รับเดือนแห่งรัก ด้วยหลัก 5 ส. เสริมสร้างความรักให้ยั่งยืน


เดือนแห่งความรักเริ่มออกสตาร์ทแล้ว ใครที่ยังไม่มีคู่ ก็อาจจะกำลังมองๆ ดู หาคนมาอยู่เคียงข้าง อย่างไรก็ดี สำหรับคนที่มีคู่อยู่แล้ว เรามีเคล็ดลับดีๆ มาแนะนำคุณ
       
        ชีวิตคู่จะอยู่ด้วยกันยืด อาจต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง แต่เมื่อรักกันแล้ว แต่ละคนแต่ละคู่ ก็อยากอยู่ด้วยกันยืดๆ อยู่ด้วยกันนานๆ อย่างที่โบราณเขาว่า ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร แก่เฒ่าไปด้วยกันกระทั่งลาจาก และนี่ก็คือหลักการ “5 ส.” ที่เราหยิบมาแนะนำกัน เพื่อเสริมสร้างความสุขในชีวิตคู่ของคุณให้ยั่งยืนและยาวนาน ตลอดไป 5 ส.นั้น มีอะไรบ้าง ไปดูกัน


        1.ส. สนิทสนม
       ความสนิทสนมเป็นปัจจัยสำคัญประการแรกที่จะช่วยให้ชีวิตสมรสราบรื่น คนสองคนที่มาอยู่ร่วมกันจะต้องพัฒนาความสัมพันธ์ให้สนิทสนม เพื่อให้เกิดความรู้สึกแนบแน่น ลดช่องว่างทางความรู้สึกระหว่างกัน นำไปสู่การเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ส่งผลให้ยอมรับในความเป็นตัวตนของแต่ละคนได้
       
        การพัฒนาความสนิทสนมต่อกันนั้น คู่สมรสต้องยอมรับในความแตกต่างระหว่างบุคคลและมีกิจกรรมร่วมสุขร่วมทุกข์พร้อมทั้งช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ยอมรับทั้งข้อดีและข้อเสียของกันและกันให้ได้ พร้อมทั้งเป็นที่ปรึกษาที่ดี มีวาจาท่าทีสุภาพเป็นมิตรต่อกันในทุกเรื่องดีเรื่องร้ายที่อาจเกิดขึ้นในชีวิต
       
        การมีกิจกรรมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ เปิดใจต่อกัน ยอมรับตัวตนของกันและกัน จะช่วยพัฒนาความสนิทสนม อันเป็นรากฐานสำคัญของชีวิตคู่
       
        2.ส. เสน่หา
       ความมีเสน่ห์หมายถึงการมีรูปลักษณ์ที่ดูดี มีเสียงไพเราะ มีกลิ่นกายหอมกรุ่น มีจริตมายาต่อกันอย่างเหมาะสม ฯลฯ ทั้งสองฝ่ายควรเรียนรู้ความชอบเชิงเสน่หาของกันและกันทั้งการแต่งกาย กลิ่นกาย ท่วงทีกิริยา และวาจาที่พูด สามีบางคนชอบให้ภรรยาเรียกตนเองว่า “พ่อขา” ชอบให้ภรรยาแต่งกายด้วยชุดที่ดูอ่อนหวาน ชอบให้ภรรยาออดอ้อนนอนหนุนแขน หากภรรยาบังเอิญชอบตรงกันก็จะพัฒนาความสัมพันธ์เชิงเสน่หาในชีวิตสมรสให้ยินดีและพอใจต่อกันยิ่งขึ้น
       
        คู่ชีวิตจึงควรแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความชอบของแต่ละฝ่าย การสื่อสารเชิงเสน่หาทั้งด้วยกายและวาจาจะช่วยเพิ่มระดับความสนิทสนม (ส.ที่ 1) ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เสน่หามีความสำคัญมากในชีวิตสมรส บางคู่เข้าใจผิดคิดว่าไม่สำคัญ จึงไม่เรียนรู้การเพิ่มเสน่หาต่อกัน เป็นเหตุให้เสน่หาลดลงทั้งคู่ หากบังเอิญฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปพบคนอื่นที่สื่อสารเชิงเสน่หาได้เย้ายวนใจตน ก็อาจทำให้คิดนอกใจคู่สมรสและประพฤติออกนอกล่นอกทางจนเกิดปัญหาขัดแย้งตามมาได้
       
