นาย เอียน ลอยด์ นอยเบาเออร์ นักข่าวชาวออสเตรเลียของนิตยสาร 'ไทม์' เขียนบทความบอกเล่าเกี่ยวกับปัญหานักท่องเที่ยวในประเทศไทย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจคุกคามและรีดไถมากขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จนนายนอยเบาเออร์ถึงกับเปรียบเทียบว่า ประเทศไทยควรเปลี่ยนฉายาจากดินแดนแห่งรอยยิ้ม เป็นดินแดนแห่งการรีดไถมากกว่า
บทความของนายนอยเบาเออร์ ซึ่งเผยแพร่ลงบนเว็บไซต์ของนิตยสาร ไทม์ เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ระบุว่า เมื่อปี 2014 ข้อมูลจากดัชนีสุดยอดจุดหมายปลายทางโลก ซึ่งจัดทำโดยบริษัท มาสเตอร์การ์ด จัดอันดับให้กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทย เป็นสถานที่ที่เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
แต่หลังจากกองทัพเข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ปีที่แล้ว และมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกไปทั่วประเทศ นักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครจำนวนมาก ก็ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมมากขึ้น และได้รับความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อย เมื่อแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะผู้กระทำก็คือตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจเอง
นายนอยเบาเออร์ ได้อ้างคำพูดของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตผู้ประกอบการธุรกิจอาบอบนวด ผู้ผันตัวมาเป็นนักการเมืองต่อต้านการคอร์รัปชัน ว่า "หากคุณไปที่ถนนสุขุมวิท คุณจะเห็นตำรวจมองหานักท่องเที่ยวที่สูบบุหรี่ หรือทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้น จากนั้นตำรวจก็จะเข้าไปขอตรวจหนังสือเดินทางและให้นักท่องเที่ยวจ่ายค่าปรับเป็นเงิน 2,000 บาท ผมเห็นเรื่องนี้เกิดขึ้นตลอดเวลา นอกจากนี้ เมื่อคุณเดินออกจากซอยคาวบอย ตำรวจจะเข้าไปสอบถามคุณว่ามียาเสพติดหรือไม่ และให้ตรวจปัสสาวะ ที่ข้างถนน หากนักท่องเที่ยวไม่ยอมตรวจ พวกเขาจะต้องจ่ายเงินถึง 20,000 บาท"
คำพูดของนายชูวิทย์ ยังสอดคล้องกับประสบการณ์ตรงของนักท่องเที่ยวหลายสิบหรือหลายร้อยคน ที่มีรายงานในสื่อท้องถิ่น รวมถึงการร้องเรียนตามสถานทูต, เว็บบล็อก และเครือข่ายสังคมออนไลน์ต่างๆ บางส่วนเชื่อว่าการยึดอำนาจของทหาร เป็นการขัดขวางเส้นทางการคอร์รัปชันแบบดั้งเดิม ทำให้ตำรวจที่ประพฤติมิชอบต้องมองหาเป้าหมายใหม่
รายงานของนายนอยเบาเออร์ ระบุอีกว่า เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.2557 นายมาร์ก เคนท์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ทวีตข้อความลงบนเว็บไซต์ทวิตเตอร์ว่า เขาได้เข้าพบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาแห่งประเทศไทย และได้หารือปัญหาต่างๆ หลายเรื่อง รวมถึงปัญหาตำรวจเรียกตรวจค้นนักท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ
ขณะที่นาย โจ คัมมิงส์ อดีตนักเขียนคอลัมน์ของ 'โลนลี แพลเน็ต' นิตยสารคู่มือท่องเที่ยวแบบแบ็กแพ็กเกอร์ชื่อดังของโลก ซึ่งมักเขียนให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของเหล่าแบ็กแพ็กเกอร์ ก็กังวลกับปัญหาตำรวจคุกคามนักท่องเที่ยวเช่นกัน โดยทวีตข้อความเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2557 ว่า การสุ่มตรวจค้นนักท่องเที่ยวของตำรวจในกรุงเทพฯ กำลังเลวร้ายลงเรื่อยๆ และมีรายงานจำนวนมากที่ระบุว่านักท่องเที่ยวที่ไม่ได้กระทำผิดถูกบังคับให้ต้องจ่ายเงินสินบน
