เอาของเก่ามาเล่าใหม่ สำหรับผู้ที่ไม่ทันยุครุ่งเรืองแห่งไร่แตง (เว็บบอร์ดเทงกวาร์) นะคะ
เป็นเรื่องที่เคยเขียนลงบอร์ดแตงกวาไว้เมื่อสมัยร่วมสิบปีมาแล้วค่ะ ^ ^
สิทธิบัตรว่าด้วยการผลิตเลมบัส
เลมบัส สุดยอดอาหารของเหล่าเอลฟ์ที่ขึ้นชื่อที่สุด ที่เป็นยอดปรารถนาของชนทุกหมู่เหล่าที่ได้เคยรู้จักมันมา ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แท้จริงแล้วมันคืออะไร และมีประวัติความเป็นมาอย่างไร มาร่วมกันค้นหาคำตอบได้ที่นี่ ดิสคัฟเวอรี่-เทงกวาร์
“Mana i•coimas in•Eldaron?” ‘What is the coimas of the Eldar?’
(มานา อิ โคยมัส อิน เอลดารอน? – อะไรคือโคยมัสของเหล่าเอลดาร์?)
คำถามนี้ครั้งหนึ่ง เอริออล-แอล์ฟวีน (Eriol-Ælfwine) ได้เคยถามแก่ครูตำนานแห่งกอนโดลิน เพงโกล็อธ (Pengoloð) ไว้เมื่อครั้งที่เขาได้ไปเยือนยังเกาะเอกาเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งในครั้งนั้นเพงโกล็อธก็ได้เล่าอธิบายให้แก่เอริออลความพอสรุปได้ดังนี้
เลมบัส คืออาหารชนิดหนึ่งที่ทำขึ้นในรูปแบบของขนมแป้ง คำว่าเลมบัส Lembas แปลว่า เสบียงอาหาร (journey-bread) เป็นคำภาษาซินดารินสมัยใหม่ที่มาจากคำซินดารินดั้งเดิมว่า lenn-mbas แต่ในภาษาเควนยาจะเรียกอาหารชนิดนี้ต่างออกไปว่าโคยมัส Coimas อันแปลว่า อาหารยังชีพ (life-bread)
ประวัติของอาหารชนิดนี้เริ่มมาแต่ครั้งการเดินทางอพยพออกจากทะเลสาบคุยวิเอเนนของหมู่เหล่าเอลดาร์เลยทีเดียว โดยกล่าวว่าเป็นอาหารที่องค์เทพรานียาวันนาได้ถวายแก่เทพโอโรเมเพื่อประทานแก่เหล่าเอลฟ์ไว้รับประทานในระหว่างการเดินทางอันยาวนาน ด้วยในระหว่างการเดินทางนั้นการหาอาหารย่อมเป็นไปได้ยาก ยิ่งการต้องเพาะปลูกยิ่งไม่ต้องพูดถึง เลมบัสจึงเรียกได้ว่ากลายเป็นอาหารหลักของพวกเอลฟ์ในครั้งอพยพนั้นเลยทีเดียว เนื่องจากเลมบัสนั้นอุดมด้วยคุณค่าอาหารนานับประการที่จำเป็นต่อชีวิต ทั้งยังมีน้ำหนักเบา ขนาดกระทัดรัด สะดวกในการพกพาและง่ายในการรับประทาน ทำไมอาหารชนิดนี้ถึงได้มีคุณประโยชน์สารพัดหนักหนา ทั้งนี้เนื่องจากมันได้ถูกผลิตขึ้นมาจากเมล็ดข้าวพันธุ์พิเศษที่เทพียาวันนาได้ทรงเพาะหว่านไว้ในสวนเกษตรส่วนพระองค์ในดินแดนนิรันดร์วาลินอร์ ซึ่งนอกจากความพิเศษของสายพันธุ์แล้วมันก็ยังได้ซึมซับพลังอันศักดิ์สิทธิ์จากดินแดนแห่งทวยเทพเอาไว้ด้วย และพลังงานนี้นอกจากจะถ่ายทอดสู่เมล็ดพันธุ์ ต้นอ่อนใหม่ๆ ของมันแล้ว ก็ยังถ่ายทอดสู่ผู้ที่ได้รับประทานมันให้คงพลังวังชาและเสริมสร้างอมตภาพแก่ผู้นั้นด้วย