        เรามักพบเหตุผลยอดนิยมของการหย่าร้างว่า “ทัศนคติไม่ตรงกัน” อยู่เสมอ แต่เมื่อสอบถามลงไปลึกๆ แล้วก็ได้พบว่าเป็นทัศนคติที่ไม่ตรงกันในเรื่อง ส. เสน่หาหรือความสัมพันธทางเพศนี่เอง
       
        เพราะฉะนั้น การรักษาและพัฒนาเสน่หาในชีวิตคู่จึงเป็นวิธีการสำคัญที่จะร้อยรัดความผูกพันต่อกันและกันไว้ได้
       
        3.ส. สัมพันธสัญญา
       สัมพันธสัญญาเป็นองค์ประกอบด้านความคิดและการตัดสินใจว่าจะรักหรือมีพันธะต่อกันทั้งทางใจและทางสังคม ยกตัวอย่างเช่น สัญญาต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าจะรักกันตลอดไป จับมือมองตากันแล้วฝ่ายชายก็บอกกับฝ่ายหญิงว่า “ผมจะรักและดูแลคุณตลอดไปตราบชีวิตจะหาไม่”
       
        สัมพันธภาพสัญญานี้รวมไปถึงการใช้เวลาร่วมกันในกิจกรรมครอบครัวและกิจกรรมทางสังคม เช่น การออกงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง การไปมาหาสู่ญาติพี่น้องของอีกฝ่าย ฯลฯ
       
        คู่ชีวิตควรมีความรับผิดชอบในพันธะที่ตกลงต่อกัน เช่น ชายวัย 70 ปีคนหนึ่งพาภรรยาที่ป่วยเป็นอัมพาคนอนในรถพ่วงมอเตอร์ไซค์ แล้วขับรถรอบสวนสาธารณะขนาดใหญ่ เนื่องจากเคยสัญญากับภรรยาไว้ว่า “ผมจะพาคุณไปเดินเล่นที่สวนสาธรณะทุกวันจนกว่าชีวิตจะหาไม่” เมื่อภรรยาล้มป่วยจึงเปลี่ยนจากการเดินคู่เป็นพานอนในรถพ่วงมอเตอร์ไซค์ แล้วขับรอบสวนสาธารณะแทน นี่คือตัวอย่างของความรับผิดชอบในสัมพันธสัญญาที่มีต่อกัน
       
        อนึ่ง พันธสัญญาผูกพันจะค่อยเพิ่มขึ้นเมื่อมีความสนิทสนมกันมากขึ้น และเปลี่ยนแปลงไปตามระดับความสุขความพอใจในแต่ละระยะ เมื่อมีปัญหายุ่งยากในความสัมพันธ์ระหว่างกัน ความรับผิดชอบพันธะผูกพันอาจลดระดับลงด้วยเช่นกัน
       
        เพราะฉะนั้น การรักษาพร้อมทั้งพัฒนาสัมพันธสัญญาต่อกันอย่างเสมอต้นเสมอปลายจึงเป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้ชีวิตสมรสราบรื่น
       
        การปฎิบัติตามหลักการ 3 ส. คือ ส. สนิทสนม, ส. เสน่หา และ ส. สัมพันธสัญญาดังกล่าวมา นับเป็นหลักการทางจิตวิทยาตะวันคตกที่มีสาระสำคัญคือ ทั้ง 3 ส.ต้องปฎิบัติการเป็นสามเหลี่ยมด้านเท่า หมายถึงการปฏิบัติให้สม่ำเสมอในระดับเดียวกัน เพราะทั้ง 3 ส. มีความสัมพันธ์เชิงเป็นเหตุปัจจัยต่อกันอย่างยิ่งยวด
       
