ในการแสดงหรือโต้แย้ง คห. ระหว่าง คำถาม กับ คำตอบ ในสังคม รดน. เป็นกรณีย์ (กรณี) ต่างๆ ที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจ ฯลฯ เป็นเสมือนทางตันและจุดพิพาทกับทุกฝ่ายในช่วงจบ เพราะผลสุดท้ายต่างก็จะยึดโยงอยู่กับความรู้สึกเข้าใจของตัวเองและชี้นิ้วถึงต้นเหตุ ฯลฯ ที่ไม่ใช่มาจากฝ่ายตัวเอง เป็นไปได้ใหม ว่าสาเหตุที่แท้จริงของความไม่สบายใจ ฯลฯ นั้นเกิดมาจาก พื้นฐานของ คำถาม กับ คำตอบ มิได้อยู่จุดความเข้าใจหนึ่งเดียวกัน ครับ
จากกระแสปลูกฝังในสังคม ถึงคำว่า “ประชาธิปไตย” คือสิทธิอำนาจในการ “ปกครอง” ของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ทั้งๆ ที่ความเป็นจริง คือ สิทธิอำนาจส่วนรวมในการ “บริหารสังคม” ของประชาชนส่วนรวม โดยผู้แทนประชาชนนั้นๆ และเพื่อปฎิรูปสิทธิเสรีภาพและความเป็นอยู่ของประชาชนส่วนบุคคลโดยเสมอภาค ให้เข้ากับสถานะการณ์สังคมในปัจจุบันและอนาคต ครับ
คำว่า สิทธิอำนาจในการ “ปกครอง” มีลักษณะแตกต่างกับ “บริหาร” อย่างเปรียบเทียบกันมิได้โดยลักษณะของ สิทธิอำนาจ เพราะการปกครอง ผู้ปกครองจะใช้สิทธิอำนาจที่อยู่เหนือสิทธิอำนาจของประชาชนส่วนรวมในการควบคุม จำกัดหรือให้สิทธิกับประชาชนส่วนตัวตามเจตนารมณ์ของผู้ปกครองหรือผู้ให้เป็นผู้ปกครอง ส่วนสิทธิอำนาจในการ “บริหาร” เป็นสิทธิอำนาจส่วนบุคคลที่มอบให้กับผู้บริหารในลักษณะ สิทธิอำนาจส่วนรวม เพื่อให้สามารถบริหาร ให้มีการใช้สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลอย่างเสมอภาครวมทั้งปฎิรูปให้สมควรต่อความเจริญเติบโตของสังคมหรือประชาชนในส่วนรวมในฐานะผู้แทน ฉนั้นอำนาจการปกครอง เป็นอำนาจที่อยู่เหนือ สิทธิอำนาจของประชาชนทั้งส่วนรวมและส่วนบุคคล ส่วนอำนาจการบริหาร เป็นอำนาจของประชาชนส่วนรวมอย่างเสมอภาคที่มาจากสิทธิอำนาจส่วนหนึ่งของสิทธิอำนาจส่วนบุคคลของประชาชนนั่นเอง ครับ
ถ้าประชาชนมีความเข้าใจตรงกัน กับคำว่า “ประชาธิปไตย” คือ สิทธิอำนาจของประชาชนส่วนรวม ก็จะไม่สามารถมอบสิทธิอำนาจอันนี้ ให้กับใครผู้ใดเพื่อใช้ในการปกครอง หรือกำหนดความแตกต่างของการให้หรือจำกัดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลของประชาชนนั้นๆ ได้ เพราะการสร้างสิทธิอำนาจส่วนรวม ได้บังเกิดขึ้นโดยการสมยอมตกลงของประชาชนส่วนรวมใน “สัญญาประชาคม” หรือ รัฐธรรมนูญ โดยปริยายอยู่แล้ว อันก็หมายถึงว่า คู่สัญญาทั้งหลาย ก็คือ ประชาชน นั่นเอง ฉนั้นไม่ว่า สัญญาประชาคมใดๆ ที่ถูกร่างขึ้น หรือประกาศใช้ ถ้าขาดการสมยอมโดยการลงประชามติ ย่อมถือได้ว่า เป็นโมฆะสัญญา หรือขาดความชอบธรรมในลักษณะสัญญา โดยปริยายทั้งสิ้น ไม่ว่าการถูกให้ยอมรับเป็นไปโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม เฉกเช่นเดียวกับผู้ที่นำสิทธิอำนาจประชาชนส่วนรวมมาใช้ ถ้าขาดการได้รับมอบอำนาจรองรับโดยตรงจากประชาชนส่วนรวม จะถือว่า อยู่ในฐานะ “ผู้แทน” ตามหลักของความเป็นจริงไม่ได้ อันก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ประชาชนไม่สามารถให้สิทธิอำนาจ ในการปกครองสังคมส่วนรวมกับใครผู้ใดในฐานะผู้แทนส่วนรวมได้ ครับ
