**แก้ไข2
ขอบคุณทุกๆ คนที่โหวตให้นะคะ ตื่นเต้นมาก
ยังไงก็หวังว่ากระทู้นี้จะช่วยได้ไม่มากก็น้อยนะคะ
**แก้ไข
อ้างอิงตาม
http://www.movehub.com/blog/living-costs-world-map นะคะ
สวัสดีค่ะ กระทู้แรกนะคะ เขียนไม่รู้เรื่องก็ขออภัย 555555
ช่วงสี่เดือนกว่าที่ผ่านมา จขกท มีโอกาสได้ไปเรียนที่ Switzerland ในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เชื่อว่ามันคงจะเป็นดินแดนในฝันของใครหลายๆ คนใช่ไหมคะ
สวิสเซอร์แลนด์เป็นประเทศเล็กๆ ตั้งอยู่ใจกลางยุโรป ล้อมรอบไปด้วยประเทศเยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี ออสเตรีย และ Lichtenstein โดยประชากรในประเทศมีเพียง 7-8 ล้านคนเท่านั้น เออมันเล็กมากนะ แต่ก็สวยมากทีเดียว (ขนาดประชากรประมาณกรุงเทพ 5555 คิดว่าตัวเลขนี้ยังไม่น่าจะรวมพวกคนต่างชาติที่มาอาศัยนะ ถ้ารวมแล้วก็น่าจะประมาณ 12 ล้าน ถ้าผิดพลาดขออภัย)
ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่สวยงามอร่ามแท้แลตะลึง บรรยากาศดี นาฬิกาคุณภาพ ช็อกโกแลตอร่อยเลิศ แต่ค่าครองชีพแพงมากถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะฉะนั้นก็ต้องวางแผนการใช้จ่ายกันสักหน่อย ซึ่งแผนของเราก็คือ กินอยู่อย่างประหยัดให้ได้มากที่สุด ปลายปีเราจะได้มีตังเที่ยวและตะลุยช็อปทีเดียวช่วงคริสมาสเซลล์ 5555555
แต่ของทุกอย่างมันก็แพงจริงอะ ไม่ประหยัดก็บร้าละ เริ่มรีวิวเลยดีกว่า เริ่มจากค่าใช้จ่ายที่เราจำเป็นต้องจ่ายหลังจากที่ย้ายมาอยู่ที่นี่
หมายเหตุ: เราอยู่ Luzern, มหาวิทยาลัย Luzern University of Applied Sciences and Arts (Hochschule Luzern) ค่ะ
ค่าใช้จ่ายที่คุมไม่ได้
ค่าใช้จ่ายที่เราจำเป็นต้องจ่าย หนีไม่ได้ จขกท ก็พยายามหนีค่าใช้จ่ายพวกนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่สามารถจีๆ =_=
1. ค่า Residence permit/เอกสารต่างๆ – เนื่องจากเรามาอยู่มากกว่า 3 เดือน ประเทศสวิสก็จะออกบัตรพลเมืองให้ชั่วคราว ซึ่งเราก็ต้องไปเดินเรื่องทำเอกสารต่างๆ นาๆ ถ้าไม่ทำก็ออกนอกประเทศไม่ได้นะจ้ะ เพราะวีซ่าที่ได้มาเป็นวีซ่านักเรียน Type D ซึ่งจะหมดอายุภายใน 3 เดือน โดยค่าเอกสารยืนยันตัวตน บลาๆๆๆๆ ทั้งหมดนี้สนนราคาที่ประมาณ 280 CHF (ค่าเงินตอนนั้น 1 chf = 35 thb) ก็ 9,800 บาทชิวๆ เองล่ะตัวเธอ โอเคนะ #ร้องไห้หนักมาก
ลืมบอกไปว่าแต่ละเมืองค่า residence permit จะไม่เท่ากันนะ แต่ Luzern มันโหดมากเลยงะ =_=
