บทเรียนที่รัฐบบาลอเมริกา โดยมีบุคคนสำคัญคือ แมคคาที และ J. Edgar Hoover พยายามใช้ทุกวิธีทางในการลิดรอนเสรีภาพของคนอเมริกันไม่ว่าจะติดเครื่องดักฟัง แอบสะกดรอย ข่มขู่ สอดแนม ฯลฯ รวมไปถึงคณะกรรมการตรวจสอบกิจกรรมที่ไม่เป็นอเมริกันของวุฒิสภา
ก่อนไทยจะมี พรบ ไซเบอร์ไปดูบทเรียนจากการสอดแนม ดักฟัง ของผู้คนในอดีตยุค McCarthyism
ยาวแต่สนุก เศร้า และได้บทเรียน อ่านห้านาทีก็จบแระ
หากใครคิดว่าสหรัฐ ฯคือดินแดนแห่งเสรีภาพ ที่เต็มไปด้วยอิสระทางความคิดหรือการกระทำ ก็ถือว่าไม่ผิดนัก แต่ก็ไม่ถูกทั้งหมด ที่ถูกก็เพราะสหรัฐ ฯ ในทศวรรษที่ห้าสิบเป็นยุคที่มีการต่อสู้ของกลุ่มมวลชนเช่นคนผิวดำเพื่อเสรีภาพ ดังภาษาอังกฤษที่ว่า Civil right Movement ที่นำโดยสาธุคุณ Martin Luther King Jr. (แต่เป็นคนที่ต่อมาถูกยิงตายอย่างน่าอนาถเช่นเดียวกับ Malcolm X) ในขณะเดียวกันสงครามเย็นซึ่งเริ่มต้นตั้งปลายทศวรรษที่สี่สิบได้ทำให้สหรัฐ ฯเกิดมุมมืดทางสังคมขึ้นมาอย่างน่าละอายใจในทศวรรษที่ห้าสิบนั้นคือ การล่าแม่มด (Witch-hunt) ซึ่งไม่ใช่การตามล่าผู้เล่นไสยศาสตร์มนต์ดำเหมือนยุโรปอีกต่อไป หากพ่อมดและแม่มดนั้นอยู่ภายใต้ชื่อใหม่คือ คอมมิวนิสต์และลัทธิการล่าก็อุบัติขึ้นภายใต้ชื่อ McCarthyism ซึ่งตั้งตามชื่อของวุฒิสมาชิกคือ Joseph McCarthy แห่งพรรค Republican
(แม็คคาธีนั่งอยู่ตรงกลาง ส่วนด้านขวาคือ Roy cohn ลูกน้องซึ่งละครโทรทัศน์เรื่อง Angels in America เอาเขาไปเป็นหนึ่งในตัวละคร)
นอกจากนี้เรายังต้องขอบคุณผู้ร่วมล่าอีกคนคือ F.B.I ภายใต้การก่อตั้งและการอำนวยการของ J. Edgar Hoover ซึ่งใช้ทุกวิธีทางในการลิดรอนเสรีภาพของคนอเมริกันไม่ว่าจะติดเครื่องดักฟัง แอบสะกดรอย ข่มขู่ ฯลฯ รวมไปถึงคณะกรรมการตรวจสอบกิจกรรมที่ไม่เป็นอเมริกันของวุฒิสภา (HUAC – House Unamerican Activities Committee) หากนึกภาพไม่ออกก็ลองนึกถึงหนังเรื่อง Majestic ที่ Jim Carrey แสดงเป็นนักเขียนบทภาพยนตร์แต่ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมค่อนไปทางคอมมิวนิสต์ แต่แล้วเขาก็ประสบอุบัติเหตุจนลืมทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตและหลงเข้าไปในเมือง ๆ หนึ่งแต่สุดท้ายมีเขาก็ต้องกลับไปให้การต่อคณะกรรมการนี้อย่างองอาจ
(HUAC ขณะมีการไตร่สวน)
