ทำไมต้องยอม ทำไมไม่ชาร์จ ทำไมไม่ บลา บลา บลา เป็นคำถาม ปนเสียงกระเง้ากระงอด
ที่เจอบ่อยๆ จากน้องๆ รีเซฟชั่นที่เข้ามาถาม
พร้อมสีหน้าผิดหวังกลับออกไปหลังได้คำตอบ
ก็ลูกค้างี่เง่า!
เนตช้าแค่นี้เอง!
ก็เค้าจองผิดวันเอง!
น้ำไม่ร้อนแค่นี้เอง!
กลิ่นบุหรี่ แค่นี้เอง!
ฝุ่นนิดหน่อย แค่นี้เอง!
คนอื่นไม่เห็นมีปัญหาเลย!
มาขอออกช้าชั่วโมงนึง ไม่ยอมจ่ายอีก!
กับหน้าที่ประจำ ที่ต้องคอยรักษาผลประโยชน์ของโรงแรม และสามารถบังคับใช้โพลีซี เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดกับบริษัท
อยากทำไหม
ตอบเลย ว่าอยาก!
อยากเบะริมฝีปาก ฉ่ำสีสดจากบ๊อบบี้ บราวน์ใส่หน้า แล้วบอกกับทุกๆ เคส ว่ากลับขึ้นห้องไป หรือไม่ก็คืนห้องมา แต่ฉันไม่คืนเงิน นี่สัญญาเช่าของคุณ เอาไปอ่านซะ ข้อตกลงนี่คุณกดดับเบิ้ลคลิ๊กซ้าย ยอมรับมันเองนะ ช่วยไม่ได้!!
เป็นพนักงานต้อนรับมาตั้งนาน ทำไมจะไม่รู้ว่าการ ได้ตอกกลับ ได้เห็นสีหน้าลูกค้าที่เงิบ เพราะเถียงเราไม่ได้ นั้นมันสาแก่ใจแค่ไหน
แต่หนูๆ รู้ไหม?
ความสาแก่ใจของเรา มาพร้อมกับความผิดหวังของลูกค้าเสมอ
บางคน เดินทางคนเดียวมาครึ่งโลก อยากติดต่อครอบครัว ติดต่องาน ทำธุรกิจ ก็ทำไม่ได้
เพราะไว-ไฟมีปัญหา เข้าได้ก็หมุนติ้วๆ ช้าถึงช้ามากอยู่นั่น
บางคน ร่างกายมีระบบภูมิแพ้ที่ไวเสียจน แค่ได้กลิ่น หรือสูดฝุ่นจางๆ ก็ต้องไปหาหมอพ่นยา รักษาต่ออีกเป็นอาทิตย์
บางคน การได้อาบน้ำอุ่นจัดๆ คือวิธีรีแลกซ์เดียวที่สามารถหาได้ ตลอดอาทิตย์ที่ยุ่งเหยิง
บางคน การได้เอนหลังบนที่นอนนุ่มๆ ต่ออึกแค่ชั่วโมงเดียว ก็เป็นสวรรค์แล้ว เมื่อต้องไปนั่งหลังแข็งบนเครื่องบินต่อ อีกสิบกว่าชั่วโมง
มีโรงแรม เป็นร้อยเป็นพันแห่ง โรงแรมไหนก็มีห้อง มีเตียง มีหมอน มีห้องน้ำ มีสระว่ายน้ำ เหมือนกันทุกโรงแรม
แล้วทำไม ลูกค้าถึงต้องเลือกเรา?
ตัด Trip Advisor งี่เง่า ฟังแต่ความลูกค้าข้างเดียว ไม่เคยเมลถามความสมัครใจฉันสักนิด ออกไป
ลืมโซเชียลเนตเวิร์คอันทรงพลัง ที่ช่างครอบคลุม และรวดเร็ว ไปก่อน
แต่งหน้าเต็ม ยูนิฟอร์มก็โก้เก๋ ยืนสวยทำหน้าตึง อยู่แต่ในเค้าเตอร์ นานไปมันจะบีบให้ใจเราคับแคบเหมือนเค้าเตอร์
พี่ถึงได้คอยไปย้ำ ให้หัวหน้าเค้าไปสั่งให้หนูๆ ออกไปเดิน ยืดเส้นยืดสายรอบๆ ล็อบบี้ คนละ 2-3 รอบเป็นอย่างน้อย
ออกไปยืน อยู่ฝั่งเดียวกับลูกค้า
แล้วลองนึกเล่นๆ ว่า ถ้าไลน์ไม่เด้ง หรือเข้าเฟซบุ๊คไม่ได้ซักสองชั่วโมง ชีวิตหนูๆ ช่วงนั้น จะเป็นยังไง
โรงแรมก็ดี พนักงานก็สวย อะไรก็ดีไปหมด ถ้ามันไม่ห่วย
ที่เจอบ่อยๆ จากน้องๆ รีเซฟชั่นที่เข้ามาถาม
พร้อมสีหน้าผิดหวังกลับออกไปหลังได้คำตอบ
ก็ลูกค้างี่เง่า!