ผมเชื่อว่า ก่อนที่จะแยกแยะ กับ คำถาม หรือ คำตอบ รวมทั้ง ข้อวิจารณ์และครหาใดๆ อันเป็นกรณีย์ (กรณี) ถึง ลักษณะการปกครอง หรือการบริหาร (การเมือง) สมควรที่จะประสานความเข้าใจในจุดเริ่มแรกเสียก่อน ครับ
คห. ที่ขัดแย้งระหว่าง คำถาม กับ คำตอบ
จากกระแสปลูกฝังในสังคม ถึงคำว่า “ประชาธิปไตย” คือสิทธิอำนาจในการ “ปกครอง” ของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ทั้งๆ ที่ความเป็นจริง คือ สิทธิอำนาจส่วนรวมในการ “บริหารสังคม” ของประชาชนส่วนรวม โดยผู้แทนประชาชนนั้นๆ และเพื่อปฎิรูปสิทธิเสรีภาพและความเป็นอยู่ของประชาชนส่วนบุคคลโดยเสมอภาค ให้เข้ากับสถานะการณ์สังคมในปัจจุบันและอนาคต ครับ
คำว่า สิทธิอำนาจในการ “ปกครอง” มีลักษณะแตกต่างกับ “บริหาร” อย่างเปรียบเทียบกันมิได้โดยลักษณะของ สิทธิอำนาจ เพราะการปกครอง ผู้ปกครองจะใช้สิทธิอำนาจที่อยู่เหนือสิทธิอำนาจของประชาชนส่วนรวมในการควบคุม จำกัดหรือให้สิทธิกับประชาชนส่วนตัวตามเจตนารมณ์ของผู้ปกครองหรือผู้ให้เป็นผู้ปกครอง ส่วนสิทธิอำนาจในการ “บริหาร” เป็นสิทธิอำนาจส่วนบุคคลที่มอบให้กับผู้บริหารในลักษณะ สิทธิอำนาจส่วนรวม เพื่อให้สามารถบริหาร ให้มีการใช้สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลอย่างเสมอภาครวมทั้งปฎิรูปให้สมควรต่อความเจริญเติบโตของสังคมหรือประชาชนในส่วนรวมในฐานะผู้แทน ฉนั้นอำนาจการปกครอง เป็นอำนาจที่อยู่เหนือ สิทธิอำนาจของประชาชนทั้งส่วนรวมและส่วนบุคคล ส่วนอำนาจการบริหาร เป็นอำนาจของประชาชนส่วนรวมอย่างเสมอภาคที่มาจากสิทธิอำนาจส่วนหนึ่งของสิทธิอำนาจส่วนบุคคลของประชาชนนั่นเอง ครับ
ถ้าประชาชนมีความเข้าใจตรงกัน กับคำว่า “ประชาธิปไตย” คือ สิทธิอำนาจของประชาชนส่วนรวม ก็จะไม่สามารถมอบสิทธิอำนาจอันนี้ ให้กับใครผู้ใดเพื่อใช้ในการปกครอง หรือกำหนดความแตกต่างของการให้หรือจำกัดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลของประชาชนนั้นๆ ได้ เพราะการสร้างสิทธิอำนาจส่วนรวม ได้บังเกิดขึ้นโดยการสมยอมตกลงของประชาชนส่วนรวมใน “สัญญาประชาคม” หรือ รัฐธรรมนูญ โดยปริยายอยู่แล้ว อันก็หมายถึงว่า คู่สัญญาทั้งหลาย ก็คือ ประชาชน นั่นเอง ฉนั้นไม่ว่า สัญญาประชาคมใดๆ ที่ถูกร่างขึ้น หรือประกาศใช้ ถ้าขาดการสมยอมโดยการลงประชามติ ย่อมถือได้ว่า เป็นโมฆะสัญญา หรือขาดความชอบธรรมในลักษณะสัญญา โดยปริยายทั้งสิ้น ไม่ว่าการถูกให้ยอมรับเป็นไปโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม เฉกเช่นเดียวกับผู้ที่นำสิทธิอำนาจประชาชนส่วนรวมมาใช้ ถ้าขาดการได้รับมอบอำนาจรองรับโดยตรงจากประชาชนส่วนรวม จะถือว่า อยู่ในฐานะ “ผู้แทน” ตามหลักของความเป็นจริงไม่ได้ อันก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ประชาชนไม่สามารถให้สิทธิอำนาจ ในการปกครองสังคมส่วนรวมกับใครผู้ใดในฐานะผู้แทนส่วนรวมได้ ครับ
ผมเชื่อว่า ก่อนที่จะแยกแยะ กับ คำถาม หรือ คำตอบ รวมทั้ง ข้อวิจารณ์และครหาใดๆ อันเป็นกรณีย์ (กรณี) ถึง ลักษณะการปกครอง หรือการบริหาร (การเมือง) สมควรที่จะประสานความเข้าใจในจุดเริ่มแรกเสียก่อน ครับ