่เค้าอยู่แถวนั้นเอง สุดท้ายผมเลยไปนั่งเล่นที่คอนโดของพี่เค้า นั่งแค่ตรงรีเซปชั่นรับรองแขกด้านล่างนะครับไม่ได้ขึ้นบนห้อง จนพ่อมารับผมก็กลับแยกย้ายตามปกติ
แล้วพอทีนี้ทุกคนเริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ 'ไลน์กลุ่ม' จึงเกิดขึ้น ทุกคนถูกชักชวนเข้าไม่เว้นแม้แต่ผมหรือพี่เค้า คุยกันเรื่อยเปื่อยครับ สัพเพเหระอ่ะ จนผ่านไปมันจะมีคนนึงที่นิสัยเสียชอบส่งรูปอาหารตอนดึกๆลงกลุ่ม ซึ่งคนๆนั้นก็คือผมเอง ผมเป็นคนส่งเป็นประจำ แต่แล้ววันนึงพี่เค้าก็ส่งรูปอาหารนี้มาแข่งกัน พวกผมสองคนเริ่มแข่งกันส่งรูปอาหารลงกรุ๊ปกันเรื่อยๆ อวดว่าของใครน่ากินมากกว่ากัน เบ่งกันไปมา โดยที่พี่เค้าเป็นคนพิมน้อย แค่คำสองครับก็หาย การส่ง'ไลน์ส่วนตัว' จึงค่อยๆเกิดขึ้น เอาจริงผมเองก็ลืมไปแล้วว่าเริ่มคุยส่วนตัวกับพี่เขาตอนไหน เพราะตั้งแต่จบงานนั้นมา หน้าแชทของผมจะขึ้นชื่อของพี่เค้าเป็นคนแรกเสมอ และเป็นแบบนั้นตลอดมาสองปี
ตัวผมเองเริ่มรู้ตัวเองแหละครับว่าผม 'ขาดโทรศัพท์ไม่ได้' ไม่ใช่เพราะมือติดกาวนะ 5555 เพราะผมกำลังเริ่ม'ติด'คนในโทรศัพท์มากกว่า ผมเป็นคนทำอาหารเก่งครับ ชอบทำชอบกินชอบชิมแล้วก็จะถ่ายรูป ซึ่งพี่เค้าเองก็เป็นเหมือนกัน พวกผมสองคนจึงเริ่มคุยกันมากขึ้น แชร์สูตรอาหาร แชร์รูป แชร์เรื่องราวกันต่างๆมากมาย
แล้วทีนี้ เป็นกันมั๊ยครับว่าเวลาคุณมีปัญหาอะไร คุณอยากได้ใครสักคนที่คอยรับฟังในวันที่คุณไม่มีใครให้คุย? คนที่รับฟังผมตอนนั้นคือพี่เค้าครับ ทุกครั้งที่ผมมีปัญหาพี่เค้าจะรับฟังผม ให้ผมบ่นได้ ให้ผมเล่าเรื่องบ้าบอได้ทุกอย่างโดยที่ไม่เคยบ่นว่ารำคาญผมสักครั้ง อ่อ ลืมเล่าไปว่าตอนคุยแรกๆ พี่เค้ามักจะถามคำตอบคำ หรือบางทีก็ตอบข้ามวัน ตัวผมเองแรกๆก็ไม่อะไรนะ แต่หลังๆก็เลยพูดว่าถ้าพี่ตอบเร็วกว่านี้ก็คงจะดี พี่เค้าก็บอกว่า 'งั้นต่อไปพี่จะตอบให้เร็ว' นั่นแหละครับตั้งแต่นั้นพวกผมก็คุยกันมาตลอด คุยกันในทุกๆเรื่อง