2. ค่าเช่าบ้าน/หอ/ห้อง – ห้องเช่า มหาลัยที่สวิสเป็นคนติดต่อให้ เราได้ห้อง studio ในอพาร์ทเม้นเล็กๆ มีห้องน้ำ ครัวส่วนตัวเล็กๆ เตียง กับระเบียง ห้องนี้เช่าต่อจากนักเรียนสวิสที่ไปแลกเปลี่ยนต่อที่อื่น ราคาก็ 710 chf ต่อเดือน รวมค่าน้ำค่าไฟแล้ว ปล. ไม่มี wifi, เสียตังถ้าใช้เครื่องซักผ้า ชอบที่มีครัวให้ และรวมค่าน้ำค่าไฟแล้ว ไม่งั้นจะต้องมานั่งคิดหาวิธีประหยัดน้ำ ประหยัดไฟอีก 555555
3. Insurance – ประกันชีวิตตตต ต้องมีตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ จขกท ไปอยู่ 4 เดือน 7 วัน เสียเดือนละ 90 chf (3,150 บาท) ส่วนเศษ 7 วันก็โดนปัดขึ้นเป็น 1 เดือนเช่นกัน T___T โหดร้ายมิคะ
4. ค่าโทรศัพท์ – ซื้อซิมรายเดือนเสียค่าซิม 40 chf ก่อนนะจ้ะ (1,400 บาทททททท) ส่วน Prepaid ก็ 20 chf (700 บาท) แถมเงินในซิมมาให้นิดหน่อย ส่วนตัวเราใช้มาแล้วทั้ง Prepaid และรายเดือน
แพกเกจเน็ต 4G 2gb ของ Sunrise เสียค่าบริการเดือนละ 20 chf, ส่วน prepaid ของ Swisscom เน็ตกากมาก เสียวันละ 2 chf
ปล. ใช้รายเดือนคุ้มกว่า แต่จะเปิดบริการแบบรายเดือน ต้องมีบัตร residence permit แล้วนะคะ ไม่งั้นเขาไม่ให้สมัคร เพราะงั้นช่วงแรกก็ต้อง prepaid ไป
5. ค่าบัตรโดยสาร Half fare – จะมีหรือไม่มีก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเดินทางน้อยมากแค่ไหน เราเดินทางบ่อย บัตรนี้ลดราคาตั๋วรถไฟ, รถบัส, เรือ, อื่นๆ ได้ถึง 50% อันนี้สำหรับเราถือว่าคุ้ม ใบละ 175 chf อยู่ได้ 1 ปี (6,125 บาท)
ค่าใช้จ่ายที่คุมได้ (บ้าง)
มาถึงค่าใช้จ่ายที่คุมได้กันบ้าง มาดูกันว่ามีอะไร *__*
1. การเดินทาง – เดินได้ให้เดิน เดินให้มากที่สุด ถ้าไม่ได้ไปอีกเมืองก็อย่าขึ้นเลยรถบัส เพราะตั๋วรถบัสที่ราคาถูกที่สุดยังตั้ง 5 chf (ถ้าไม่มี half fare) หรือ 175 บาท นั่งได้ 30 นาที ห้ามเกินเขตที่เขากำหนดไว้ จากผลสำรวจแล้ว ถ้าไม่รีบมากก็เดินดีกว่านะจ้ะ 555
แต่เราเคยเสี่ยงดวงขึ้นรถบัสฟรีหลายรอบอยู่ ถ้าเจอคนตรวจตั๋วแล้วไม่ได้ซื้อ ก็เสียไปเลยชิวๆ 100 chf (3500 บาท) พร้อมโดนเก็บประวัติ 5555 โดนครั้งที่สองก็จะเพิ่มเป็น 200 ตามลำดับ
2. น้ำ – น้ำแร่อีเวียงที่นี่ถูกกว่าที่ไทยนะคะ อิอิ #ปลื้มปริ่ม แต่ก็ต้องดูด้วยนะว่าซื้อที่ไหน 500ml ประมาณ 0.70 มั้งนะถ้าจำไม่ผิด (25 บาท) แต่ แต่ แต่!! ถ้าใครเคยไปต่างประเทศก็จะรู้ว่าน้ำก๊อกที่นี่มันกินได้ เพราะฉะนั้นซื้ออีเวียงมาขวดนึง เก็บขวดไว้ กรอกเติมกินได้หลายวันจ้ะ 55555 น้ำก๊อกที่นี่สะอาด ปลอดภัย เพราะงั้นประหยัดไปได้อีกหนึ่งสเต็ปนะคะ
