ที่จริงแล้ว ปชช.ในกลุ่มต่างๆ กำลังประสพปัญหากดดันด้าน “เศรษฐกิจภาพรวม” กับการใช้ชีวิตอยู่กินประจำวัน กันอยู่ สิ่งที่ต้องการ คือผู้แทน ปชช. ที่เป็นนักบริหารสังคม และสามารถบริหารอำนาจอธิปไตยของปวงชนทั้งหลาย เพื่อหาทางปรับแก้ตามหลักประชาธิปไตย ตามกรอบเจตนารมณ์ที่บัญญัติเป็น “สัญญาประชาคม” หรือ รธน. ส่วนสิ่งที่มีอยู่ใน ปัจจุบัน เป็นผลจากการยึดครองอำนาจอธิปไตยโดยมิชอบธรรม ด้วยเหตุผล “ความมั่นคง” ของประเทศ ทำให้บังเกิด “แนวปฎิบัติ” ในสภาพของ รธน.ชั่วคราว เพื่อ “ปกครองความสงบเรียบร้อย” ขึ้นมา ถูกใหมครับ
ลักษณะของการ “บริหารอำนาจอธิปไตย” เพื่อแก้ปัญหาสังคม คือการกระตุ้นขยายหรือจำกัดสิทธิเสรีภาพนั้นๆ ในสังคมส่วนรวมเพื่อให้ได้มาซึ่ง “โอกาศของกลไกการปรับตัว” อันที่เรียกว่า “กระแสประชานิยม” อันเป็นเสมือนเครื่องจักรกลในการขับเคลื่อนแก้ปมปัญหาต่างๆ ของสังคม นั่นเอง ครับ
ส่วนลักษณะการ “ปกครองอำนาจอธิปไตย” เพื่อแก้ปํญหาสังคม คือการจัดระเบียบในการจำกัดสิทธิเสรีภาพนั้นๆ ตามระดับชนชั้นและขั้นตอนในสังคมส่วนรวม เพื่อให้ได้มาซึ่ง “ความสงบเรียบร้อยตามสถานะภาพและชนชั้นที่ถูกกำหนดเอาไว้” อันเป็นเสมือนสภาวะความคงอยู่ของ “นำตก” ที่จะใหลจากสูงลงต่ำอย่างไม่มีข้อแม้เท่านั้น ครับ
ในเมื่อสถานะการณ์ปัจจุบันของสังคม ของผู้ยึดครองควบคุมอำนาจอธิปไตยของปวงชนทั้งหลายเพื่อความสงบเรียบร้อย เป็นลักษณะ “ปกครอง” แต่ความต้องการของ ปชช. เป็นลักษณะ “บริหาร” เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจอยู่รอดโดยรวม ในมุมของการปกครอง ปัญหาเศรษฐกิจภาพรวม จะเป็นส่วนช่วยสำคัญที่สามารถทำให้บรรลุสู่จุดประสงศ์ที่ต้องการโดยขาดแรงต้านทานของ ปชช. ฉนั้นในการปกครองจะไม่สามารถนำไปสู่การบริหารปรับปรุงหรือแก้ปัญหาสภาวะความต้องการของ ปชช. อันที่ก่อให้เกิดพลังต่อต้านได้ ครับ
ปัญหาสังคม หรือที่เรียกว่า “ชตากรรมส่วนรวม” ที่บังเกิดขึ้นในขณะนี้ อย่างเช่น รัฐธรรมนูญ โดยและเพื่อสามารถบริหารอำนาจอธิปไตยอันชอบธรรม เป็นต้น อันกำลังถูกกระแสกลบเกลื่อนโดย ปัญหาส่วนบุคคล หรือที่เรียกว่า “ชตากรรมเฉพาะตัว” อย่างเช่น การถอดยศ และการสมัครตำรวจ เป็นต้น ในด้านยุธศาสตร์สงครามจะเรียกกลไกนี้ว่า “ไอโอ” หรือ “การปรับแต่งข้อมูล” และในด้านการเมืองก็คือ “การสร้างกระแสการเมือง” และในภาษาชาวบ้านในอดีตก็จะเปรียบว่า ”ปั่นจิ้งหรืดก่อนกัด” เพราะกระแสเช่นนี้เป็นผลให้สังคมเกิดการหลงประเด็น และอันสามารถให้ผู้สร้างก้าวสู่ความมุ่งหมายของตน โดยการใช้ทุนต่ำ คือแทนด้วยการการกระทำเพืยงเพื่อสร้างกระแส นั่นเอง เมื่อกระแสบังเกิดขึ้น ลิ่วล้อทางการเมืองต่างๆ ก็จะเป็นผู้เอาไปขยายผล ฯลฯ อันส่งผลให้เกิดลักษณะ “สังคมเกียรว่าง” เป็นผลดีต่อฝ่าย ”ปกครอง” และผลร้ายต่อฝ่ายต้องการ “บริหาร”
นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยทั้งหลาย น่าจะมองข้ามการลงทุนในการสร้างกระแสด้วยการเปลืองตัว ของนักการเมืองในระบอบอื่น ในการต้านกระแสและความสมควรเข้าสมัครเป็น จนท.รัฐ เพื่อกลบความต้องการของสังคมส่วนรวมในขณะนี้ ตัวเองได้กรายเป็นตัวช่วยให้บังเกิดความคุ้มค่าของเขามากี่วันแล้ว และสมควรหลงประเด็นกันไปอีกนานเท่าใหร่ ครับ
ข้อสังเกตุ ถึงกระแสการเมืองกับสถานะการณ์การเมืองปัจจุบัน
ลักษณะของการ “บริหารอำนาจอธิปไตย” เพื่อแก้ปัญหาสังคม คือการกระตุ้นขยายหรือจำกัดสิทธิเสรีภาพนั้นๆ ในสังคมส่วนรวมเพื่อให้ได้มาซึ่ง “โอกาศของกลไกการปรับตัว” อันที่เรียกว่า “กระแสประชานิยม” อันเป็นเสมือนเครื่องจักรกลในการขับเคลื่อนแก้ปมปัญหาต่างๆ ของสังคม นั่นเอง ครับ
ส่วนลักษณะการ “ปกครองอำนาจอธิปไตย” เพื่อแก้ปํญหาสังคม คือการจัดระเบียบในการจำกัดสิทธิเสรีภาพนั้นๆ ตามระดับชนชั้นและขั้นตอนในสังคมส่วนรวม เพื่อให้ได้มาซึ่ง “ความสงบเรียบร้อยตามสถานะภาพและชนชั้นที่ถูกกำหนดเอาไว้” อันเป็นเสมือนสภาวะความคงอยู่ของ “นำตก” ที่จะใหลจากสูงลงต่ำอย่างไม่มีข้อแม้เท่านั้น ครับ
ในเมื่อสถานะการณ์ปัจจุบันของสังคม ของผู้ยึดครองควบคุมอำนาจอธิปไตยของปวงชนทั้งหลายเพื่อความสงบเรียบร้อย เป็นลักษณะ “ปกครอง” แต่ความต้องการของ ปชช. เป็นลักษณะ “บริหาร” เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจอยู่รอดโดยรวม ในมุมของการปกครอง ปัญหาเศรษฐกิจภาพรวม จะเป็นส่วนช่วยสำคัญที่สามารถทำให้บรรลุสู่จุดประสงศ์ที่ต้องการโดยขาดแรงต้านทานของ ปชช. ฉนั้นในการปกครองจะไม่สามารถนำไปสู่การบริหารปรับปรุงหรือแก้ปัญหาสภาวะความต้องการของ ปชช. อันที่ก่อให้เกิดพลังต่อต้านได้ ครับ
ปัญหาสังคม หรือที่เรียกว่า “ชตากรรมส่วนรวม” ที่บังเกิดขึ้นในขณะนี้ อย่างเช่น รัฐธรรมนูญ โดยและเพื่อสามารถบริหารอำนาจอธิปไตยอันชอบธรรม เป็นต้น อันกำลังถูกกระแสกลบเกลื่อนโดย ปัญหาส่วนบุคคล หรือที่เรียกว่า “ชตากรรมเฉพาะตัว” อย่างเช่น การถอดยศ และการสมัครตำรวจ เป็นต้น ในด้านยุธศาสตร์สงครามจะเรียกกลไกนี้ว่า “ไอโอ” หรือ “การปรับแต่งข้อมูล” และในด้านการเมืองก็คือ “การสร้างกระแสการเมือง” และในภาษาชาวบ้านในอดีตก็จะเปรียบว่า ”ปั่นจิ้งหรืดก่อนกัด” เพราะกระแสเช่นนี้เป็นผลให้สังคมเกิดการหลงประเด็น และอันสามารถให้ผู้สร้างก้าวสู่ความมุ่งหมายของตน โดยการใช้ทุนต่ำ คือแทนด้วยการการกระทำเพืยงเพื่อสร้างกระแส นั่นเอง เมื่อกระแสบังเกิดขึ้น ลิ่วล้อทางการเมืองต่างๆ ก็จะเป็นผู้เอาไปขยายผล ฯลฯ อันส่งผลให้เกิดลักษณะ “สังคมเกียรว่าง” เป็นผลดีต่อฝ่าย ”ปกครอง” และผลร้ายต่อฝ่ายต้องการ “บริหาร”
นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยทั้งหลาย น่าจะมองข้ามการลงทุนในการสร้างกระแสด้วยการเปลืองตัว ของนักการเมืองในระบอบอื่น ในการต้านกระแสและความสมควรเข้าสมัครเป็น จนท.รัฐ เพื่อกลบความต้องการของสังคมส่วนรวมในขณะนี้ ตัวเองได้กรายเป็นตัวช่วยให้บังเกิดความคุ้มค่าของเขามากี่วันแล้ว และสมควรหลงประเด็นกันไปอีกนานเท่าใหร่ ครับ