นอกจากนี้ ยังมีประสบการณ์ตรงของนักท่องเที่ยวชื่อว่า รีส วอล์คเกอร์ ซึ่งเขียนจดหมายวิพากษ์วิจารณ์ถึงบรรณาธิการของสำนักข่าว บางกอก โพสต์ และได้รับการเผยแพร่เมื่อวันที่ 29 พ.ย.2557 โดยจดหมายของเขาระบุว่า "ตำรวจเรียกให้หยุดและตรวจค้นร่างกาย เมื่อเราถามตำรวจถึงเหตุผลของการตรวจค้น ตำรวจเพียงแค่หัวเราะใส่เรา ตำรวจถึงกับขอให้คู่หมั้นของผมตรวจปัสสาวะที่ข้างถนน" เขาระบุด้วยว่า เขาจะไม่ขอแนะนำให้คนอื่นๆ มาประเทศไทย เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นการเหยียดเชื้อชาติ
นายนอยเบาเออร์เขียนในบทความว่า ข้อความในจดหมายของนายวอล์คเกอร์ ทำให้เขารู้สึกเหมือน เดจาวู เพราะเมื่อครั้งที่เขาเดินทางมากรุงเทพฯ เมื่อเดือน ธ.ค. เขาก็ตกเป็นเหยื่อการรีดไถของตำรวจเช่นกัน
เหตุการณ์เกิดขึ้นในวันก่อนวันคริสต์มาส (24 ธ.ค.57) โดยนายนอยเบาเออร์ อยู่ที่ระเบียงชั้นบนของบาร์แห่งหนึ่งในย่านถนนสีลม เมื่อถึงเวลาประมาณ 02:00 น. เขาก็ตัดสินใจเดินทางกลับ แต่เมื่อเขาเดินลงมาชั้นล่าง เขาเห็นตำรวจ 6 นาย กำลังตรวจค้นบาร์แห่งนี้ และสอบปากคำบาร์เทนเดอร์ซึ่งถูกใส่กุญแจมือและนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกนาย ได้เข้ามาควบคุมตัวเขาทันที ทำให้เขาต้องถามออกไปว่าเกิดอะไรขึ้น และแจ้งกับตำรวจว่าเขาเป็นผู้สื่อข่าว แต่ตำรวจกลับทำท่าคุกคามเหมือนจะต่อยเขา ทำให้เขาต้องหยุดถามคำถาม
ราว 15 นาทีต่อมา ตำรวจอีกนายหยิบถุงที่มีผงสีขาวอยู่ภายในขึ้นมาเขย่าใกล้ใบหน้าของเขา และกล่าวหาว่าเขากำลังซื้อของสิ่งนี้ ซึ่งเขาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้อย่างเด็ดขาด ขณะที่ตำรวจคนอื่นๆ เดินไปหยิบเครื่องดื่มในร้านมาดื่ม เมื่อบาร์เทนเดอร์พยายามห้ามก็ถูกตำรวจเตะเข้าที่หน้าแข้ง
ในที่สุดตำรวจก็พานายนอยเบาเออร์ออกไปนอกร้าน ซึ่งเขาพบผู้หญิงชาวไทยคนหนึ่งเข้ามาบอกกับเขาว่า หากเขายอมจ่ายเงินซึ่งมีค่าเท่ากับ 15,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 494,760 บาท) เขาจะได้รับการปล่อยตัว แต่นอยเบาเออร์บอกกับผู้หญิงคนนี้ว่าตัวเขาไม่ได้ทำอะไรผิดและจะไม่จ่ายเงินแม้แต่เซนต์เดียว ทำให้เขาถูกพาตัวกลับเข้าไปภายในร้าน และเห็นตำรวจจับชาวตะวันตกที่อยู่ที่บาร์นั้นอีก 4 คน จากนั้นตำรวจจึงพาพวกเขาทั้ง 5 คน นั่งรถแท็กซี่ไปยังสถานีตำรวจโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น
ตลอด 4 ชั่วโมงหลังจากนั้น พวกเขาแต่ละคนถูกบังคับให้ตรวจปัสสาวะเพื่อตรวจหาสารเสพติด ซึ่งตำรวจที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำพูดเยาะเย้ยเขาว่า "แก โคเคน" ทำให้เขานึกถึงหนังสือและทีวีซีรีส์ที่เกี่ยวกับเรือนจำบางขวางขึ้นมาทันที จากนั้นพวกเขาก็ถูกพาตัวเข้าไปที่ห้องแถลงข่าวซึ่งมีแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์จ้าไปหมด ผลจากความเหนื่อยล้าและผมที่กระเซอะกระเซิง, สภาพร่างกายที่ไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน และผลตรวจปัสสาวะที่วางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าพวกเขา ทำให้พวกเขาถูกถ่ายรูปในสภาพที่จัดให้ดูเหมือนเป็นผู้กระทำความผิด