ด้วยเหตุนี้เลมบัสจึงออกจะเป็นอาหารหวงห้ามที่จะไม่ให้เผ่าพันธุ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่พวกอมตชนได้รับประทาน เพราะหากมรรตัยชนใดได้รับประทานไปมากๆ หรือบ่อยๆ เข้า พวกเขาจะเกิดความรู้สึกหลงใหลต่อชีวิตอมตะอย่างแรงกล้า และปรารถนาที่จะได้ไปอาศัยอยู่ในแดนนิรันดร์ร่วมกับเหล่าอมตชนทั้งหลาย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ตามลิขิตขององค์อิลูวาทาร์เจ้า ดังนั้นเลมบัสจึงถูกมอบให้ผู้อื่นที่นอกเหนือไปจากเอลฟ์น้อยมาก และต้องเฉพาะในกรณีที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น เช่นความจำเป็นต้องเดินทางไกลๆ ที่อาจมีอุปสรรคในด้านการหาอาหาร หรือความบาดเจ็บ เจ็บป่วยที่ต้องการการฟื้นฟูพลังโดยเร่งด่วน โดยผู้ที่จะได้รับมอบเลมบัสนี้จะต้องเป็นผู้ที่มีความสำคัญเป็นพิเศษ หรือเป็นที่รักเป็นพิเศษแก่หมู่เอลฟ์หรือผู้ที่ถือสิทธิ์ในการมอบเลมบัสเท่านั้น ซึ่งเท่าที่เคยมีบันทึกปรากฏไว้นั้นได้เคยเกิดขึ้นเพียงสองครั้งเท่านั้น
ด้วยคุณวิเศษแห่งยอดอาหารชนิดนี้นี่เองจึงได้มีกฎแม้แต่ในหมู่เหล่าเอลดาร์เองด้วยว่า เลมบัสจะใช้เป็นอาหารพิเศษในกรณีที่ต้องมีการเดินทางไกล หรือเมื่อมีผู้ใดที่บาดเจ็บหรืออ่อนล้ากำลังกายเท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้ทานเลมบัสได้ โดยผู้ที่จะเป็นผู้ตัดสินใจมอบเลมบัสให้แก่ใครได้ คือผู้ที่ถูกเรียกว่า มัสซานิเอ (Massánie) หรือ เบไซน์ (Besain) เท่านั้น ซึ่งผู้ที่เป็นมัสซานิเอผู้แรกก็คือเทพียาวันนานั่นเอง และผู้ที่จะรับหน้าที่นี้สืบต่อมาก็คือ ราชินี ราชนิกุลินี และหรือเอลฟ์สตรีที่ได้รับคัดเลือกบางตนเท่านั้น
ในด้านการผลิตก็เช่นกัน เลมบัสไม่ใช่อาหารประจำวันแต่เป็นอาหารพิเศษเฉพาะกรณี ดังนั้นการจะผลิตเลมบัสแต่ละครั้งจึงต้องเป็นกรณีที่พิเศษและจำเป็นจริงๆ ตามวินิจฉัยของมัสซานิเอ ซึ่งก็เกิดขึ้นไม่บ่อยนักในแผ่นดินมิดเดิ้ลเอิร์ธนี้ และสำหรับกรรมวิธีการผลิตนั้น ความลับในการผลิตเลมบัสจะถูกถ่ายทอดกันลงมาเฉพาะในกลุ่มเอลฟ์สตรีผู้เป็นสาวิกีแห่งเทพียาวันนาที่เรียกว่า ยาวันนิลดิ (Yavannildi) ในภาษาเควนยา หรือ อิวอนวิน (Ivonwin) ในภาษาซินดาริน เท่านั้น โดยกลุ่มสตรีที่ถูกคัดเลือกนี้จะเป็นผู้ทำหน้าที่ทุกขั้นตอนตั้งแต่การเพาะหว่าน เก็บเกี่ยว เก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ จนถึงการแปรรูปผลิตภัณฑ์เป็นเลมบัสแสนอร่อย ซึ่งความรู้เหล่านี้ได้รับการสอนสั่งถ่ายทอดมาจากองค์ยาวันนาเองเลยทีเดียว