การล่าคอมมิวนิสต์ ในช่วงปี 1950-1954 คือการกล่าวหาว่าบุคคล ๆ นั้นมีพฤติกรรมการเป็นคอมมิวนิสต์ หรือเป็นสายลับของโซเวียต ได้ทำให้บุคคลในวงการต่างๆ เช่น วิทยาศาสตร์ นักการทูต นักเขียน กองทัพ แม้แต่ฮอลลี่วู๊ดในยุคสี่สิบและห้าสิบต้องพบกับมรสุมชีวิต หลายคนเอาตัวรอดมาได้ แต่หลายๆ คนไม่โชคดีต้องติดคุกหรือต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ มีอยู่เป็นจำนวนมากที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะคำกล่าวหาจริงบ้างไม่จริงบ้าง ทั้งนี้เราอาจจะต้องคำนึงถึงความทะเยอทะยานของ แม็คคาธี เองที่ต้องการโด่งดัง ยิ่งใหญ่ เช่นเขามักจะกล่าวคำปราศรัยอันยาวยืดและกล่าวหาว่าองค์กรของรัฐเช่น กระทรวงการต่างประเทศจะมีลูกจ้างหรือข้าราชการที่แอบสังกัดพรรคคอมมิวนิสต์อยู่ ทำให้ต้องมีการสืบสวนกันขนานใหญ่ซึ่งก็รอดบ้างไม่รอดบ้าง
น่าเสียดายเป็นยิ่งนัก เมื่อจีนแผ่นดินใหญ่กลายเป็นคอมมิวนิสต์ในปี 1949 ในช่วงล่าแม่มดนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านจีนแผ่นดินใหญ่ของกระทรวงการต่างประเทศโดนกลาดล้างไปเสียสิ้น จนเป็นเหตุให้ในช่วงทศวรรษที่หกสิบที่สหรัฐ ฯ ทำสงครามเวียดนาม แต่ขาดคนเชี่ยวชาญด้านเอเชีย (จีนกับเวียดนามมีอาณาเขตติดต่อกันและมีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกันในหลายด้าน) อันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สหรัฐ ฯ แพ้สงครามเวียดนาม
(การ์ตูนล้อเลียนภาพของแม็คคาธีและประธานาธิบดีไอเซนฮาวซึ่งมองเขาด้วยความประหวั่นใจ)
เหยื่อของเขาบางทีก็ตัวใหญ่ขนาดที่คนได้ยินถึงกลับอ้าปากค้างเช่น นายพล George C. Marshall นายพลระดับห้าดาวโดนกล่าวหาว่าทรยศต่อชาติ แม้แต่ประธานาธิบดี Henry S.Truman เองก็โดนนายแม็คคาธีหาว่า อ่อนข้อให้กับพวกคอมมิวนิสต์ ปกป้องสายลับโซเวียต และยังด่าเหน็บแนมว่า ทรูแมนเป็น “ทรัพย์สินที่ดีที่สุดเท่าที่เครลิมเคยมีมา” แม็คคาธีมีอิทธิพลถึงขนาดที่ว่าประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower (ต่อจากทรูแมน) ยัง รู้สึกหวาดกลัวเขา และหลีกเลี่ยงที่จะโจมตีหรือวิพากษ์วิจารณ์ แต่แม็คคาธี ก็มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเคนนาดี้ โดยเฉพาะ Joseph Kennedy บิดาของ John F. Kennedy เพราะเป็นชาวอเมริกันไอริชเหมือนกัน Robert Kennedyยังได้ทำงานเป็นลูกน้องของแม็คคาธี
แต่แม็คคาธีมาตกต่ำในปี 1954 เมื่อเขาออกรายงานถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์เป็นครั้งแรก และประณามพรรคDemocrat รวมทั้งกองทัพ (ที่พยายามจะเล่นงานเขาคืน) ด้วยถ้อยคำที่เผ็ดร้อนและรุนแรง จนทำให้ผู้ดูทางบ้านรับไม่ได้ ความนิยมก็ตกลงอย่างรวดเร็วจนเขาหมดบทบาททางการเมืองอย่างรวดเร็ว
