เป็นไปได้ใหมครับ ว่าจากการเข้าใจผิดส่วนตัวนี่เองทำให้เกิดความแตกแยกในความคิดของแต่ล๊ะฝ่ายหรือเรียกร้องในสิ่งที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงกับบทบาทของ รบ.ปัจจุบัน
การก้าวเข้ามารับหน้าที่ ก็แถลงความจำนงค์ด้วยความจริงใจ คือเพื่อความมั่นคงของประเทศเป็นสำคัญ ในเมื่อท่านเหล่านี้ มีความเชี่ยวชาญทั้งในด้านทฤษฎีและปฎิบัติอย่างสูงส่ง ก็เป็นความจริงที่ไม่จำเป็นที่จะต้องรับฟังข้อคิดเห็นคำแน๊ะนำหรือวิจารยณ์รวมทั้ง ฯลฯ จากนักวิชาการในด้านอื่นๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นับแต่การก้าวเข้ามารับหน้าที่บังเกิดความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงกว่าจุดสถานะการณ์ในขณะนั้นขึ้นมาโดยทันทีและก็ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ฉนั้นในจุดนี้กลุ่มที่ก้าวเข้ามารับหน้าที่ ถ้าจะมองถึงขีดความสามารถเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมากกว่าการตำหนิติเตียน ถูกใหมครับ
นับแต่ในอดีตของมนุษย์ชาติ อันหมายถึงลักษณะของการเกิดสังคมและชุมชนหรือประเทศต่างๆ โดยต่างมีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาอาศัยผู้มีความรู้ความสามารถในลักษณะนี้เป็นอำนาจพื้นฐานเพื่อความมั่นคงทั้งสิ้น แต่ปัญหาที่เกาะติดกับความมั่นคงตลอดมาและไม่เคยสามารถแก้ใขได้ก็คือ ปัญหาปากท้องของสังคมนั้นๆ ที่อยู่นอกขีดความสามารถของผู้ผดุงรักษาความมั่นคง ฉนั้นความพยายามขืนขีดความสามารถในอดีตเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงความสูญเสียความสมดุลย์อย่างมหาศาลในสังคม ระหว่าง ความมั่นคง และความอยู่รอด ในที่สุด ด้วยเหตุผลเช่นนี้นี่เอง ทำให้แนวโนมของการปฎิรูปสังคม ปรับความสำคัญจาก การรักษาความมั่นคงให้อยู่หลังการรักษาความอยู่รอด ขึ้นมา อันก็หมายถึง ความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพากับผู้ที่มีความรู้ความสามารถใน “ด้านบริหาร” แทน “ด้านปกครอง” เป็นหลักครับ
สังคมในโลกสากล ต่างที่เคยได้รับบทเรียนจากอดีตของตัวเองมาแล้ว จะเห็นถึงคุณค่าความพยายามที่ให้ รบ. ในสังคมของตน ปฎิรูปและวิวัฒนาการเข้าสู่ลักษณะ “บริหาร” ทั้งสิ้น การไม่ยอมสนับสนุนกับ รบ.ในสังคมที่ยังอยู่ในลักษณะ “ปกครอง” มิใช่เพราะรังเกียจหรือแยกพวก แต่เพราะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จากระบบ ต่างหาก และที่สำคัญก็คือ ตราบใดที่สังคมปกครองนั้นๆ ยังขาดจิตสำนึกและความเข้าใจเพียงพอ หรือไม่นำเอาบทเรียนในอดีตมาใช้ ก็ต้องให้ความเคารพว่า เป็นความต้องการส่วนมากที่จะดำรงค์ชีวิตเช่นนี้ต่อไป อันก็เป็นสาเหตุสำคัญที่นอกจากจะมองด้วยความสลดใจแล้วมิสามารถจะให้ข้อแน๊ะนำหรือความช่วยเหลือใดๆ ได้ครับ
วันแล้ววันเล่า ที่มองถึงปฎิกริยาเรียกร้อง กับ การให้ช่วยแก้ปัญหาปากท้องที่เสมือน กับปวดท้องแต่ไปให้หมอฟันช่วยรักษา ถึงแม้หมอฟันอยากจะช่วยแต่ก็ขาดความสามารถ การไปต่อว่าหรือโกรธเคืองก็เป็นการให้โทษกับท่านอย่างไม่เป็นธรรม ความขัดแย้งอาฆาตมาตร้ายต่อกันถึงบังเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว ปัญหาอันแท้ที่จริงของสังคม มิใช่ช่วงขณะการมี รบ. ไม่ว่าจะเป็นระบบ “บริหาร” หรือ “ปกครอง” แต่จะอยู่ที่สมาชิกส่วนใหญ่ของสังคม (ปชช.) ที่สามารถแสดงออกถึงจุดยืนว่าต้องการให้เป็นไปในรูปลักษณะใด และก็สำคัญอีกด้วยว่า การแสดงจุดยืน มิได้หมายถึงการต่อต้านล้มร้างหรือเรียกร้อง รวมทั้งใช้ความรุนแรงหรือสยบนิ่งกับฝ่ายที่อยู่ตรงข้าม เพราะไม่ว่า ระบบ รบ.ในสังคมจะเป็นในรูปใด ถ้าไม่มีฐานรับรองหรือยินยอมจากสมาชิกส่วนใหญ่ก็จะไม่สามารถอยู่รอดได้ในที่สุด ครับ