ต่อมา หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็นำเอกสารบางอย่างซึ่งเขียนเป็นภาษาไทยทั้งหมดมาให้เซ็นชื่อ ซึ่งเมื่อมาถึงตอนนี้ นายนอยเบาเออร์ ขอโทรศัพท์ถึงสถานทูตประเทศออสเตรเลีย หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงเข้ามาแจ้งกับพวกเขาว่า พวกเขาไม่มีสารเสพติดในปัสสาวะ และจะได้รับการปล่อยตัวหากเซ็นชื่อในเอกสารที่เจ้าหน้าที่นำมาให้ก่อนหน้านี้ ซึ่งเขาก็ยอมเซ็นชื่อ แต่เขียนกำกับไว้ด้วยว่า "นี่ไม่ใช่ลายเซ็นของผม" และเดินออกจากโรงพักไปยังถนนของกรุงเทพมหานครในเวลา 08:00 น. ของวันคริสต์มาส
นายนอยเบาเออร์เผยด้วยว่า ในระหว่างที่เขาถูกควบคุมตัว เขาพยายามบอกกับตำรวจหลายครั้งว่าเขาเป็นนักข่าว และเรียกร้องขอคำอธิบาย แต่ไม่มีใครอธิบายเรื่องใดๆ แก่เขา หลังจากได้รับการปล่อยตัว เขาก็เขียนอีเมลถึงตำรวจใ นสน.นั้นเพื่อขอคำอธิบาย แต่อีเมลก็ถูกตีกลับมา เขาจึงส่งอีเมล์ยังหน่วยงานต่างๆ ที่คาดว่าจะมีช่องทางติดต่อประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่เขาได้รับข้อความตอบจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ความว่า
"รัฐบาลไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่มีนโยบายที่จะควบคุมตัว, คุกคาม, ฉุดคร่า, ข่มขู่ และตรวจหาสารเสพติดนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกในประเทศไทย ในทางกลับกัน รัฐบาลไทยเห็นคุณค่าถึงความสำคัญอย่างใหญ่หลวงของนักท่องเที่ยว และความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคนเป็นเรื่องที่ประเทศนี้ให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก"
ข่าวจากไทยรัฐค่ะ สดๆ ร้อนๆ เลย
http://www.thairath.co.th/content/476314
ตำรวจไทยดังใหญ่ สื่อนอกแฉ! ตร.ไทยรีดไถนักท่องเที่ยวมากขึ้น-นักข่าว 'ไทม์' เคยโดนด้วย
บทความของนายนอยเบาเออร์ ซึ่งเผยแพร่ลงบนเว็บไซต์ของนิตยสาร ไทม์ เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ระบุว่า เมื่อปี 2014 ข้อมูลจากดัชนีสุดยอดจุดหมายปลายทางโลก ซึ่งจัดทำโดยบริษัท มาสเตอร์การ์ด จัดอันดับให้กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทย เป็นสถานที่ที่เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
แต่หลังจากกองทัพเข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ปีที่แล้ว และมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกไปทั่วประเทศ นักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครจำนวนมาก ก็ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมมากขึ้น และได้รับความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อย เมื่อแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะผู้กระทำก็คือตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจเอง
นายนอยเบาเออร์ ได้อ้างคำพูดของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตผู้ประกอบการธุรกิจอาบอบนวด ผู้ผันตัวมาเป็นนักการเมืองต่อต้านการคอร์รัปชัน ว่า "หากคุณไปที่ถนนสุขุมวิท คุณจะเห็นตำรวจมองหานักท่องเที่ยวที่สูบบุหรี่ หรือทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้น จากนั้นตำรวจก็จะเข้าไปขอตรวจหนังสือเดินทางและให้นักท่องเที่ยวจ่ายค่าปรับเป็นเงิน 2,000 บาท ผมเห็นเรื่องนี้เกิดขึ้นตลอดเวลา นอกจากนี้ เมื่อคุณเดินออกจากซอยคาวบอย ตำรวจจะเข้าไปสอบถามคุณว่ามียาเสพติดหรือไม่ และให้ตรวจปัสสาวะ ที่ข้างถนน หากนักท่องเที่ยวไม่ยอมตรวจ พวกเขาจะต้องจ่ายเงินถึง 20,000 บาท"