ไม่ใช่แค่คอมมิวนิสต์เท่านั้นหากรวมไปถึงการเป็นพวกรักร่วมเพศ ซึ่งต้องห้ามอย่างมากในสังคมอเมริกันในยุคห้าสิบ หากพบว่าใครเป็นอาจจะต้องตกงานหรือติดคุกในที่สุด ( เป็นเรื่องตลกที่ว่าเกิดมีผู้ชายหิ้วกระเป๋าของผู้หญิงในที่สาธารณะอาจโดนตำรวจจำกุมได้) จึงกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของแม็คคาธี และผู้ช่วยตัวแสบของเขาคือ Roy Cohn หรือแม้แต่ FBI ที่จะสืบให้ได้ว่าใครเป็นพวกรักร่วมเพศ แล้วข่มขู่เพื่อรีดเอาข้อมูลบางอย่าง พวกรักร่วมเพศจึงเป็นแพะรับบาปเช่นเดียวกับคอมมิวนิสต์หรือสายลับโซเวียต
ต่อไปนี้เป็นรายชื่อเพียงน้อยนิดของคนโชคร้ายถูกกว่าหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์และเรารู้จักกันดี
1.David Bohm นักฟิสิกส์ ชื่อดังที่ทำงานอยู่ใน Manhattan Project ที่สร้างนิวเคลียร์ ถูก HUAC เรียกตัวไปสอบ แต่ปฏิเสธไม่ยอมตอบคำถาม เลยถูกจับกุม แต่พ้นผิดในปี 1951 กระนั้นก็ต้องเดินทางจากอเมริกาไปสอนหนังสือที่บราซิล
(ภาพของเดวิด บอห์ม)
2. Albert Einstein นักวิทยาศาสตร์นามอุโฆษ ถึงแม้เขาจะไม่ถูกแม็คคาธีโจมตีตรง ๆ แต่เขาถูก FBI โดยฮูเวอร์จับตาชนิดไม่ยอมกระพริบและระบุในแฟ้มลับหนาเป็นปึก ๆ ไอนส์ไตน์ว่ามีพฤติกรรมฝักใฝ่ไปทางคอมมิวนิสต์ ทั้งที่ไม่มีมูลความจริงเลยเพราะไอนส์ไตน์มีความคิดแบบเสรีนิยมและรักสันติภาพ
3. Charlie Chaplin ตลกอัจฉริยะ แต่ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมไม่เป็นอเมริกัน(นั่นคือเป็นคอมมิวนิสต์ )อาจเพราะมีคนตีความคำพูดของเขาในหนังสุดยอดเรื่อง The Great Dictator (1940) หนังที่เขาแต่งตัวเลียนแบบฮิตเลอร์ ว่าค่อนข้างไปทางซ้าย แถมเชปปลิ้นยังเคยไปหักหน้าฮูเวอร์ ผ.อ.เอฟบีไอเล่นงานจะถอนสัญชาติอเมริกันของเขา จนเชปปลิ้นต้องลี้ภัยกลับไปบ้านเกิดของตัวเองคืออังกฤษและสวิสเซอร์แลนด์ ในท้ายสุด
4.Arthur Miller นักเขียนชื่อดังที่เพิ่งวายชนม์เมื่อต้นปีนี้เอง เจ้าของเรื่อง อวสานเซลล์แมน (Death of a Salesman ) และ The Crucible เรื่อง Crucible เป็นเรื่องเกี่ยวกับการล่าแม่มดในอเมริกาเมื่อศตวรรษที่ 17 (ที่ทำเป็นหนังแสดงโดย Winona Ryder และ Daniel Day-Lewis) เป็นการเปรียบเปรยกับการล่าแม่มดของ แม็คคาธีที่ ตัวมิลเลอร์เองกำลังโดนเล่นงานอยู่ เขาไปให้การต่อ HUAC และถูกตัดสินว่าผิดข้อหาไม่ยอมเปิดเผยชื่อของเพื่อนร่วมงานที่เป็นคอมมิวนิสต์แต่ก็พ้นผิดในภายหลัง
5.John Garfield ดาราหนังฮอลลี่วู๊ดที่มีชื่อเสียง ถูก HUAC สอบสวน แต่ก็ปฏิเสธไม่ยอมบอกว่าใครเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งความจริงนั้นภรรยาของ
เขาเป็น การ์ฟิวด์ไม่ได้โดนเล่นงานโดยตรงเพราะขาดหลักฐานแต่ชื่อของเขาถูก Blacklist จากบรรดาค่ายหนัง เลยกลายเป็นดาวร่วงไป