จะซื้อน้ำให้ไปซื้อที่ Denner, Migros, หรือ COOP นะคะ ใน Luzern มันจะมีร้านขายขนมปังชื่อ Bachmann มีทุกมุมถนน นักท่องเที่ยวชอบไปซื้อกัน น้ำที่นี่ขายตั้ง 2 chf แหนะ
3. อาหาร
อาหารรรร!! ไม่ต้องคิดให้วุ่นวาย ทำกินเองดีที่สุดเลย เพราะอะไรน่ะหรือ
เอาแค่นี้ก่อน พอจะเป็นไอเดียได้นะคะว่าถ้าจะอยู่ดีกินดีที่นี่ต้องจ่ายแพงขนาดไหน 555555 การทำอาหารเองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยที่สวิสเนี่ย ร้านสะดวกซื้อจะมีเพียง 3 แบรนด์ดังเท่านั้น ซึ่งก็คือ COOP, Migros, และ Denner
เรียงตามความประหยัด
Denner -> Migros -> COOP
แนะนำว่าถ้าอยากได้อะไรให้วิ่งไป Denner ก่อน แต่เดนเนอร์มันเป็นร้านไม่ใหญ่มาก อาจไม่ได้มีทุกอย่าง เพราะงั้นก็วิ่งไป Migros (มิโกร) ต่อ 555555 สุดท้ายไม่มีจริงๆ ให้ไป COOP (คนที่นี่อ่านว่า โคป) แต่ แต่ แต่! Migros บางอย่างก็แพงกว่า COOP นะ ถ้าอยากช็อปที่เดียว ไม่สนงบประมาณก็ COOP เลย
ส่วนนี่เป็นรูปแผนกช็อกโกแลตที่ Migros ช็อกโกแลตธรรมดาหน่อยก็อันละ 1.25 chf จ้ะ (คนสวิสกินช็อกโกแลตปีละ 11 โล)
เคล็ดลับของถูก
เคล็บลับได้ของถูก ไม่มีอะไรมาก รอเขา Sale 555555
ร้านสะดวกซื้อที่นี่เขาดีอย่าง ตรงที่ว่าของสดทุกชนิดจะมีวันหมดอายุบอก บางทีอีก 1-2 วันหมดอายุ เขาก็จะเอาออกมาลดราคา ถ้าอยู่สวิสตอนบน มันจะแปะว่า Aktion, สวิสตอนล่าง Action นะจ้ะ มองหาป้ายสีส้มๆ ดูราคาละก็คว้ามาเลย Take action ซะ 5555 ของสดบางอย่างลดราคาตั้งแต่ 30-70% เราเคยเจออกไก่ 500g ลดราคา 70% ซึ่งถูกกว่าอกไก่ 300g ราคาธรรมดาอะ 5555 คว้าทันทีและโยนเข้าฟรีซไปเลย เก็บกินได้อีกหลายวันโดยไม่ต้องสนวันหมดอายุ เพราะจริงๆ แล้ววันหมดอายุบนแพคมันเป็นวันหมดอายุถ้าเอาเข้าช่องธรรมดา หรือวางไว้ข้างนอกนะ
ของสดราคาประมาณไหน เราไม่ได้ถ่ายรูปมาง่ะ เพราะไม่คิดว่าจะได้มารีวิว เอาคร่าวๆ ก็แล้วกันนะคะ
ไข่ 1 แผง (15 ฟอง) – 3.6 chf
นม 1 L – 1.5 chf (ซื้อ Denner)
เบค่อนที่ Denner – 3 chf
ขนมปัง 1 แถว – น้อยกว่า 1 chf
ส่วนเนื้อสัตว์ถ้าจะให้ถูกก็ Denner อีกน่ะแหละ แพคละ 4-8 chf เนื้อสัตว์ประมาณ 300-500 g
ถ้าไปซื้อที่ COOP ไก่ 1 แพค ก็เกือบ 10 chf+++
ทริคการซื้อเนื้อสัตว์คือ ถ้าไม่เรื่องมาก เจอเนื้อไก่งวง ให้ซื้อเนื้อไก่งวง เพราะเนื้อไก่งวงถูกสุด รสชาติไม่ต่างกับไก่ปกติ แถมยังนุ่มกว่าหน่อยด้วย ที่สวิส เนื้อแพงสุด หมูแพงกว่าไก่ ไก่แพงกว่าไก่งวง ส่วนอาหารทะเล แพงเป็นพิเศษเพราะสวิสไม่ได้ติดกับทะเลใดๆ เลย 555