ด้านพันธุ์ข้าววิเศษที่ใช้ในการผลิตเลมบัสนี้ก็น่าสนใจไม่น้อยเช่นกัน กล่าวกันว่าพวกโนลดอร์พลัดถิ่นได้นำเมล็ดพันธุ์นี้มาจากวาลินอร์ด้วย (บางส่วนพระนางเมลิอันเทวีคงเป็นผู้นำมาสู่ราชอาณาจักรโดริอัธ) มันได้ถูกเพาะหว่านในสถานที่ลับกลางป่า และได้เติบโตงอกงามขึ้นอย่างรวดเร็ว และแม้ว่ามันว่าจะไม่สามารถทนทานและเติบโตได้ ต่อความหนาวเย็นของลมจากขั้วโลกเหนืออันน่ากลัวจากอาณาจักรของมอร์กอธ แต่เมล็ดพันธุ์ของมันก็จะยังไม่ตาย และรอเวลาที่ความหนาวเย็นนั้นจะผ่านไปแล้วจึงงอกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และเช่นเดียวกันกับพรรณไม้ทั่วไปที่มันไม่อาจเติบโตได้ภายใต้เงาทึบของต้นไม้ใหญ่ ทว่ามันก็ยังมีคุณสมบัติที่พิเศษกว่าธัญพืชอื่นตรงที่ แม้สถานที่ปลูกนั้นจะได้รับแสงสว่างในเวลาหรือค่าความส่องสว่างที่เล็กน้อยเพียงใด มันก็ยังสามารถดูดซับแสงสว่างเหล่านั้นมาได้มากที่สุดและเจริญงอกงามได้ดีเกินกว่าที่พืชพันธุ์อื่นๆ จะทำได้
ในส่วนของการเก็บเกี่ยวนั้นกล่าวไว้ว่า กระบวนการเก็บเกี่ยวตั้งแต่การเก็บฝักรวงจนถึงการแกะเมล็ดจะต้องกระทำด้วยมือเปล่าเท่านั้นโดยไม่ให้ใช้เครื่องมือมีคมใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่ซังของต้นก็ต้องถูกถอนขึ้นมาด้วยมือเช่นกัน โดยซังต้นนี้จะถูกนำไปสานเป็นกระพ้อมกระบุงเพื่อบรรจุเก็บเมล็ดข้าว และโดยคุณวิเศษของมันก็จะทำให้ไม่มีแมลง มด มอดใดๆ มาทำลายเมล็ดพืชได้ รวมทั้งเมล็ดก็จะไม่มีวันเน่าเสียหรือฝ่อด้วย ดังนั้นเมล็ดข้าวนี้จึงสามารถเก็บรักษาไว้ได้เป็นเวลานาน จนกว่าจะถึงคราจำเป็นที่จะต้องมีการผลิตเลมบัสจึงจะนำเมล็ดข้าวเหล่านี้ออกมาใช้
Teithant Los’loriol
บันทึกและเรียบเรียงใหม่จาก
Quente Quengoldo
++สิทธิบัตรว่าด้วยการผลิตเลมบัส++
เป็นเรื่องที่เคยเขียนลงบอร์ดแตงกวาไว้เมื่อสมัยร่วมสิบปีมาแล้วค่ะ ^ ^
สิทธิบัตรว่าด้วยการผลิตเลมบัส
เลมบัส สุดยอดอาหารของเหล่าเอลฟ์ที่ขึ้นชื่อที่สุด ที่เป็นยอดปรารถนาของชนทุกหมู่เหล่าที่ได้เคยรู้จักมันมา ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แท้จริงแล้วมันคืออะไร และมีประวัติความเป็นมาอย่างไร มาร่วมกันค้นหาคำตอบได้ที่นี่ ดิสคัฟเวอรี่-เทงกวาร์
“Mana i•coimas in•Eldaron?” ‘What is the coimas of the Eldar?’
(มานา อิ โคยมัส อิน เอลดารอน? – อะไรคือโคยมัสของเหล่าเอลดาร์?)
