คำสอนที่พระพุทธเจ้าสอนก็คือเรื่องการดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน ที่เรียกว่า อริยสัจ ๔ โดยหลักอริยสัจ ๔ นี้จะเป็นหลักวิทยาศาสตร์ ส่วนเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการดับทุกข์จะไม่ทรงสอน
วิทยาศาสตร์ คือ ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการสังเกตปรากฏการณ์ของธรรมชาติ โดยหลักอันเป็นหัวใจของวิทยาศาสตร์ก็คือ
๑. ศึกษาจากสิ่งที่มีอยู่จริง
๒. ศึกษาโดยใช้เหตุใช้ผลจากสิ่งที่มีอยู่จริง
๓. ศึกษาอย่างเป็นระบบ
๔. จะเชื่อว่าถูกต้องก็ต่อเมื่อได้พิสูจน์จนเห็นผลอย่างแน่ชัดแล้วเท่านั้น
นี่แสดงถึงว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้หลักวิทยาศาสตร์ และใช้หลักวิทยาศาสตร์มาปฏิบัติรวมทั้งสอนวิธีการดับทุกข์โดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ แต่สมัยนั้นไม่มีคำว่าวิทยาศาสตร์ พระพุทธเจ้าจึงเรียกว่าเป็น สัจธรรม ที่หมายถึง ความจริงแท้ของธรรมชาติ
แต่เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วไม่นาน คำสอนที่เป็นวิทยาศาสตร์ก็หาคนเข้าใจไม่ได้ เพราะยุคนั้นมีแต่คนที่เชื่อแต่ในเรื่องเทพเจ้าซึ่งเป็นหลักไสยศาสตร์ (ศาสตร์ของคนหลับหรือคนไม่มีปัญญา) จึงทำให้คำสอนที่เป็นวิทยาศาสตร์ของพระพุทธเจ้าถูกทิ้งไว้ในพระไตรปิฎกโดยไม่มีใครสนใจ แต่กลับมีคำสอนเรื่องเทพเจ้าและเรื่องงมงายของไสยศาสตร์ เช่นเรื่อง นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เทวดา นางฟ้า และเรื่องเวรกรรมชนิดข้ามภพข้ามชาติ เป็นต้น เข้ามาอยู่ในพระไตรปิฎกอย่างมากมาย ซึ่งเรื่องเหล่านี้จัดว่าเป็นคำสอนระดับศีลธรรมของพุทธศาสนา ที่ไม่ใช่หลักในการดับทุกข์อันเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า
สรุปได้ว่า เดิมพระพุทธเจ้าสอนเรื่องการดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ แต่ต่อมาได้มีการแต่งเติมเรื่องไสยศาสตร์เข้ามาอย่างมากมาย แล้วผู้คนก็สนใจแต่เรื่องไสยศาสตร์ โดยไม่สนใจเรื่องวิทยาศาสตร์อันเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า จึงทำให้ผู้ที่นับถือพุทธศาสนาไม่ได้รับประโยชน์จากคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าอย่างเช่นในปัจจุบัน
พระพุทธเจ้าสอนวิทยาศาสตร์ แต่พุทธศาสนากลับไม่เป็นวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์ คือ ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการสังเกตปรากฏการณ์ของธรรมชาติ โดยหลักอันเป็นหัวใจของวิทยาศาสตร์ก็คือ
๑. ศึกษาจากสิ่งที่มีอยู่จริง
๒. ศึกษาโดยใช้เหตุใช้ผลจากสิ่งที่มีอยู่จริง
๓. ศึกษาอย่างเป็นระบบ
๔. จะเชื่อว่าถูกต้องก็ต่อเมื่อได้พิสูจน์จนเห็นผลอย่างแน่ชัดแล้วเท่านั้น
นี่แสดงถึงว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้หลักวิทยาศาสตร์ และใช้หลักวิทยาศาสตร์มาปฏิบัติรวมทั้งสอนวิธีการดับทุกข์โดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ แต่สมัยนั้นไม่มีคำว่าวิทยาศาสตร์ พระพุทธเจ้าจึงเรียกว่าเป็น สัจธรรม ที่หมายถึง ความจริงแท้ของธรรมชาติ
แต่เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วไม่นาน คำสอนที่เป็นวิทยาศาสตร์ก็หาคนเข้าใจไม่ได้ เพราะยุคนั้นมีแต่คนที่เชื่อแต่ในเรื่องเทพเจ้าซึ่งเป็นหลักไสยศาสตร์ (ศาสตร์ของคนหลับหรือคนไม่มีปัญญา) จึงทำให้คำสอนที่เป็นวิทยาศาสตร์ของพระพุทธเจ้าถูกทิ้งไว้ในพระไตรปิฎกโดยไม่มีใครสนใจ แต่กลับมีคำสอนเรื่องเทพเจ้าและเรื่องงมงายของไสยศาสตร์ เช่นเรื่อง นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เทวดา นางฟ้า และเรื่องเวรกรรมชนิดข้ามภพข้ามชาติ เป็นต้น เข้ามาอยู่ในพระไตรปิฎกอย่างมากมาย ซึ่งเรื่องเหล่านี้จัดว่าเป็นคำสอนระดับศีลธรรมของพุทธศาสนา ที่ไม่ใช่หลักในการดับทุกข์อันเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า
สรุปได้ว่า เดิมพระพุทธเจ้าสอนเรื่องการดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ แต่ต่อมาได้มีการแต่งเติมเรื่องไสยศาสตร์เข้ามาอย่างมากมาย แล้วผู้คนก็สนใจแต่เรื่องไสยศาสตร์ โดยไม่สนใจเรื่องวิทยาศาสตร์อันเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า จึงทำให้ผู้ที่นับถือพุทธศาสนาไม่ได้รับประโยชน์จากคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าอย่างเช่นในปัจจุบัน