งามหน้า!!! ฝรั่งเขียนหนังสือ แฉ!!! ไทย จุดหมายท่องเที่ยว อันตรายสุดในโลก!!! ดินแดนอาชญากรรม!!! และการฉ้อฉล!!!

ฝรั่งเขียนหนังสือ แฉ!!! ไทย จุดหมายท่องเที่ยว อันตรายสุดในโลก!!! ดินแดนอาชญากรรม!!! จนท.ฉ้อฉล!!!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์     18 พฤศจิกายน 2557



เดลิเมล์ - หนังสือใหม่ตราหน้า “ประเทศไทย” เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวอันตรายที่สุดของโลก โดย นายจอห์น สเตเพิลตัน นักเขียนชาวออสเตรเลีย ชี้ปัญหาต่างๆทั้งตำรวจฉ้อฉล ความรุนแรงและอาชญากรรม ทำให้ดินแดนแห่งนี้ไม่ใช่ “ดินแดนแห่งรอยยิ้ม” อย่างที่เคยร่ำลืออีกแล้ว
       
       ในหนังสือ “Thailand: Deadly Destination” นายสเตเพิลตัน พยายามเปิดโปงชื่อเสียของไทยที่ครั้งหนึ่งเคยถูกขนานนามว่า “ประเทศแห่งการต้อนรับขับสู้” ทว่าความเฟื่องฟูด้านการท่องเที่ยวได้ก่อความรู้สึกเกลียดชังชาวต่างชาติและเพิกเฉยต่อเหตุฆาตกรรมนักท่องเที่ยว สวนทางกับภาพลักษณ์หาดทรายสีขาว ความเป็นชนบทที่งดงามและชีวิตกลางคืนเพลิดเพลิน ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคนในแต่ละปี
       
       “ชื่อเสียงด้านการต้อนรับนักท่องเที่ยวของไทย แดนสุขาวดีบนโลก ในฐานะดินแดนแห่งต้นปาล์ม ชายหาดอาบแดดแสนสวย บาร์แห่งความสำราญ โรงแรมระดับโลก ผู้คนเป็นมิตรและอบอุ่น แต่ความเป็นจริงที่นักท่องเที่ยวหลายคนได้เผชิญ มันแตกต่างออกไปโดยไปโดยสิ้นเชิง”
       
       นายสเตเพิลตัน ระบุในหนังสือที่มีกำหนดเปิดตัวในสัปดาห์หน้า ว่า “การเติบโตอย่างรวดเร็วของการท่องเที่ยวไทยเป็นผลจากการโฆษณา สร้างภาพลักษณ์และสร้างความรู้สึกในหมู่ชาวตะวันตก ว่า คนไทยอ้าแขนรับคนแปลกหน้า แต่ในความจริงแล้ว บ่อยครั้งความสัมพันธ์ระหว่างไทยและชาวต่างชาติยุ่งยาก มีความไม่ลงรอยกันมากขึ้นเรื่อยๆ จากความรู้สึกแปลกๆ เปลี่ยนเป็นความรังเกียจเมื่อจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น”
       
       “ในขณะที่นักท่องเที่ยวมากมาย จากประเทศแห่งนี้ไปพร้อมกับความสุข แต่ก็มีนักเดินทางในจำนวนพอๆ กันจากยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย อินเดีย และตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็๋นระยะสั้นและผู้ที่พำนักระยะยาว เดินทางกลับประเทศไปพร้อมกับความยากแค้น เจ็บปวด หวาดกลัวและไม่อยากกลับมาอีก ชีวิตในไทยมีราคาถูก และบ่อยครั้งไม่มีความโศกเศร้าต่อการเสียชีวิตของชาวต่างชาติหรือแม้กระทั่งลงบันทึก ตอนที่นักท่องเที่ยวกำลังเข้ามา แทบไม่มีคำเตือนเกี่ยวกับสถานการณ์ที่แท้จริงในประเทศแห่งนี้เลย” นายสเตเพิลตัน กล่าว
       
       นายสเตเพิลตัน เคยทำงานในฐานะผู้สื่อข่าวให้กับหนังสือพิมพ์ซิดนีย์ มอร์นิง เฮรัลด์ จากปี 1986 - 1994 และหนังสือพิมพ์ ดิ ออสเตรเลียน ระหว่างปี 1994 - 2009 และเคยมาเยี่ยมเยียนเมืองไทยแล้วหลายครั้ง ทว่าหลังจากถูกปล้นจี้และทำร้ายร่างกายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็เริ่มตรวจสอบรายงานข่าวต่างๆ ด้านสวัสดิภาพของนักท่องเที่ยว ที่เขาให้คำจำกัดความว่าน่าอดสูยิ่ง โดยชี้ว่าตำรวจไทยแทบไม่สนใจให้ความช่วยเหลือชาวต่างชาติที่เข้าแจ้งความในคดีต่างๆ เลย
       