http://thaicafe.blogspot.com/2012/08/1947-1991.html
ก่อนไทยจะมี พรบ ไซเบอร์ไปดูบทเรียนจากการสอดแนม ดักฟัง ของผู้คนในอดีตยุค McCarthyism
ก่อนไทยจะมี พรบ ไซเบอร์ไปดูบทเรียนจากการสอดแนม ดักฟัง ของผู้คนในอดีตยุค McCarthyism
ยาวแต่สนุก เศร้า และได้บทเรียน อ่านห้านาทีก็จบแระ
หากใครคิดว่าสหรัฐ ฯคือดินแดนแห่งเสรีภาพ ที่เต็มไปด้วยอิสระทางความคิดหรือการกระทำ ก็ถือว่าไม่ผิดนัก แต่ก็ไม่ถูกทั้งหมด ที่ถูกก็เพราะสหรัฐ ฯ ในทศวรรษที่ห้าสิบเป็นยุคที่มีการต่อสู้ของกลุ่มมวลชนเช่นคนผิวดำเพื่อเสรีภาพ ดังภาษาอังกฤษที่ว่า Civil right Movement ที่นำโดยสาธุคุณ Martin Luther King Jr. (แต่เป็นคนที่ต่อมาถูกยิงตายอย่างน่าอนาถเช่นเดียวกับ Malcolm X) ในขณะเดียวกันสงครามเย็นซึ่งเริ่มต้นตั้งปลายทศวรรษที่สี่สิบได้ทำให้สหรัฐ ฯเกิดมุมมืดทางสังคมขึ้นมาอย่างน่าละอายใจในทศวรรษที่ห้าสิบนั้นคือ การล่าแม่มด (Witch-hunt) ซึ่งไม่ใช่การตามล่าผู้เล่นไสยศาสตร์มนต์ดำเหมือนยุโรปอีกต่อไป หากพ่อมดและแม่มดนั้นอยู่ภายใต้ชื่อใหม่คือ คอมมิวนิสต์และลัทธิการล่าก็อุบัติขึ้นภายใต้ชื่อ McCarthyism ซึ่งตั้งตามชื่อของวุฒิสมาชิกคือ Joseph McCarthy แห่งพรรค Republican
(แม็คคาธีนั่งอยู่ตรงกลาง ส่วนด้านขวาคือ Roy cohn ลูกน้องซึ่งละครโทรทัศน์เรื่อง Angels in America เอาเขาไปเป็นหนึ่งในตัวละคร)
นอกจากนี้เรายังต้องขอบคุณผู้ร่วมล่าอีกคนคือ F.B.I ภายใต้การก่อตั้งและการอำนวยการของ J. Edgar Hoover ซึ่งใช้ทุกวิธีทางในการลิดรอนเสรีภาพของคนอเมริกันไม่ว่าจะติดเครื่องดักฟัง แอบสะกดรอย ข่มขู่ ฯลฯ รวมไปถึงคณะกรรมการตรวจสอบกิจกรรมที่ไม่เป็นอเมริกันของวุฒิสภา (HUAC – House Unamerican Activities Committee) หากนึกภาพไม่ออกก็ลองนึกถึงหนังเรื่อง Majestic ที่ Jim Carrey แสดงเป็นนักเขียนบทภาพยนตร์แต่ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมค่อนไปทางคอมมิวนิสต์ แต่แล้วเขาก็ประสบอุบัติเหตุจนลืมทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตและหลงเข้าไปในเมือง ๆ หนึ่งแต่สุดท้ายมีเขาก็ต้องกลับไปให้การต่อคณะกรรมการนี้อย่างองอาจ
(HUAC ขณะมีการไตร่สวน)