จนอยู่มาวันนึง คือพี่เค้าเรียนวิศวะปีหนึ่งใช่มั๊ยครับ เรื่องเลขนี่ก็ขอให้บอก ผมอยากเรียนหมอแต่ดันโง่คณิตจึงต้องให้พี่เค้ามาช่วยเป็นติวเตอร์ให้ ทั้งฟิสิกส์และคณิตพี่เค้าจึงกลายเป็นติวเตอร์ให้ผมและเพื่อนๆไปโดยปริยาย แต่เรื่องมันก็เกิดขึ้นเพราะวันเกิดเพื่อนคนนึงในกลุ่มที่เป็นผู้หญิง นัดกันไปเล่นไอซ์เสก็ตกันครับ อีตอนแรกก็เล่นดีๆอยู่หรอกครับ แต่เมื่อผมเห็นว่าพี่เค้าประคองเพื่อนผม จับมือพาเดิน ผมก็กลับอารมณ์เสีย วิ่งรอบลานไอซ์สเก็ตเร็วจนหัวฟาดขอบเลย 55555 ตอนนั้นผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม รู้แต่ว่าเคือง รู้สึกแค่ว่าไม่ชอบที่พี่เค้าจับมือเพื่อนผญ ไม่ชอบให้เพื่อนผญเข้าไปอ้อนๆ พอเสร็จก็ไปปาร์ตี้กันต่อ ผมที่อารมณ์เสียเลยเลือกที่จะไม่นั่งข้างพี่เค้า เหมือนหนีอ่ะ แต่พี่เค้าก็กลับแลกที่นั่งมานั่งข้างผมถึงสามครั้ง! กระซิบถามผมว่าเป็นอะไร ผมก็ตอบไม่ได้จึงได้แค่บอกปัดไป พอผ่านไปวันหนึ่งก็อารมณ์ดีกลับมาคุยกันปกติ
จนเรื่องมันแดงว่าเพื่อนในกลุ่มนั่นแหละเริ่มจับสังเกตุผม เลยแกล้งให้เพื่อนคนนั้นเข้าไปทำแบบนั้น ผมเองก็เริ่มรู้สึกแล้วล่ะครับว่าผม'ไม่ได้คิดกับเขาแค่รุ่นพี่หรือแค่ติวเตอร์' ผมงงตัวเองครับตอนนั้นว่า "เฮ้ย!! ตกลงกูเป็นเกย์ใช่มั๊ย? กูชอบผู้ชายด้วยกันแล้วเหรอวะ?" ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมเคยจีบผู้หญิง เคยมีแฟน แต่ทำไมมันเกิดอะไรขึ้น? ผมไม่เก็บความสงสัยไว้กับตัวครับ เพื่อนจึงเป็นทางเลือกแรกที่ผมถาม แล้วคำตอบของมันก็คือ "กูว่ายังสับสน อาจแค่รู้สึกดีๆกับพี่เค้า" เพื่อนหลายคนก็แซวครับแรกๆ พูดแหย่เรื่องชื่อพี่เค้า พูดนู่นพูดนี่ให้ผมอายได้ทุกครั้ง แล้วตอนนี้ผมเลยมั่นใจมากครับว่าผม'ชอบ'พี่เค้าแล้วจริงๆ เพื่อนมันก็ถามว่าแล้วตกลงพวกสองคนยังไงกัน? ผมตอบไม่ได้ครับ เลยได้แต่บอกว่า "ไม่รู้ ไม่ใช่แฟน ไม่ใช่พี่ แต่กูอยากให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ กูพอใจที่ได้อยู่แบบนี้" ผมไม่รู้เหมือนกันว่าผมกำลังหลอกตัวเองอยู่รึเปล่า?