ด้วยความที่เป็นคนเอเชีย อาหารที่ขาดไม่ได้เลยคือข้าว เราเจอข้าวยี่ห้อหงษ์ทองขายใน COOP เท่านั้น น้ำหนัก 4.5 kg ประมาณ 10 chf ถ้ามาอยู่ยาวก็ซื้อเลย คุ้มกว่าไปซื้อที่มันขายเป็นกล่อง กล่องละ 500g ราคา 3 chf มั้งนะคะถ้าจำไม่ผิด
สิ่งที่ดีอีกอย่างหนึ่งก็คือร้านขายของเอเชีย ชื่อว่าร้าน Shiang Hai ตั้งอยู่ใน Luzern เจ้าของร้านพูดได้ 6 ภาษา ไม่รู้ว่าคนหรือท้อกกิ้งดิคนะคะ ในร้านนี้เขาจะอิมพอร์ตผัก ของแห้ง ของแช่แข็งมาจากไทยบ้าง เวียดนามบ้าง จีนบ้าง อินโดบ้าง เราไปครั้งแรกน้ำตาจิไหล ได้เจอผักบุ้ง ผักคะน้า ต้นหอม ผักชี น้ำปลา น้ำมันหอย น้ำจิ้มสุกี้ มาม่า โอเคเลยงะ ซึ่ง จำไม่ได้อีกเช่นกันว่าอะไรเท่าไหร่ 55555 แต่คำนวนแล้วว่าซื้อมาทำเอง ถูก กว่า ชัวร์!!! ฟันธง!! #ฟึ่บบบ
ชีวิตดีขึ้นมากเมื่อเจอร้านเอเชีย ส่วนนี่เป็นรูปอาหารที่เราทำตอนอยู่ที่สวิสนะคะ ต้นทุนซื้อมามันไม่แพงขนาดนั้นเลย ยิ่งเวลาหารสองกินกับเพื่อนอะ อึหือ เด็ดดวง
ในกรณีที่ยากลำบากจริงๆ แบบไม่มีอะไรจะกิน สิ่งที่ช่วยเราได้มากที่สุดคือ cereal ยี่ห้อ Denner 55555 ราคาประมาณ 2-3 ฟรัง แต่กินได้เป็นเดือน
ออปชั่นที่สองคือ ขนมปังเนยยี่ห้อ Denner, ชีสแผ่น, และแฮม Denner เอาเป็นว่าซื้อเดนเนอร์หมดเลย 5555 ขนมปังเนยขายเป็นก้อนๆ ใส่แพคยาวๆ มีจำนวน 10 ก้อน ราคาประมาณ 2 chf, ชีส 5-6 แผ่น ราคา 1.95 chf, แฮมเลือกที่ถูกที่สุด ประมาณ 3 chf
วิธีกินคือ เอาขนมปังมาผ่าครึ่ง ใส่ชีส ½ แผ่น กับแฮม ½ แผ่น จะกินแบบนี้เลยหรือจะเข้าเวฟ อุ่นไรก็ได้ รวมแล้วจะได้แซนวิชแฮมชีสหอมเนย 10 ชิ้น ในราคา 7 chf แบ่งกินมื้อละ 2-3 ชิ้น ช่วยชีวิตยามยากได้อย่างดีเยี่ยม 5555
สรุปแล้ว ลองจำกัดค่าใช้จ่ายในแต่ละวันให้ตัวเองดูนะคะ เช่น ห้ามใช้เกินวันละ 20 chf, 15 chf บางวันเราไม่ได้ใช้เลยสักฟรังเพราะว่าอาหารเต็มตู้ แล้วก็ไม่ได้ออกไปไหน
ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับการรีวิวกินอยู่อย่างประหยัด ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรใครได้ไหม =_= แต่มีอะไรก็สามารถถามได้นะคะ
ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ
รีวิวครั้งหน้า คาดว่าจะเป็นเรื่องประสบการณ์ที่ได้ไปเที่ยวในที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Zurich Zoo, สวนน้ำ Aqua Parc Bouveret, สวนสนุก Europa Park ที่เยอรมัน, Mt. Pilatus แห่ง Luzern, น้ำตก Rhine Fall, วัดไทย และอื่นๆ
สำหรับวันนี้ ขอบคุณค่า >_<
[How to] กินอยู่อย่างประหยัดใน Switzerland แดนฝันที่ค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก!!