การล่าคอมมิวนิสต์ ในช่วงปี 1950-1954 คือการกล่าวหาว่าบุคคล ๆ นั้นมีพฤติกรรมการเป็นคอมมิวนิสต์ หรือเป็นสายลับของโซเวียต ได้ทำให้บุคคลในวงการต่างๆ เช่น วิทยาศาสตร์ นักการทูต นักเขียน กองทัพ แม้แต่ฮอลลี่วู๊ดในยุคสี่สิบและห้าสิบต้องพบกับมรสุมชีวิต หลายคนเอาตัวรอดมาได้ แต่หลายๆ คนไม่โชคดีต้องติดคุกหรือต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ มีอยู่เป็นจำนวนมากที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะคำกล่าวหาจริงบ้างไม่จริงบ้าง ทั้งนี้เราอาจจะต้องคำนึงถึงความทะเยอทะยานของ แม็คคาธี เองที่ต้องการโด่งดัง ยิ่งใหญ่ เช่นเขามักจะกล่าวคำปราศรัยอันยาวยืดและกล่าวหาว่าองค์กรของรัฐเช่น กระทรวงการต่างประเทศจะมีลูกจ้างหรือข้าราชการที่แอบสังกัดพรรคคอมมิวนิสต์อยู่ ทำให้ต้องมีการสืบสวนกันขนานใหญ่ซึ่งก็รอดบ้างไม่รอดบ้าง
น่าเสียดายเป็นยิ่งนัก เมื่อจีนแผ่นดินใหญ่กลายเป็นคอมมิวนิสต์ในปี 1949 ในช่วงล่าแม่มดนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านจีนแผ่นดินใหญ่ของกระทรวงการต่างประเทศโดนกลาดล้างไปเสียสิ้น จนเป็นเหตุให้ในช่วงทศวรรษที่หกสิบที่สหรัฐ ฯ ทำสงครามเวียดนาม แต่ขาดคนเชี่ยวชาญด้านเอเชีย (จีนกับเวียดนามมีอาณาเขตติดต่อกันและมีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกันในหลายด้าน) อันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สหรัฐ ฯ แพ้สงครามเวียดนาม
(การ์ตูนล้อเลียนภาพของแม็คคาธีและประธานาธิบดีไอเซนฮาวซึ่งมองเขาด้วยความประหวั่นใจ)
เหยื่อของเขาบางทีก็ตัวใหญ่ขนาดที่คนได้ยินถึงกลับอ้าปากค้างเช่น นายพล George C. Marshall นายพลระดับห้าดาวโดนกล่าวหาว่าทรยศต่อชาติ แม้แต่ประธานาธิบดี Henry S.Truman เองก็โดนนายแม็คคาธีหาว่า อ่อนข้อให้กับพวกคอมมิวนิสต์ ปกป้องสายลับโซเวียต และยังด่าเหน็บแนมว่า ทรูแมนเป็น “ทรัพย์สินที่ดีที่สุดเท่าที่เครลิมเคยมีมา” แม็คคาธีมีอิทธิพลถึงขนาดที่ว่าประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower (ต่อจากทรูแมน) ยัง รู้สึกหวาดกลัวเขา และหลีกเลี่ยงที่จะโจมตีหรือวิพากษ์วิจารณ์ แต่แม็คคาธี ก็มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเคนนาดี้ โดยเฉพาะ Joseph Kennedy บิดาของ John F. Kennedy เพราะเป็นชาวอเมริกันไอริชเหมือนกัน Robert Kennedyยังได้ทำงานเป็นลูกน้องของแม็คคาธี
แต่แม็คคาธีมาตกต่ำในปี 1954 เมื่อเขาออกรายงานถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์เป็นครั้งแรก และประณามพรรคDemocrat รวมทั้งกองทัพ (ที่พยายามจะเล่นงานเขาคืน) ด้วยถ้อยคำที่เผ็ดร้อนและรุนแรง จนทำให้ผู้ดูทางบ้านรับไม่ได้ ความนิยมก็ตกลงอย่างรวดเร็วจนเขาหมดบทบาททางการเมืองอย่างรวดเร็ว