คำถามนี้ครั้งหนึ่ง เอริออล-แอล์ฟวีน (Eriol-Ælfwine) ได้เคยถามแก่ครูตำนานแห่งกอนโดลิน เพงโกล็อธ (Pengoloð) ไว้เมื่อครั้งที่เขาได้ไปเยือนยังเกาะเอกาเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งในครั้งนั้นเพงโกล็อธก็ได้เล่าอธิบายให้แก่เอริออลความพอสรุปได้ดังนี้
เลมบัส คืออาหารชนิดหนึ่งที่ทำขึ้นในรูปแบบของขนมแป้ง คำว่าเลมบัส Lembas แปลว่า เสบียงอาหาร (journey-bread) เป็นคำภาษาซินดารินสมัยใหม่ที่มาจากคำซินดารินดั้งเดิมว่า lenn-mbas แต่ในภาษาเควนยาจะเรียกอาหารชนิดนี้ต่างออกไปว่าโคยมัส Coimas อันแปลว่า อาหารยังชีพ (life-bread)
ประวัติของอาหารชนิดนี้เริ่มมาแต่ครั้งการเดินทางอพยพออกจากทะเลสาบคุยวิเอเนนของหมู่เหล่าเอลดาร์เลยทีเดียว โดยกล่าวว่าเป็นอาหารที่องค์เทพรานียาวันนาได้ถวายแก่เทพโอโรเมเพื่อประทานแก่เหล่าเอลฟ์ไว้รับประทานในระหว่างการเดินทางอันยาวนาน ด้วยในระหว่างการเดินทางนั้นการหาอาหารย่อมเป็นไปได้ยาก ยิ่งการต้องเพาะปลูกยิ่งไม่ต้องพูดถึง เลมบัสจึงเรียกได้ว่ากลายเป็นอาหารหลักของพวกเอลฟ์ในครั้งอพยพนั้นเลยทีเดียว เนื่องจากเลมบัสนั้นอุดมด้วยคุณค่าอาหารนานับประการที่จำเป็นต่อชีวิต ทั้งยังมีน้ำหนักเบา ขนาดกระทัดรัด สะดวกในการพกพาและง่ายในการรับประทาน ทำไมอาหารชนิดนี้ถึงได้มีคุณประโยชน์สารพัดหนักหนา ทั้งนี้เนื่องจากมันได้ถูกผลิตขึ้นมาจากเมล็ดข้าวพันธุ์พิเศษที่เทพียาวันนาได้ทรงเพาะหว่านไว้ในสวนเกษตรส่วนพระองค์ในดินแดนนิรันดร์วาลินอร์ ซึ่งนอกจากความพิเศษของสายพันธุ์แล้วมันก็ยังได้ซึมซับพลังอันศักดิ์สิทธิ์จากดินแดนแห่งทวยเทพเอาไว้ด้วย และพลังงานนี้นอกจากจะถ่ายทอดสู่เมล็ดพันธุ์ ต้นอ่อนใหม่ๆ ของมันแล้ว ก็ยังถ่ายทอดสู่ผู้ที่ได้รับประทานมันให้คงพลังวังชาและเสริมสร้างอมตภาพแก่ผู้นั้นด้วย
ด้วยเหตุนี้เลมบัสจึงออกจะเป็นอาหารหวงห้ามที่จะไม่ให้เผ่าพันธุ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่พวกอมตชนได้รับประทาน เพราะหากมรรตัยชนใดได้รับประทานไปมากๆ หรือบ่อยๆ เข้า พวกเขาจะเกิดความรู้สึกหลงใหลต่อชีวิตอมตะอย่างแรงกล้า และปรารถนาที่จะได้ไปอาศัยอยู่ในแดนนิรันดร์ร่วมกับเหล่าอมตชนทั้งหลาย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ตามลิขิตขององค์อิลูวาทาร์เจ้า ดังนั้นเลมบัสจึงถูกมอบให้ผู้อื่นที่นอกเหนือไปจากเอลฟ์น้อยมาก และต้องเฉพาะในกรณีที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น เช่นความจำเป็นต้องเดินทางไกลๆ ที่อาจมีอุปสรรคในด้านการหาอาหาร หรือความบาดเจ็บ เจ็บป่วยที่ต้องการการฟื้นฟูพลังโดยเร่งด่วน โดยผู้ที่จะได้รับมอบเลมบัสนี้จะต้องเป็นผู้ที่มีความสำคัญเป็นพิเศษ หรือเป็นที่รักเป็นพิเศษแก่หมู่เอลฟ์หรือผู้ที่ถือสิทธิ์ในการมอบเลมบัสเท่านั้น ซึ่งเท่าที่เคยมีบันทึกปรากฏไว้นั้นได้เคยเกิดขึ้นเพียงสองครั้งเท่านั้น