ขอบคุณทุกๆ คนที่โหวตให้นะคะ ตื่นเต้นมาก
ยังไงก็หวังว่ากระทู้นี้จะช่วยได้ไม่มากก็น้อยนะคะ
**แก้ไข
อ้างอิงตาม http://www.movehub.com/blog/living-costs-world-map นะคะ
สวัสดีค่ะ กระทู้แรกนะคะ เขียนไม่รู้เรื่องก็ขออภัย 555555
ช่วงสี่เดือนกว่าที่ผ่านมา จขกท มีโอกาสได้ไปเรียนที่ Switzerland ในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เชื่อว่ามันคงจะเป็นดินแดนในฝันของใครหลายๆ คนใช่ไหมคะ
สวิสเซอร์แลนด์เป็นประเทศเล็กๆ ตั้งอยู่ใจกลางยุโรป ล้อมรอบไปด้วยประเทศเยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี ออสเตรีย และ Lichtenstein โดยประชากรในประเทศมีเพียง 7-8 ล้านคนเท่านั้น เออมันเล็กมากนะ แต่ก็สวยมากทีเดียว (ขนาดประชากรประมาณกรุงเทพ 5555 คิดว่าตัวเลขนี้ยังไม่น่าจะรวมพวกคนต่างชาติที่มาอาศัยนะ ถ้ารวมแล้วก็น่าจะประมาณ 12 ล้าน ถ้าผิดพลาดขออภัย)
ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่สวยงามอร่ามแท้แลตะลึง บรรยากาศดี นาฬิกาคุณภาพ ช็อกโกแลตอร่อยเลิศ แต่ค่าครองชีพแพงมากถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะฉะนั้นก็ต้องวางแผนการใช้จ่ายกันสักหน่อย ซึ่งแผนของเราก็คือ กินอยู่อย่างประหยัดให้ได้มากที่สุด ปลายปีเราจะได้มีตังเที่ยวและตะลุยช็อปทีเดียวช่วงคริสมาสเซลล์ 5555555
แต่ของทุกอย่างมันก็แพงจริงอะ ไม่ประหยัดก็บร้าละ เริ่มรีวิวเลยดีกว่า เริ่มจากค่าใช้จ่ายที่เราจำเป็นต้องจ่ายหลังจากที่ย้ายมาอยู่ที่นี่
หมายเหตุ: เราอยู่ Luzern, มหาวิทยาลัย Luzern University of Applied Sciences and Arts (Hochschule Luzern) ค่ะ
ค่าใช้จ่ายที่คุมไม่ได้
ค่าใช้จ่ายที่เราจำเป็นต้องจ่าย หนีไม่ได้ จขกท ก็พยายามหนีค่าใช้จ่ายพวกนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่สามารถจีๆ =_=
1. ค่า Residence permit/เอกสารต่างๆ – เนื่องจากเรามาอยู่มากกว่า 3 เดือน ประเทศสวิสก็จะออกบัตรพลเมืองให้ชั่วคราว ซึ่งเราก็ต้องไปเดินเรื่องทำเอกสารต่างๆ นาๆ ถ้าไม่ทำก็ออกนอกประเทศไม่ได้นะจ้ะ เพราะวีซ่าที่ได้มาเป็นวีซ่านักเรียน Type D ซึ่งจะหมดอายุภายใน 3 เดือน โดยค่าเอกสารยืนยันตัวตน บลาๆๆๆๆ ทั้งหมดนี้สนนราคาที่ประมาณ 280 CHF (ค่าเงินตอนนั้น 1 chf = 35 thb) ก็ 9,800 บาทชิวๆ เองล่ะตัวเธอ โอเคนะ #ร้องไห้หนักมาก
ลืมบอกไปว่าแต่ละเมืองค่า residence permit จะไม่เท่ากันนะ แต่ Luzern มันโหดมากเลยงะ =_=