จนถึงม.6 ผมเริ่มที่จะเรียนหนักขึ้นอ่านหนังสือเยอะขึ้น พี่เค้าก็ขึ้นปีสองครับ ภาคโยธา โดยก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่พี่เค้าไปสังสรรค์กับเพื่อน เค้าจะส่งรูปหรือไม่ก็ไลน์มาบอกผม หรือแม้กระทั่งตอนไปซัมเมอร์ที่เมกา พี่เค้าก็ยังคุยกับผมปกติ สไกป์หากัน ตอนแรกผมก็กลัวนะว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่ผมคิด ผมคิดไปเองฝ่ายเดียวรึเปล่า? เกิดพี่เค้าไปพบรักที่นู่นทำไงวะ หมาเลยดิ แต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม พี่เค้ายังคุยกับผมมาตลอด
หลายครั้งที่เวลาผมเมาแล้วพี่เค้ายุ่งอยู่ พี่เค้าจะไลน์ถามเพื่อนว่าผมกลับบ้านหรือยัง เป็นยังไงบ้าง เมามากรึเปล่า? ถ้าครั้งไหนไปส่งได้พี่เค้าก็จะไปส่ง เมื่อตอนที่ผมประสบอุบัติเหตุนอนโรงพยาบาล ตอนแรกผมบอกแค่ว่าไม่เป็นไรไม่หนักมากเดี๋ยวก็ออกจากรพ.ได้แล้ว แต่พอรู้อาการจริงๆพี่เค้าก็รีบมาเยี่ยม ซื้ออาหารเจ้าโปรดของผมมาฝาก สัญญากันว่าจะไปกินร้านอาหารที่ผมชอบไปกัน พี่เค้าเริ่มทำให้ผมคิดไปไกล
ช่วงนี้ภาระเด็กม.6เริ่มหนัก ผมก็เครียดกับเรื่องสอบหมอ ภาวะกดดันหลายๆอย่างเริ่มรุมเร้าเข้ามาเรื่อยๆ แล้วคนที่รับฟังผมก็คือพี่เค้าในทุกครั้ง พี่เค้าใจเย็นรับฟังในทุกปัญหา ไม่ว่าเรื่องครอบครัวผมหรือเรื่องเรียน จนผมเองก็ถามไปหลายครั้งว่า"รำคาญรึเปล่า เลิกคุยกันก็ได้นะพี่" พี่เค้าก็บอกว่า"ไม่รำคาญ บ่นมาเถอะ พี่ฟังได้ แล้วพี่ก็โอเคมากที่เป็นแบบนี้ ไม่ต้องคิดมาก" ผมรู้สึกดีมากนะครับที่ได้ยินแบบนี้ ไม่แปลกใจที่ผม'เริ่มตกหลุมรัก'พี่เขามากขึ้นเรื่อยๆ
เหตุการณ์นึงคือ ผมทะเลาะครั้งใหญ่กับคุณพ่อเรื่องเรียน และผมตัดสินใจที่จะหนีจากปัญหาตรงหน้านี้ไปอยู่ที่ไหนสักแห่งก่อนชั่วคราว
คอนโดที่มีก็ไปไม่ได้เพราะพ่อยึด และที่พึ่งของผมตอนนั้นคือพี่เค้าครับ
ผมเอ่ยปากขอไปค้างที่คอนโดพี่เค้าสักสองคืน พี่เค้าถามครับว่าเกิดอะไรขึ้น ผมเป็นอะไร ผมได้แต่บอกว่าเดี๋ยวเล่าให้ฟัง สุดท้ายก็นัดเจอกันที่หน้าร้านเหล้าครับ เพราะตอนนั้นพี่เค้ากำลังสังสรรค์กับเพื่อนที่คณะอยู่ พอผมถึงพี่เค้าก็ขอตัวเพื่อนกลับก่อน ผมเองก็รู้สึกผิดนะที่จู่ๆพี่เค้าก็ต้องเลิกนัดกับเพื่อนกลางครันทั้งที่เพิ่งนั่งกินกันได้ไม่นาน พอถึงคอนโดพี่เค้า พวกผมก็นั่งคุยกันพี่เค้านั่งฟังผมเล่าเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด ฟังผมโดยที่ไม่ได้โต้แย้งผมสักคำแล้วคอยปลอบผม ให้กำลังใจ แล้วบอกให้ผมใจเย็น ค่อยๆเคลียร์กับที่บ้าน นั่งคุยกันอย่างนั้นจนเช้าอ่ะครับ สุดท้ายผมก็กลับบ้านแล้วก็ปรับความเข้าใจกันครับ ทุกอย่างผ่านไปโดยดี