ความจริงที่ควรให้ความสนใจ
การก้าวเข้ามารับหน้าที่ ก็แถลงความจำนงค์ด้วยความจริงใจ คือเพื่อความมั่นคงของประเทศเป็นสำคัญ ในเมื่อท่านเหล่านี้ มีความเชี่ยวชาญทั้งในด้านทฤษฎีและปฎิบัติอย่างสูงส่ง ก็เป็นความจริงที่ไม่จำเป็นที่จะต้องรับฟังข้อคิดเห็นคำแน๊ะนำหรือวิจารยณ์รวมทั้ง ฯลฯ จากนักวิชาการในด้านอื่นๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นับแต่การก้าวเข้ามารับหน้าที่บังเกิดความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงกว่าจุดสถานะการณ์ในขณะนั้นขึ้นมาโดยทันทีและก็ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ฉนั้นในจุดนี้กลุ่มที่ก้าวเข้ามารับหน้าที่ ถ้าจะมองถึงขีดความสามารถเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมากกว่าการตำหนิติเตียน ถูกใหมครับ
นับแต่ในอดีตของมนุษย์ชาติ อันหมายถึงลักษณะของการเกิดสังคมและชุมชนหรือประเทศต่างๆ โดยต่างมีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาอาศัยผู้มีความรู้ความสามารถในลักษณะนี้เป็นอำนาจพื้นฐานเพื่อความมั่นคงทั้งสิ้น แต่ปัญหาที่เกาะติดกับความมั่นคงตลอดมาและไม่เคยสามารถแก้ใขได้ก็คือ ปัญหาปากท้องของสังคมนั้นๆ ที่อยู่นอกขีดความสามารถของผู้ผดุงรักษาความมั่นคง ฉนั้นความพยายามขืนขีดความสามารถในอดีตเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงความสูญเสียความสมดุลย์อย่างมหาศาลในสังคม ระหว่าง ความมั่นคง และความอยู่รอด ในที่สุด ด้วยเหตุผลเช่นนี้นี่เอง ทำให้แนวโนมของการปฎิรูปสังคม ปรับความสำคัญจาก การรักษาความมั่นคงให้อยู่หลังการรักษาความอยู่รอด ขึ้นมา อันก็หมายถึง ความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพากับผู้ที่มีความรู้ความสามารถใน “ด้านบริหาร” แทน “ด้านปกครอง” เป็นหลักครับ
สังคมในโลกสากล ต่างที่เคยได้รับบทเรียนจากอดีตของตัวเองมาแล้ว จะเห็นถึงคุณค่าความพยายามที่ให้ รบ. ในสังคมของตน ปฎิรูปและวิวัฒนาการเข้าสู่ลักษณะ “บริหาร” ทั้งสิ้น การไม่ยอมสนับสนุนกับ รบ.ในสังคมที่ยังอยู่ในลักษณะ “ปกครอง” มิใช่เพราะรังเกียจหรือแยกพวก แต่เพราะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จากระบบ ต่างหาก และที่สำคัญก็คือ ตราบใดที่สังคมปกครองนั้นๆ ยังขาดจิตสำนึกและความเข้าใจเพียงพอ หรือไม่นำเอาบทเรียนในอดีตมาใช้ ก็ต้องให้ความเคารพว่า เป็นความต้องการส่วนมากที่จะดำรงค์ชีวิตเช่นนี้ต่อไป อันก็เป็นสาเหตุสำคัญที่นอกจากจะมองด้วยความสลดใจแล้วมิสามารถจะให้ข้อแน๊ะนำหรือความช่วยเหลือใดๆ ได้ครับ
วันแล้ววันเล่า ที่มองถึงปฎิกริยาเรียกร้อง กับ การให้ช่วยแก้ปัญหาปากท้องที่เสมือน กับปวดท้องแต่ไปให้หมอฟันช่วยรักษา ถึงแม้หมอฟันอยากจะช่วยแต่ก็ขาดความสามารถ การไปต่อว่าหรือโกรธเคืองก็เป็นการให้โทษกับท่านอย่างไม่เป็นธรรม ความขัดแย้งอาฆาตมาตร้ายต่อกันถึงบังเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว ปัญหาอันแท้ที่จริงของสังคม มิใช่ช่วงขณะการมี รบ. ไม่ว่าจะเป็นระบบ “บริหาร” หรือ “ปกครอง” แต่จะอยู่ที่สมาชิกส่วนใหญ่ของสังคม (ปชช.) ที่สามารถแสดงออกถึงจุดยืนว่าต้องการให้เป็นไปในรูปลักษณะใด และก็สำคัญอีกด้วยว่า การแสดงจุดยืน มิได้หมายถึงการต่อต้านล้มร้างหรือเรียกร้อง รวมทั้งใช้ความรุนแรงหรือสยบนิ่งกับฝ่ายที่อยู่ตรงข้าม เพราะไม่ว่า ระบบ รบ.ในสังคมจะเป็นในรูปใด ถ้าไม่มีฐานรับรองหรือยินยอมจากสมาชิกส่วนใหญ่ก็จะไม่สามารถอยู่รอดได้ในที่สุด ครับ