2. ค่าเช่าบ้าน/หอ/ห้อง – ห้องเช่า มหาลัยที่สวิสเป็นคนติดต่อให้ เราได้ห้อง studio ในอพาร์ทเม้นเล็กๆ มีห้องน้ำ ครัวส่วนตัวเล็กๆ เตียง กับระเบียง ห้องนี้เช่าต่อจากนักเรียนสวิสที่ไปแลกเปลี่ยนต่อที่อื่น ราคาก็ 710 chf ต่อเดือน รวมค่าน้ำค่าไฟแล้ว ปล. ไม่มี wifi, เสียตังถ้าใช้เครื่องซักผ้า ชอบที่มีครัวให้ และรวมค่าน้ำค่าไฟแล้ว ไม่งั้นจะต้องมานั่งคิดหาวิธีประหยัดน้ำ ประหยัดไฟอีก 555555
3. Insurance – ประกันชีวิตตตต ต้องมีตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ จขกท ไปอยู่ 4 เดือน 7 วัน เสียเดือนละ 90 chf (3,150 บาท) ส่วนเศษ 7 วันก็โดนปัดขึ้นเป็น 1 เดือนเช่นกัน T___T โหดร้ายมิคะ
4. ค่าโทรศัพท์ – ซื้อซิมรายเดือนเสียค่าซิม 40 chf ก่อนนะจ้ะ (1,400 บาทททททท) ส่วน Prepaid ก็ 20 chf (700 บาท) แถมเงินในซิมมาให้นิดหน่อย ส่วนตัวเราใช้มาแล้วทั้ง Prepaid และรายเดือน
แพกเกจเน็ต 4G 2gb ของ Sunrise เสียค่าบริการเดือนละ 20 chf, ส่วน prepaid ของ Swisscom เน็ตกากมาก เสียวันละ 2 chf
ปล. ใช้รายเดือนคุ้มกว่า แต่จะเปิดบริการแบบรายเดือน ต้องมีบัตร residence permit แล้วนะคะ ไม่งั้นเขาไม่ให้สมัคร เพราะงั้นช่วงแรกก็ต้อง prepaid ไป
5. ค่าบัตรโดยสาร Half fare – จะมีหรือไม่มีก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเดินทางน้อยมากแค่ไหน เราเดินทางบ่อย บัตรนี้ลดราคาตั๋วรถไฟ, รถบัส, เรือ, อื่นๆ ได้ถึง 50% อันนี้สำหรับเราถือว่าคุ้ม ใบละ 175 chf อยู่ได้ 1 ปี (6,125 บาท)
ค่าใช้จ่ายที่คุมได้ (บ้าง)
มาถึงค่าใช้จ่ายที่คุมได้กันบ้าง มาดูกันว่ามีอะไร *__*
1. การเดินทาง – เดินได้ให้เดิน เดินให้มากที่สุด ถ้าไม่ได้ไปอีกเมืองก็อย่าขึ้นเลยรถบัส เพราะตั๋วรถบัสที่ราคาถูกที่สุดยังตั้ง 5 chf (ถ้าไม่มี half fare) หรือ 175 บาท นั่งได้ 30 นาที ห้ามเกินเขตที่เขากำหนดไว้ จากผลสำรวจแล้ว ถ้าไม่รีบมากก็เดินดีกว่านะจ้ะ 555
แต่เราเคยเสี่ยงดวงขึ้นรถบัสฟรีหลายรอบอยู่ ถ้าเจอคนตรวจตั๋วแล้วไม่ได้ซื้อ ก็เสียไปเลยชิวๆ 100 chf (3500 บาท) พร้อมโดนเก็บประวัติ 5555 โดนครั้งที่สองก็จะเพิ่มเป็น 200 ตามลำดับ
2. น้ำ – น้ำแร่อีเวียงที่นี่ถูกกว่าที่ไทยนะคะ อิอิ #ปลื้มปริ่ม แต่ก็ต้องดูด้วยนะว่าซื้อที่ไหน 500ml ประมาณ 0.70 มั้งนะถ้าจำไม่ผิด (25 บาท) แต่ แต่ แต่!! ถ้าใครเคยไปต่างประเทศก็จะรู้ว่าน้ำก๊อกที่นี่มันกินได้ เพราะฉะนั้นซื้ออีเวียงมาขวดนึง เก็บขวดไว้ กรอกเติมกินได้หลายวันจ้ะ 55555 น้ำก๊อกที่นี่สะอาด ปลอดภัย เพราะงั้นประหยัดไปได้อีกหนึ่งสเต็ปนะคะ
จะซื้อน้ำให้ไปซื้อที่ Denner, Migros, หรือ COOP นะคะ ใน Luzern มันจะมีร้านขายขนมปังชื่อ Bachmann มีทุกมุมถนน นักท่องเที่ยวชอบไปซื้อกัน น้ำที่นี่ขายตั้ง 2 chf แหนะ
3. อาหาร