ไม่ใช่แค่คอมมิวนิสต์เท่านั้นหากรวมไปถึงการเป็นพวกรักร่วมเพศ ซึ่งต้องห้ามอย่างมากในสังคมอเมริกันในยุคห้าสิบ หากพบว่าใครเป็นอาจจะต้องตกงานหรือติดคุกในที่สุด ( เป็นเรื่องตลกที่ว่าเกิดมีผู้ชายหิ้วกระเป๋าของผู้หญิงในที่สาธารณะอาจโดนตำรวจจำกุมได้) จึงกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของแม็คคาธี และผู้ช่วยตัวแสบของเขาคือ Roy Cohn หรือแม้แต่ FBI ที่จะสืบให้ได้ว่าใครเป็นพวกรักร่วมเพศ แล้วข่มขู่เพื่อรีดเอาข้อมูลบางอย่าง พวกรักร่วมเพศจึงเป็นแพะรับบาปเช่นเดียวกับคอมมิวนิสต์หรือสายลับโซเวียต
ต่อไปนี้เป็นรายชื่อเพียงน้อยนิดของคนโชคร้ายถูกกว่าหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์และเรารู้จักกันดี
1.David Bohm นักฟิสิกส์ ชื่อดังที่ทำงานอยู่ใน Manhattan Project ที่สร้างนิวเคลียร์ ถูก HUAC เรียกตัวไปสอบ แต่ปฏิเสธไม่ยอมตอบคำถาม เลยถูกจับกุม แต่พ้นผิดในปี 1951 กระนั้นก็ต้องเดินทางจากอเมริกาไปสอนหนังสือที่บราซิล
(ภาพของเดวิด บอห์ม)
2. Albert Einstein นักวิทยาศาสตร์นามอุโฆษ ถึงแม้เขาจะไม่ถูกแม็คคาธีโจมตีตรง ๆ แต่เขาถูก FBI โดยฮูเวอร์จับตาชนิดไม่ยอมกระพริบและระบุในแฟ้มลับหนาเป็นปึก ๆ ไอนส์ไตน์ว่ามีพฤติกรรมฝักใฝ่ไปทางคอมมิวนิสต์ ทั้งที่ไม่มีมูลความจริงเลยเพราะไอนส์ไตน์มีความคิดแบบเสรีนิยมและรักสันติภาพ
3. Charlie Chaplin ตลกอัจฉริยะ แต่ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมไม่เป็นอเมริกัน(นั่นคือเป็นคอมมิวนิสต์ )อาจเพราะมีคนตีความคำพูดของเขาในหนังสุดยอดเรื่อง The Great Dictator (1940) หนังที่เขาแต่งตัวเลียนแบบฮิตเลอร์ ว่าค่อนข้างไปทางซ้าย แถมเชปปลิ้นยังเคยไปหักหน้าฮูเวอร์ ผ.อ.เอฟบีไอเล่นงานจะถอนสัญชาติอเมริกันของเขา จนเชปปลิ้นต้องลี้ภัยกลับไปบ้านเกิดของตัวเองคืออังกฤษและสวิสเซอร์แลนด์ ในท้ายสุด
4.Arthur Miller นักเขียนชื่อดังที่เพิ่งวายชนม์เมื่อต้นปีนี้เอง เจ้าของเรื่อง อวสานเซลล์แมน (Death of a Salesman ) และ The Crucible เรื่อง Crucible เป็นเรื่องเกี่ยวกับการล่าแม่มดในอเมริกาเมื่อศตวรรษที่ 17 (ที่ทำเป็นหนังแสดงโดย Winona Ryder และ Daniel Day-Lewis) เป็นการเปรียบเปรยกับการล่าแม่มดของ แม็คคาธีที่ ตัวมิลเลอร์เองกำลังโดนเล่นงานอยู่ เขาไปให้การต่อ HUAC และถูกตัดสินว่าผิดข้อหาไม่ยอมเปิดเผยชื่อของเพื่อนร่วมงานที่เป็นคอมมิวนิสต์แต่ก็พ้นผิดในภายหลัง
5.John Garfield ดาราหนังฮอลลี่วู๊ดที่มีชื่อเสียง ถูก HUAC สอบสวน แต่ก็ปฏิเสธไม่ยอมบอกว่าใครเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งความจริงนั้นภรรยาของ
เขาเป็น การ์ฟิวด์ไม่ได้โดนเล่นงานโดยตรงเพราะขาดหลักฐานแต่ชื่อของเขาถูก Blacklist จากบรรดาค่ายหนัง เลยกลายเป็นดาวร่วงไป
http://thaicafe.blogspot.com/2012/08/1947-1991.html