ด้วยคุณวิเศษแห่งยอดอาหารชนิดนี้นี่เองจึงได้มีกฎแม้แต่ในหมู่เหล่าเอลดาร์เองด้วยว่า เลมบัสจะใช้เป็นอาหารพิเศษในกรณีที่ต้องมีการเดินทางไกล หรือเมื่อมีผู้ใดที่บาดเจ็บหรืออ่อนล้ากำลังกายเท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้ทานเลมบัสได้ โดยผู้ที่จะเป็นผู้ตัดสินใจมอบเลมบัสให้แก่ใครได้ คือผู้ที่ถูกเรียกว่า มัสซานิเอ (Massánie) หรือ เบไซน์ (Besain) เท่านั้น ซึ่งผู้ที่เป็นมัสซานิเอผู้แรกก็คือเทพียาวันนานั่นเอง และผู้ที่จะรับหน้าที่นี้สืบต่อมาก็คือ ราชินี ราชนิกุลินี และหรือเอลฟ์สตรีที่ได้รับคัดเลือกบางตนเท่านั้น
ในด้านการผลิตก็เช่นกัน เลมบัสไม่ใช่อาหารประจำวันแต่เป็นอาหารพิเศษเฉพาะกรณี ดังนั้นการจะผลิตเลมบัสแต่ละครั้งจึงต้องเป็นกรณีที่พิเศษและจำเป็นจริงๆ ตามวินิจฉัยของมัสซานิเอ ซึ่งก็เกิดขึ้นไม่บ่อยนักในแผ่นดินมิดเดิ้ลเอิร์ธนี้ และสำหรับกรรมวิธีการผลิตนั้น ความลับในการผลิตเลมบัสจะถูกถ่ายทอดกันลงมาเฉพาะในกลุ่มเอลฟ์สตรีผู้เป็นสาวิกีแห่งเทพียาวันนาที่เรียกว่า ยาวันนิลดิ (Yavannildi) ในภาษาเควนยา หรือ อิวอนวิน (Ivonwin) ในภาษาซินดาริน เท่านั้น โดยกลุ่มสตรีที่ถูกคัดเลือกนี้จะเป็นผู้ทำหน้าที่ทุกขั้นตอนตั้งแต่การเพาะหว่าน เก็บเกี่ยว เก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ จนถึงการแปรรูปผลิตภัณฑ์เป็นเลมบัสแสนอร่อย ซึ่งความรู้เหล่านี้ได้รับการสอนสั่งถ่ายทอดมาจากองค์ยาวันนาเองเลยทีเดียว
ด้านพันธุ์ข้าววิเศษที่ใช้ในการผลิตเลมบัสนี้ก็น่าสนใจไม่น้อยเช่นกัน กล่าวกันว่าพวกโนลดอร์พลัดถิ่นได้นำเมล็ดพันธุ์นี้มาจากวาลินอร์ด้วย (บางส่วนพระนางเมลิอันเทวีคงเป็นผู้นำมาสู่ราชอาณาจักรโดริอัธ) มันได้ถูกเพาะหว่านในสถานที่ลับกลางป่า และได้เติบโตงอกงามขึ้นอย่างรวดเร็ว และแม้ว่ามันว่าจะไม่สามารถทนทานและเติบโตได้ ต่อความหนาวเย็นของลมจากขั้วโลกเหนืออันน่ากลัวจากอาณาจักรของมอร์กอธ แต่เมล็ดพันธุ์ของมันก็จะยังไม่ตาย และรอเวลาที่ความหนาวเย็นนั้นจะผ่านไปแล้วจึงงอกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และเช่นเดียวกันกับพรรณไม้ทั่วไปที่มันไม่อาจเติบโตได้ภายใต้เงาทึบของต้นไม้ใหญ่ ทว่ามันก็ยังมีคุณสมบัติที่พิเศษกว่าธัญพืชอื่นตรงที่ แม้สถานที่ปลูกนั้นจะได้รับแสงสว่างในเวลาหรือค่าความส่องสว่างที่เล็กน้อยเพียงใด มันก็ยังสามารถดูดซับแสงสว่างเหล่านั้นมาได้มากที่สุดและเจริญงอกงามได้ดีเกินกว่าที่พืชพันธุ์อื่นๆ จะทำได้
ในส่วนของการเก็บเกี่ยวนั้นกล่าวไว้ว่า กระบวนการเก็บเกี่ยวตั้งแต่การเก็บฝักรวงจนถึงการแกะเมล็ดจะต้องกระทำด้วยมือเปล่าเท่านั้นโดยไม่ให้ใช้เครื่องมือมีคมใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่ซังของต้นก็ต้องถูกถอนขึ้นมาด้วยมือเช่นกัน โดยซังต้นนี้จะถูกนำไปสานเป็นกระพ้อมกระบุงเพื่อบรรจุเก็บเมล็ดข้าว และโดยคุณวิเศษของมันก็จะทำให้ไม่มีแมลง มด มอดใดๆ มาทำลายเมล็ดพืชได้ รวมทั้งเมล็ดก็จะไม่มีวันเน่าเสียหรือฝ่อด้วย ดังนั้นเมล็ดข้าวนี้จึงสามารถเก็บรักษาไว้ได้เป็นเวลานาน จนกว่าจะถึงคราจำเป็นที่จะต้องมีการผลิตเลมบัสจึงจะนำเมล็ดข้าวเหล่านี้ออกมาใช้
บันทึกและเรียบเรียงใหม่จาก
Quente Quengoldo