อาหารรรร!! ไม่ต้องคิดให้วุ่นวาย ทำกินเองดีที่สุดเลย เพราะอะไรน่ะหรือ
สปาเกตตี้มีแต่เส้น ผัดซอสแซลม่อน – 23 chf (805 บาท)
Doner Kebab – เคบับใส่กล่อง 9-12 chf (315-420 บาท)
แซนวิชไส้ซาลามี่ – 6.8 chf (238 บาท)
กระเพราหมูไข่ดาว (ร้านอาหารไทยที่ Bouveret) – 16 chf (560 บาท) ถือว่าถูกถ้าเทียบกับร้านอื่น
บุฟเฟ่ Hot Pot All you can eat ที่ร้านอาหารจีนใน Montreux – 35 chf/คน (คนละ 1,225 บาท)
Appetizer, Fish and chips, Rabbit and risotto – 200 chf (7,000 บาท)
เอาแค่นี้ก่อน พอจะเป็นไอเดียได้นะคะว่าถ้าจะอยู่ดีกินดีที่นี่ต้องจ่ายแพงขนาดไหน 555555 การทำอาหารเองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยที่สวิสเนี่ย ร้านสะดวกซื้อจะมีเพียง 3 แบรนด์ดังเท่านั้น ซึ่งก็คือ COOP, Migros, และ Denner
เรียงตามความประหยัด
Denner -> Migros -> COOP
แนะนำว่าถ้าอยากได้อะไรให้วิ่งไป Denner ก่อน แต่เดนเนอร์มันเป็นร้านไม่ใหญ่มาก อาจไม่ได้มีทุกอย่าง เพราะงั้นก็วิ่งไป Migros (มิโกร) ต่อ 555555 สุดท้ายไม่มีจริงๆ ให้ไป COOP (คนที่นี่อ่านว่า โคป) แต่ แต่ แต่! Migros บางอย่างก็แพงกว่า COOP นะ ถ้าอยากช็อปที่เดียว ไม่สนงบประมาณก็ COOP เลย
ส่วนนี่เป็นรูปแผนกช็อกโกแลตที่ Migros ช็อกโกแลตธรรมดาหน่อยก็อันละ 1.25 chf จ้ะ (คนสวิสกินช็อกโกแลตปีละ 11 โล)
เคล็ดลับของถูก
เคล็บลับได้ของถูก ไม่มีอะไรมาก รอเขา Sale 555555
ร้านสะดวกซื้อที่นี่เขาดีอย่าง ตรงที่ว่าของสดทุกชนิดจะมีวันหมดอายุบอก บางทีอีก 1-2 วันหมดอายุ เขาก็จะเอาออกมาลดราคา ถ้าอยู่สวิสตอนบน มันจะแปะว่า Aktion, สวิสตอนล่าง Action นะจ้ะ มองหาป้ายสีส้มๆ ดูราคาละก็คว้ามาเลย Take action ซะ 5555 ของสดบางอย่างลดราคาตั้งแต่ 30-70% เราเคยเจออกไก่ 500g ลดราคา 70% ซึ่งถูกกว่าอกไก่ 300g ราคาธรรมดาอะ 5555 คว้าทันทีและโยนเข้าฟรีซไปเลย เก็บกินได้อีกหลายวันโดยไม่ต้องสนวันหมดอายุ เพราะจริงๆ แล้ววันหมดอายุบนแพคมันเป็นวันหมดอายุถ้าเอาเข้าช่องธรรมดา หรือวางไว้ข้างนอกนะ
ของสดราคาประมาณไหน เราไม่ได้ถ่ายรูปมาง่ะ เพราะไม่คิดว่าจะได้มารีวิว เอาคร่าวๆ ก็แล้วกันนะคะ
ไข่ 1 แผง (15 ฟอง) – 3.6 chf
นม 1 L – 1.5 chf (ซื้อ Denner)
เบค่อนที่ Denner – 3 chf
ขนมปัง 1 แถว – น้อยกว่า 1 chf
ส่วนเนื้อสัตว์ถ้าจะให้ถูกก็ Denner อีกน่ะแหละ แพคละ 4-8 chf เนื้อสัตว์ประมาณ 300-500 g
ถ้าไปซื้อที่ COOP ไก่ 1 แพค ก็เกือบ 10 chf+++
ทริคการซื้อเนื้อสัตว์คือ ถ้าไม่เรื่องมาก เจอเนื้อไก่งวง ให้ซื้อเนื้อไก่งวง เพราะเนื้อไก่งวงถูกสุด รสชาติไม่ต่างกับไก่ปกติ แถมยังนุ่มกว่าหน่อยด้วย ที่สวิส เนื้อแพงสุด หมูแพงกว่าไก่ ไก่แพงกว่าไก่งวง ส่วนอาหารทะเล แพงเป็นพิเศษเพราะสวิสไม่ได้ติดกับทะเลใดๆ เลย 555