       เนื้อหาในหนังสือระบุต่อว่าทัศนคติเมินเฉยต่อสวัสดิภาพคนแปลกหน้าที่ฝังแน่นในจิตใต้สำนึกของคนไทยนี้ สามารถอธิบายได้อย่างดีผ่านทางคำเตือนอย่างเป็นทางการของรัฐบาล ที่แนะนำนักท่องเที่ยวว่าไม่ควรเสี่ยงเข้าไปยังบาร์และผับต่างๆในไทยยามค่ำคืน
       
       “มันเป็นขั้นตอนดำเนินการมาตรฐานในไทยที่บาร์และผับต่างๆ ต้องจ่ายสินบนแก่ตำรวจท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่เทศบาลเพื่อสามารถเปิดบริการได้ ถ้าบาร์ ผับ หรือร้านต่างๆ ไม่จ่ายเงิน ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะถูกสั่งปิด ตำรวจไม่ได้ดำเนินการเพื่อประโยชน์สูงสุดของนักท่องเที่ยวที่แจ้งความร้องทุกข์ ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ พวกเขารับเงินจากเจ้าของผับบาร์ และไม่ต้องพูดถึงคดีเล็กๆน้อยๆอย่างจี้ปล้นนักท่องเที่ยว ที่ถูกเพิกเฉยโดยไม่ไยดี”
       
       พอพูดถึงอาชญากรรมที่กำลังระบาดหนักที่ไทย นายสเตเพิลตัน ระบุต่อว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทย ไม่เคยได้รับคำเตือนจากบริษัททัวร์ สายการบินต่างๆ หรือแม้แต่รัฐบาลของตนเองเลยว่าพาสปอร์ตของพวกเขามีมูลค่าสูงมากในตลาดมืด
       
       “ขึ้นอยู่กับสัญชาติ พาสปอร์ตฉบับหนึ่งสามารถทำเงินได้หลายพันดอลลาร์ในตลาดมืด ที่นั่นมีแก๊งขโมยพาสปอร์ตตามคำสั่งซื้อ โดยเฉพาะยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย และ แคนาดา ที่มีราคาสูง มีการตั้งร้านเช่าบริการรถจักรยานยนต์ รถยนต์ เจ็ตสกี และอื่นๆ โดยให้เอาพาสปอร์ตค้ำประกัน แต่พอตอนลูกค้ามาขอคืนพาสปอร์ต คำตอบที่ได้รับคือมันหายไปแล้ว”
       
       นายสเตเพิลตัน ระบุต่อว่า การจี้ปล้นแบบรายวัน ทุบตีทำร้ายร่างกาย คนติดยา ขูดรีด และฆาตกรรมนักท่องเที่ยวในแผ่นดินไทย ประกอบกับเรื่องอื้อฉาวต่างๆ นานา ที่เกี่ยวข้องกับความไม่ปลอดภัยของสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และความเจ้าเลห์ของคน บ่อยถูกคาดเดาว่ามันจะเป็นบ่อนทำลายอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ของไทยเสียเอง
       
       นักเขียนรายนี้ยังอ้างอีกว่า สำหรับคนที่รู้จักประเทศไทยดี จะไม่รู้สึกแปลกใจเลยต่อคดีฆาตกรรม 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ฮันนาห์ วิเทอริจด์ วัย 23 ปี และ เดวิด มิลเลอร์ 24 ปี บนเกาะเต่าเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา “เหตุฆาตกรรมอันโหดเหี้ยม 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษบนเกาะเต่า ที่โด่งดังไปทั่วโลก เป็นสิ่งที่เหล่าผู้สังเกตการณ์ไทยมาเป็นเวลานาน ทราบกันดีอยู่แล้ว อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยมีการบริหารจัดการที่ย่ำแย่ และสามารถโต้แย้งได้ว่า ดินแดนแห่งรอยยิ้ม ตอนนี้กลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวอันตรายที่สุดบนโลกไปแล้ว”

http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9570000132725

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ฉาวอีกแล้ว!!! โจ๋อุดร โหด!!! ใช้จอบทุบหัวฝรั่ง!!! บาดเจ็บสาหัส!!!