คำพูดของนายชูวิทย์ ยังสอดคล้องกับประสบการณ์ตรงของนักท่องเที่ยวหลายสิบหรือหลายร้อยคน ที่มีรายงานในสื่อท้องถิ่น รวมถึงการร้องเรียนตามสถานทูต, เว็บบล็อก และเครือข่ายสังคมออนไลน์ต่างๆ บางส่วนเชื่อว่าการยึดอำนาจของทหาร เป็นการขัดขวางเส้นทางการคอร์รัปชันแบบดั้งเดิม ทำให้ตำรวจที่ประพฤติมิชอบต้องมองหาเป้าหมายใหม่
รายงานของนายนอยเบาเออร์ ระบุอีกว่า เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.2557 นายมาร์ก เคนท์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ทวีตข้อความลงบนเว็บไซต์ทวิตเตอร์ว่า เขาได้เข้าพบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาแห่งประเทศไทย และได้หารือปัญหาต่างๆ หลายเรื่อง รวมถึงปัญหาตำรวจเรียกตรวจค้นนักท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ
ขณะที่นาย โจ คัมมิงส์ อดีตนักเขียนคอลัมน์ของ 'โลนลี แพลเน็ต' นิตยสารคู่มือท่องเที่ยวแบบแบ็กแพ็กเกอร์ชื่อดังของโลก ซึ่งมักเขียนให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของเหล่าแบ็กแพ็กเกอร์ ก็กังวลกับปัญหาตำรวจคุกคามนักท่องเที่ยวเช่นกัน โดยทวีตข้อความเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2557 ว่า การสุ่มตรวจค้นนักท่องเที่ยวของตำรวจในกรุงเทพฯ กำลังเลวร้ายลงเรื่อยๆ และมีรายงานจำนวนมากที่ระบุว่านักท่องเที่ยวที่ไม่ได้กระทำผิดถูกบังคับให้ต้องจ่ายเงินสินบน
นอกจากนี้ ยังมีประสบการณ์ตรงของนักท่องเที่ยวชื่อว่า รีส วอล์คเกอร์ ซึ่งเขียนจดหมายวิพากษ์วิจารณ์ถึงบรรณาธิการของสำนักข่าว บางกอก โพสต์ และได้รับการเผยแพร่เมื่อวันที่ 29 พ.ย.2557 โดยจดหมายของเขาระบุว่า "ตำรวจเรียกให้หยุดและตรวจค้นร่างกาย เมื่อเราถามตำรวจถึงเหตุผลของการตรวจค้น ตำรวจเพียงแค่หัวเราะใส่เรา ตำรวจถึงกับขอให้คู่หมั้นของผมตรวจปัสสาวะที่ข้างถนน" เขาระบุด้วยว่า เขาจะไม่ขอแนะนำให้คนอื่นๆ มาประเทศไทย เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นการเหยียดเชื้อชาติ
นายนอยเบาเออร์เขียนในบทความว่า ข้อความในจดหมายของนายวอล์คเกอร์ ทำให้เขารู้สึกเหมือน เดจาวู เพราะเมื่อครั้งที่เขาเดินทางมากรุงเทพฯ เมื่อเดือน ธ.ค. เขาก็ตกเป็นเหยื่อการรีดไถของตำรวจเช่นกัน
เหตุการณ์เกิดขึ้นในวันก่อนวันคริสต์มาส (24 ธ.ค.57) โดยนายนอยเบาเออร์ อยู่ที่ระเบียงชั้นบนของบาร์แห่งหนึ่งในย่านถนนสีลม เมื่อถึงเวลาประมาณ 02:00 น. เขาก็ตัดสินใจเดินทางกลับ แต่เมื่อเขาเดินลงมาชั้นล่าง เขาเห็นตำรวจ 6 นาย กำลังตรวจค้นบาร์แห่งนี้ และสอบปากคำบาร์เทนเดอร์ซึ่งถูกใส่กุญแจมือและนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกนาย ได้เข้ามาควบคุมตัวเขาทันที ทำให้เขาต้องถามออกไปว่าเกิดอะไรขึ้น และแจ้งกับตำรวจว่าเขาเป็นผู้สื่อข่าว แต่ตำรวจกลับทำท่าคุกคามเหมือนจะต่อยเขา ทำให้เขาต้องหยุดถามคำถาม