ด้วยความที่เป็นคนเอเชีย อาหารที่ขาดไม่ได้เลยคือข้าว เราเจอข้าวยี่ห้อหงษ์ทองขายใน COOP เท่านั้น น้ำหนัก 4.5 kg ประมาณ 10 chf ถ้ามาอยู่ยาวก็ซื้อเลย คุ้มกว่าไปซื้อที่มันขายเป็นกล่อง กล่องละ 500g ราคา 3 chf มั้งนะคะถ้าจำไม่ผิด
สิ่งที่ดีอีกอย่างหนึ่งก็คือร้านขายของเอเชีย ชื่อว่าร้าน Shiang Hai ตั้งอยู่ใน Luzern เจ้าของร้านพูดได้ 6 ภาษา ไม่รู้ว่าคนหรือท้อกกิ้งดิคนะคะ ในร้านนี้เขาจะอิมพอร์ตผัก ของแห้ง ของแช่แข็งมาจากไทยบ้าง เวียดนามบ้าง จีนบ้าง อินโดบ้าง เราไปครั้งแรกน้ำตาจิไหล ได้เจอผักบุ้ง ผักคะน้า ต้นหอม ผักชี น้ำปลา น้ำมันหอย น้ำจิ้มสุกี้ มาม่า โอเคเลยงะ ซึ่ง จำไม่ได้อีกเช่นกันว่าอะไรเท่าไหร่ 55555 แต่คำนวนแล้วว่าซื้อมาทำเอง ถูก กว่า ชัวร์!!! ฟันธง!! #ฟึ่บบบ
ชีวิตดีขึ้นมากเมื่อเจอร้านเอเชีย ส่วนนี่เป็นรูปอาหารที่เราทำตอนอยู่ที่สวิสนะคะ ต้นทุนซื้อมามันไม่แพงขนาดนั้นเลย ยิ่งเวลาหารสองกินกับเพื่อนอะ อึหือ เด็ดดวง
ในกรณีที่ยากลำบากจริงๆ แบบไม่มีอะไรจะกิน สิ่งที่ช่วยเราได้มากที่สุดคือ cereal ยี่ห้อ Denner 55555 ราคาประมาณ 2-3 ฟรัง แต่กินได้เป็นเดือน
ออปชั่นที่สองคือ ขนมปังเนยยี่ห้อ Denner, ชีสแผ่น, และแฮม Denner เอาเป็นว่าซื้อเดนเนอร์หมดเลย 5555 ขนมปังเนยขายเป็นก้อนๆ ใส่แพคยาวๆ มีจำนวน 10 ก้อน ราคาประมาณ 2 chf, ชีส 5-6 แผ่น ราคา 1.95 chf, แฮมเลือกที่ถูกที่สุด ประมาณ 3 chf
วิธีกินคือ เอาขนมปังมาผ่าครึ่ง ใส่ชีส ½ แผ่น กับแฮม ½ แผ่น จะกินแบบนี้เลยหรือจะเข้าเวฟ อุ่นไรก็ได้ รวมแล้วจะได้แซนวิชแฮมชีสหอมเนย 10 ชิ้น ในราคา 7 chf แบ่งกินมื้อละ 2-3 ชิ้น ช่วยชีวิตยามยากได้อย่างดีเยี่ยม 5555
สรุปแล้ว ลองจำกัดค่าใช้จ่ายในแต่ละวันให้ตัวเองดูนะคะ เช่น ห้ามใช้เกินวันละ 20 chf, 15 chf บางวันเราไม่ได้ใช้เลยสักฟรังเพราะว่าอาหารเต็มตู้ แล้วก็ไม่ได้ออกไปไหน
ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับการรีวิวกินอยู่อย่างประหยัด ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรใครได้ไหม =_= แต่มีอะไรก็สามารถถามได้นะคะ
ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ
รีวิวครั้งหน้า คาดว่าจะเป็นเรื่องประสบการณ์ที่ได้ไปเที่ยวในที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Zurich Zoo, สวนน้ำ Aqua Parc Bouveret, สวนสนุก Europa Park ที่เยอรมัน, Mt. Pilatus แห่ง Luzern, น้ำตก Rhine Fall, วัดไทย และอื่นๆ
สำหรับวันนี้ ขอบคุณค่า >_<