เนตช้าแค่นี้เอง!
ก็เค้าจองผิดวันเอง!
น้ำไม่ร้อนแค่นี้เอง!
กลิ่นบุหรี่ แค่นี้เอง!
ฝุ่นนิดหน่อย แค่นี้เอง!
คนอื่นไม่เห็นมีปัญหาเลย!
มาขอออกช้าชั่วโมงนึง ไม่ยอมจ่ายอีก!
กับหน้าที่ประจำ ที่ต้องคอยรักษาผลประโยชน์ของโรงแรม และสามารถบังคับใช้โพลีซี เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดกับบริษัท
อยากทำไหม
ตอบเลย ว่าอยาก!
อยากเบะริมฝีปาก ฉ่ำสีสดจากบ๊อบบี้ บราวน์ใส่หน้า แล้วบอกกับทุกๆ เคส ว่ากลับขึ้นห้องไป หรือไม่ก็คืนห้องมา แต่ฉันไม่คืนเงิน นี่สัญญาเช่าของคุณ เอาไปอ่านซะ ข้อตกลงนี่คุณกดดับเบิ้ลคลิ๊กซ้าย ยอมรับมันเองนะ ช่วยไม่ได้!!
เป็นพนักงานต้อนรับมาตั้งนาน ทำไมจะไม่รู้ว่าการ ได้ตอกกลับ ได้เห็นสีหน้าลูกค้าที่เงิบ เพราะเถียงเราไม่ได้ นั้นมันสาแก่ใจแค่ไหน
แต่หนูๆ รู้ไหม?
ความสาแก่ใจของเรา มาพร้อมกับความผิดหวังของลูกค้าเสมอ
บางคน เดินทางคนเดียวมาครึ่งโลก อยากติดต่อครอบครัว ติดต่องาน ทำธุรกิจ ก็ทำไม่ได้
เพราะไว-ไฟมีปัญหา เข้าได้ก็หมุนติ้วๆ ช้าถึงช้ามากอยู่นั่น
บางคน ร่างกายมีระบบภูมิแพ้ที่ไวเสียจน แค่ได้กลิ่น หรือสูดฝุ่นจางๆ ก็ต้องไปหาหมอพ่นยา รักษาต่ออีกเป็นอาทิตย์
บางคน การได้อาบน้ำอุ่นจัดๆ คือวิธีรีแลกซ์เดียวที่สามารถหาได้ ตลอดอาทิตย์ที่ยุ่งเหยิง
บางคน การได้เอนหลังบนที่นอนนุ่มๆ ต่ออึกแค่ชั่วโมงเดียว ก็เป็นสวรรค์แล้ว เมื่อต้องไปนั่งหลังแข็งบนเครื่องบินต่อ อีกสิบกว่าชั่วโมง
มีโรงแรม เป็นร้อยเป็นพันแห่ง โรงแรมไหนก็มีห้อง มีเตียง มีหมอน มีห้องน้ำ มีสระว่ายน้ำ เหมือนกันทุกโรงแรม
แล้วทำไม ลูกค้าถึงต้องเลือกเรา?
ตัด Trip Advisor งี่เง่า ฟังแต่ความลูกค้าข้างเดียว ไม่เคยเมลถามความสมัครใจฉันสักนิด ออกไป
ลืมโซเชียลเนตเวิร์คอันทรงพลัง ที่ช่างครอบคลุม และรวดเร็ว ไปก่อน
แต่งหน้าเต็ม ยูนิฟอร์มก็โก้เก๋ ยืนสวยทำหน้าตึง อยู่แต่ในเค้าเตอร์ นานไปมันจะบีบให้ใจเราคับแคบเหมือนเค้าเตอร์
พี่ถึงได้คอยไปย้ำ ให้หัวหน้าเค้าไปสั่งให้หนูๆ ออกไปเดิน ยืดเส้นยืดสายรอบๆ ล็อบบี้ คนละ 2-3 รอบเป็นอย่างน้อย
ออกไปยืน อยู่ฝั่งเดียวกับลูกค้า
แล้วลองนึกเล่นๆ ว่า ถ้าไลน์ไม่เด้ง หรือเข้าเฟซบุ๊คไม่ได้ซักสองชั่วโมง ชีวิตหนูๆ ช่วงนั้น จะเป็นยังไง