17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557



พ.ต.อ.สุรินทร์ ชัยชมภู รอง ผบก.ภ.จว.อุดรธานี พ.ต.ท.ขจรฤทธิ์ วงษ์ราช รอง ผกก.สส.สภ.เมือง อุดรธานี พร้อมด้วยชุดสืบสวน “พิรุณ” แถลงข่าวจับกุมแก๊งเด็กแว้นใช้จอบทุบหัวฝรั่งและเพื่อนได้รับบาดเจ็บสาหัส ประกอบด้วยนายธนากร ขุสุวรรณ์ อายุ 18 ปี นายสุรเชษฐ์ ศรีพลเมือง อายุ 18 ปี และนายเอ (นามสมมติ) อายุ 17 ปี ทั้งหมดเป็นราษฎร ต.บ้านแวง ต.หมูม่น อ.เมือง จ.อุดรธานี พร้อมของกลาง จอบ 1 ด้าม รถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ซีทีเอ็กซ์ สีดำแดง ทะเบียน -คนล 682 อุดรธานี โดยกล่าวหา “ทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส”

พ.ต.อ.สุรินทร์ เปิดเผยว่า เมื่อวลา 04.00 น.วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ต.ท.กมล อัปการัตน์ พงส.สภ.เมือง อุดรธานี ได้รับแจ้งเหตุมีคนถูกทำร้าย ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 คน เหตุเกิดที่บริเวณริมสวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม ถนนเพาะนิยม เขตเทศบาลนครอุดรธานี จึงรุดไปตรวจสอบ พบผู้บาดเจ็บถูกตีด้วยของแข็งบริเวณศีรษะ

สอบสวนทราบชื่อนายจิระพงษ์ คลังกลาง อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 346/4 หมู่ 6 ต.หมูม่น อ.เมือง จ.อุดรธานี ถูกตีด้วยของแข็งบริเวณศรีษะและแขนซ้าย และนายมิเชอร์ นูเซอร์ อายุ 25 ปี ชาวเยอรมัน ถูกตีด้วยของแข็งบริเวณศรีษะ ได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าหน้าที่รีบนำส่งโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี แพทย์ได้ทำการรักษานายจิรพงษ์ศีรษะแตกเย็บ 5 เข็ม แขนเดาะ ส่วนนายนูเซอร์ กะโหลกศรีษะร้าว มีเลือดคั่ง แพทย์ได้ทำการผ่าตัดเร่งด่วน อาการยังโคม่า รักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู

นายจิระพงษ์ ผู้บาดเจ็บ ซึ่งสามารถให้ปากคำได้ เล่าว่า เป็นเจ้าของร้านซ่อมแอร์ และเป็นเพื่อนกับนายนูเซอร์ ครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่งใน จ.อุดรธานี ก่อนเกิดเหตุ ได้ชวนกันไปเที่ยวสถานบันเทิง จนสถานบันเทิงปิด จึงชวนกันไปซื้อข้าวกล่องและเบียร์ไปนั่งกินอยู่ริมหนองประจักษ์ที่เกิดเหตุ เพื่อรอดูอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า ขณะตนและเพื่อนกำลังนั่งดื่มเบียร์อยู่ ได้มีแก๊งเด็กแว้น 3 คน ขี่รถจักรยานยนต์ 1 คัน เสียงดังผ่านมา

พวกตนจึงได้มองดู ทำให้เด็กแว้นกลุ่มดังกล่าวไม่พอใจ ร้องถามว่า “มองหน้ากูทำไม” แล้วก็ร้องด่ามาด้วยถ้อยคำหยาบคาย ซึ่งก็ไม่ได้โต้ตอบ กลุ่มเด็กแว้นก็ขี่รถไปทางศาลเทพารักษ์ พวกตนก็กินเบียร์กันต่อ ไม่นานเด็กแว้นกลุ่มเดิมก็ขี่รถวกกลับมาหา จอดรถแล้ววิ่งเข้ามาใช้จอบไล่ทุบหัวจนได้รับบาดเจ็บ แล้วขี่รถหลบหนีไป ตำรวจจึงได้ไปตรวจดูกล้องวงปิด จนรู้ว่าผู้ก่อเหตุคือนายธนากร นายสุรเชษฐ์ และนายวุฒิ จึงติดตามจับกุมตัวได้พร้อมจอบของกลาง

สอบสวนทั้งหมดให้การรับสารภาพว่า ได้ก่อเหตุจริง เพราะไม่พอใจที่ถูกมองหน้า ประกอบกับเมาและคึกนอง โดยก่อนเกิดเหตุ ได้ชวนกันไปดมกาวที่ริมหนองน้ำสาธารณะภายในหมู่บ้าน เมื่อเมาจนได้ที่ ก็ไปขี่รถกับกลุ่มเด็กแว้นในเขตเทศบาลนครอุดรธานี ขณะกำลังจะกลับบ้าน ก็มาพบทั้งสองคนนั่งกินเบียร์อยู่ริมหนองประจักษ์ และมองหน้า จึงไม่พอใจ วนรถกลับมาทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/local/20141116/617794/แก๊งแว๊นอุดรใช้จอบทุบหัวฝรั่งสาหัส.html
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReE5qRTVNVE13TWc9PQ==§ionid=
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่