        ทฤษฎีสามเหลี่ยมความรักนี้ แม้จะใช้ได้ผลดี แต่ยังพบอุปสรรคที่ก่อเกิดความบาดหมางและหย่าร้างได้ เพราะมีปัจจัยแวดล้อมและรายละเอียดปลีกย่อยในชีวิตคู่อีกมากมาย ผุ้เขียนจึงเพิ่มเติมหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเข้าไปอีก 2 ส. คือ ส. สันโดษ และ สติสัมปชัญญะ เพื่อเป็นกรอบและเครื่องมือทางความคิด ใช้กำกับ 3 ส.แรก ให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น
       
        4.ส. สันโดษ
       สันโดษ แปลว่า ยินดี ชอบใจ พอใจ อิ่มใจ จุใจ สุขใจกับของของตน กล่าวโดยย่อคือ รู้จักพอ รู้จักประมาณ ยินดีในสิ่งที่ตนได้ พอใจในสิ่งที่ตนมี และยินดีโดยสม่ำเสมอ เมื่อนำมาใช้ในการครองชีวิตคู่ สัณโดษก็คือการยินดีมในครักหรือคู่ครองของตน มั้งบุคลิกลักษณะ การศึกษา ฐานะครอบครัว อาชีพของตน ทั้งบุคลิกลักษณะ การศึกษา ฐานะครอบครัว อาชีพและทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบเป็นบุคคลผู้นั้น พยายามมองแต่ในส่วนดี เพื่อที่จะได้ยินดีในคนรักของตน
       
        พอใจในสิ่งที่ตนมี คือ พอใจในทุกสิ่งทุกอย่างของคนรัก ซึ่งสืบเนื่องมาจากการมองเห็นแต่เรื่องดีๆ ของเขา เพื่อให้รู้สึกยินดีในสิ่งที่ตนได้ ตามมาด้วยความพอใจในสิ่งที่ตนมี และจะส่งผลต่อการยินดีโดยสม่ำเสมอ
       
        สันโดษในที่นี้ต้องอย่บนพื้นฐานของความรู้จักพอประมาณความมีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันทางความรัก ตลอดจนมีคุณธรรมเมตตากรุณาต่อกัน หากคนรักหรือคู่ครองคู่ใดปฎิบัติได้ดังกล่าว รับรองว่าชีวิตรักจะหวานชื่น ราบรื่น ยั่งยืน ยาวนาน และมั่นคง
       
        5.ส.สติสัมปชัญญะ
       สติสัมปชัญญะเป็นคุณธรรมในระดับสูง คือมีความระลึกได้และรู้ตัวทั่วพร้อมทั้งในการคิด การพูด และการกระทำที่มีต่อกันในชีวิตคู่
       
        สติ คือ การใส่ใจติดตามดูการคิดและการกระทำทุกอย่างด้วยการคิดใคร่ครวญพิจารณาอย่างละเอียดแยบคาย ซึ่งสามารถฝึกฝนได้ด้วยการเจริญสติตามแนวสติปัฏฐาน 4 ทางพระพุทธศาสนา อันจะช่วยให้รู้เท่าทันอาการของการและจิตมากขึ้น
       
        หลักการ 5 ส. เป็นหลักการที่สังเคราะห์ระหว่างจิตวิทยาตะวันตกและจิตวิทยาตะวันออก (พระพุทธศาสนา) เข้าด้วยกัน เพื่อช่วยสร้างเสริมเติมแต่งและพัฒนาชีวิตสมรสให้พบความสุขความสำเร็จได้ทั้งทางโลกและทางธรรม
       
        ขอเพียงมีความศรัทธาและเพียรพยายามปฎิบัติให้ได้ครบทั้ง 5 ส. ด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริง ความสงบสุขในชีวิตสมรสก็จะก่อร่างสร้างตัวอยู่ในครอบครัวนั่นเอง


        _______________________________________________________
        ข้อมูลจากหนังสือ “หาร 4 ให้ชีวิต สุขและสำเร็จได้ด้วยตัวคุณเอง” เขียนโดย วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ สำนักพิมพ์อัมรินทร์
        ASTVผู้จัดการออนไลน์
        http://manager.co.th/goodhealth/ViewNews.aspx?NewsID=9580000008085
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่