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผมก็ยิ่งรู้สึกดีกับพี่เค้ามากขึ้นไปอีก รู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะขาดพี่เค้าไม่ได้ เพราะมีครั้งนึงตอนปีใหม่ ผมกำลังเตรียมขึ้นบ้านใหม่ใช่มั๊ยครับ ผมเลยต้องนอนเร็วกว่าปกติ ก็เลยไม่ได้อยู่เค้านท์ดาวน์ พี่เค้าก็เฉยๆกับเทศกาลทุกเทศกาลนี้อยู่แล้ว ผมก็เลยบอกว่าผมจะไปนอนแล้วนะ แฮปปี้นิวเยียร์ ขอบคุณที่อยู่ข้างผม ขอบคุณที่รับฟังผมมาตลอด พี่เค้าก็รับฟังแล้วก็อวยพรผมกลับมา แต่คำพูดนึงที่ทำให้ผมคิดมากจนถึงขั้นเพ้อ เพราะพี่เค้าบอกว่า
"ปีหน้าพี่ก็จะยังฟังเราต่อ จะอยู่ข้างๆแบบนี้แหละ"
หลังจากนั้นในทุกครั้งในการสอบ กำลังใจของผมคือการที่หน้าจอที่มีคำว่า'สู้ๆนะ'หรือคำอวยพรในทุกๆการสอบของผม
แต่เรื่องราวมันไม่ได้ดีอย่างนั้นเสมอไป ผมเริ่มที่จะติดพี่เค้ามากขึ้น เริ่มไม่พอใจกับ'สถานะ' ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ผมเริ่มงี่เง่ามากขึ้น
เอาแต่ใจมากขึ้น หลายครั้งที่ผมงี่เง่าใส่ แต่พี่เค้ารับรู้แล้วอธิบายให้ผมฟังแบบละเอียดยิบ ทั้งที่ไม่ใช่คนพูดมากหรือพูดเยอะ
จนผมเองก็รู้สึกว่าผมดูแย่มากๆไปเลยครับ
เนื่องจากพี่เค้าเรียนวิศวะโยธา งานพี่เค้าเริ่มที่จะหนัก เรียนเริ่มที่เยอะขึ้นเรื่อยๆ งานแล้วงานเล่าที่ทำให้ผมรู้สึก'ห่าง'จากพี่เค้าเรื่อยๆ
สอบก็เยอะมาก จนพวกผมเริ่มคุยกันน้อยลง มีบ้างที่ผมบ่นไปทั้งที่ก็เกรงใจ แต่มันอดไม่ได้ พี่เค้าก็บอกว่าอย่าคิดมากเลย อย่าเครียด
แต่มันจะมีกี่คนครับที่ทำได้?
เหตุการณ์ที่เป็นแบบนี้ทำให้ผมกลายเป็นคนคิดมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงนี้คุยกันน้อยลงมากๆ พี่เค้าว่างเฉพาะวันศุกร์-อาทิตย์ที่จะได้คุย
หรือบางครั้งคุยกันได้ไม่นานก็หายไปเลย แล้วพอศุกร์ถัดไปก็จะกลับมาใหม่ มีบ่นให้ผมฟังเรื่องงาน เรื่องค่ายบ้าง ทุกครั้งพี่เค้าก็
ขอโทษนะครับที่หายไปแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันเหมือนเริ่มถอยห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ ผมกำลังรู้สึกตัวเองแย่ลงเรื่อยๆ
เพื่อนผมเริ่มที่จะถามกันว่าตกลงผมเป็นยังไง คุยกันแบบนี้มาสองปีกว่าแล้วยังไม่มีอะไรเหรอ? จะคุยกันแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆใช่มั๊ย? ผมเก็บคำพูดเพื่อนมาคิด บ้ามากครับ เริ่มน้อยใจ เริ่มคิดมาก เริ่มตั้งความหวังไปต่างๆนาๆ เริ่มคิดที่ว่าพี่เค้ากำลัง'เปลี่ยนไป' ผมเลยตัดสินใจครับว่าจะนัดพี่เค้ามาคุยกันตรงๆ ผมเองอยากลองที่จะบอกความรู้สึกจริงๆไปซักที ก่อนที่ผมจะไม่มีโอกาสได้บอก
ผมเองก็เตรียมใจที่จะยอมรับคำตอบนั้นแล้วครับ ไม่ว่าคำตอบนั้นผมจะเป็นคนที่คิดไปเองฝ่ายเดียวรึเปล่า....
สุดท้ายคำถามของผมที่มันกวนจิตใจมาตลอด 'คนที่ไม่รู้สึกอะไรกัน จะคุยกันมาได้นานถึงสองปีมั๊ยครับ? จะคุยกันได้ทุกเรื่องทุกปัญหาแบบที่ผมเล่าให้ฟังมั๊ยครับ? หรือผมอาจเป็นแค่รุ่นน้องในสายตาพี่เค้าจริงๆ?'
ขอบคุณที่ทุกคนช่วยรับฟังผมด้วยนะครับ