ราว 15 นาทีต่อมา ตำรวจอีกนายหยิบถุงที่มีผงสีขาวอยู่ภายในขึ้นมาเขย่าใกล้ใบหน้าของเขา และกล่าวหาว่าเขากำลังซื้อของสิ่งนี้ ซึ่งเขาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้อย่างเด็ดขาด ขณะที่ตำรวจคนอื่นๆ เดินไปหยิบเครื่องดื่มในร้านมาดื่ม เมื่อบาร์เทนเดอร์พยายามห้ามก็ถูกตำรวจเตะเข้าที่หน้าแข้ง
ในที่สุดตำรวจก็พานายนอยเบาเออร์ออกไปนอกร้าน ซึ่งเขาพบผู้หญิงชาวไทยคนหนึ่งเข้ามาบอกกับเขาว่า หากเขายอมจ่ายเงินซึ่งมีค่าเท่ากับ 15,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 494,760 บาท) เขาจะได้รับการปล่อยตัว แต่นอยเบาเออร์บอกกับผู้หญิงคนนี้ว่าตัวเขาไม่ได้ทำอะไรผิดและจะไม่จ่ายเงินแม้แต่เซนต์เดียว ทำให้เขาถูกพาตัวกลับเข้าไปภายในร้าน และเห็นตำรวจจับชาวตะวันตกที่อยู่ที่บาร์นั้นอีก 4 คน จากนั้นตำรวจจึงพาพวกเขาทั้ง 5 คน นั่งรถแท็กซี่ไปยังสถานีตำรวจโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น
ตลอด 4 ชั่วโมงหลังจากนั้น พวกเขาแต่ละคนถูกบังคับให้ตรวจปัสสาวะเพื่อตรวจหาสารเสพติด ซึ่งตำรวจที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำพูดเยาะเย้ยเขาว่า "แก โคเคน" ทำให้เขานึกถึงหนังสือและทีวีซีรีส์ที่เกี่ยวกับเรือนจำบางขวางขึ้นมาทันที จากนั้นพวกเขาก็ถูกพาตัวเข้าไปที่ห้องแถลงข่าวซึ่งมีแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์จ้าไปหมด ผลจากความเหนื่อยล้าและผมที่กระเซอะกระเซิง, สภาพร่างกายที่ไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน และผลตรวจปัสสาวะที่วางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าพวกเขา ทำให้พวกเขาถูกถ่ายรูปในสภาพที่จัดให้ดูเหมือนเป็นผู้กระทำความผิด
ต่อมา หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็นำเอกสารบางอย่างซึ่งเขียนเป็นภาษาไทยทั้งหมดมาให้เซ็นชื่อ ซึ่งเมื่อมาถึงตอนนี้ นายนอยเบาเออร์ ขอโทรศัพท์ถึงสถานทูตประเทศออสเตรเลีย หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงเข้ามาแจ้งกับพวกเขาว่า พวกเขาไม่มีสารเสพติดในปัสสาวะ และจะได้รับการปล่อยตัวหากเซ็นชื่อในเอกสารที่เจ้าหน้าที่นำมาให้ก่อนหน้านี้ ซึ่งเขาก็ยอมเซ็นชื่อ แต่เขียนกำกับไว้ด้วยว่า "นี่ไม่ใช่ลายเซ็นของผม" และเดินออกจากโรงพักไปยังถนนของกรุงเทพมหานครในเวลา 08:00 น. ของวันคริสต์มาส
นายนอยเบาเออร์เผยด้วยว่า ในระหว่างที่เขาถูกควบคุมตัว เขาพยายามบอกกับตำรวจหลายครั้งว่าเขาเป็นนักข่าว และเรียกร้องขอคำอธิบาย แต่ไม่มีใครอธิบายเรื่องใดๆ แก่เขา หลังจากได้รับการปล่อยตัว เขาก็เขียนอีเมลถึงตำรวจใ นสน.นั้นเพื่อขอคำอธิบาย แต่อีเมลก็ถูกตีกลับมา เขาจึงส่งอีเมล์ยังหน่วยงานต่างๆ ที่คาดว่าจะมีช่องทางติดต่อประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่เขาได้รับข้อความตอบจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ความว่า
"รัฐบาลไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่มีนโยบายที่จะควบคุมตัว, คุกคาม, ฉุดคร่า, ข่มขู่ และตรวจหาสารเสพติดนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกในประเทศไทย ในทางกลับกัน รัฐบาลไทยเห็นคุณค่าถึงความสำคัญอย่างใหญ่หลวงของนักท่องเที่ยว และความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคนเป็นเรื่องที่ประเทศนี้ให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก"
ข่าวจากไทยรัฐค่ะ สดๆ ร้อนๆ เลย
http://www.thairath.co.th/content/476314