ผมตัดสินใจตั้งกระทู้นี้ขึ้น เพราะอยากแบ่งปันเรื่องราวที่บางส่วนที่พอเป็นสาระ เพราะปัจจุบันเวลาคนเราป่วย หรือ คนที่รักเราป่วยหลายๆครั้งเราก็เข้ามาหาข้อมูลโรค จาก Pantip ผมก็ได้แต่หวังว่าเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์หากมีใครที่กังวลเกี่ยวกับโรคมะเร็ง จะรู้สึกดีขึ้น
ย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 55 คุณแม่มีอาการเจ็บป่วย อย่างนึงที่ทำให้เราแม่ลูกกังวลใจ อันที่จริงท่านมีอาการมาสักพักแล้ว อาการที่เป็นสัญญาณเตือนที่ว่านั่นก็ คือ อาการลำไส้แปรปรวน เดี๋ยวท้องผูกเดี๋ยวท้องเสีย ผมก็คิดว่าคุณแม่ท่านทานผักน้อย และด้วยความที่ท่านเป็นพยาบาล ก็คิดว่าท่านน่าจะดูแลตัวเองได้ดี หากแต่หารู้ไม่ว่าท่านเองก็นอนใจไม่คิดว่าจะเป็นโรคร้าย จนกระทั่งคำเตือนสุดท้ายมาถึง คือคุณแม่มีอาการถ่ายไม่ออก ซึ่งน่าจะทำให้ท่านรู้สึกและยอมรับในความไม่ปกติ และ เอ่ยปากให้ผมพาท่านไปตรวจ
พอทราบอาการจากที่คุณแม่เล่าให้ฟัง เราแม่ลูกก็ต่างกังวล แต่เราไม่บั่นทอนกำลังใจซึ่งกันและกัน ผมเองก็โลกสวย ด้วยการหาข้อมูลบนอินเตอร์เนตแบบเข้าข้างตัวเอง เข้าข้างด้วยการหาข้อมูล โรคลำไส้แปรปรวน ทั้งๆที่รู้เต็มอกว่าคุณแม่เสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ แต่ก็เอาเถอะบางทีคนเราก็ไม่พร้อมจะรับเรื่องร้ายๆ การมองโลกสวยก็ช่วยทำให้เราพร้อมจะเจอเรื่องร้ายได้ดีขึ้น กลับมาที่เรื่องการไปตรวจ ผมให้เครดิตคุณแม่ในการเลือกโรงพยาบาลเอง โดยหากถ้าผมเลือก ผมคงเลือก โรงพยาบาลจุฬาฯ หรือ ศิริราช ด้วยว่ารู้จักอยู่เท่านั้น และก็คงเหมือนหลายๆคน ที่เชื่อว่าโรงพยาบาลทั้งสอง สุดยอดที่สุดแล้ว แต่คุณแม่ผมเลือก โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ฯ ซึ่งบอกตามตรงเอง ผมเองยังแอบหวั่นในมาตรฐานด้วยซ้ำในครั้งแรก แต่อย่างที่บอกในเมื่อเราให้เครดิตคุณแม่ ก็ต้องเคารพการตัดสินใจท่าน ซึ่งท่านก็คงเห็นว่าเหมาะสมแล้วเนื่องจากเราแม่ลูกน่าจะเดินทางมารักษาที่นี่ได้สะดวก เนื่องจากบ้านเราอยู่ที่พระนครศรีอยุธยา การเดินทางก็ประมาณ 40 กม. ไม่ไกลจนเกินไป
ไปหาหมอ
จุดแรกที่ผมเห็นข้อดีของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ คือคนไข้ไม่เยอะมากเหมือนโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ๆทั่วไป (ในปี 2555 นะครับ ปัจจุบันเริ่มเยอะแล้ว) โรงพยาบาลนี้แยกแผนกกลุ่มโรคชัดเจน ไม่เปะปะ ครั้งแรกคุณแม่ได้ผ่านการคัดกรองให้ไปพบแพทย์ ที่แผนกอายุรกรรม ครั้งแรกก็จะเจอแพทย์เด็กๆก่อน( ผมไม่แน่ใจว่าเรียก แพทย์ เอ็กซเทิร์น หรือเปล่าแต่ช่างเถอะ ไม่ใช่สาระ) พอแพทย์เด็กๆ ซักอาการแล้ว วิเคราะห์แล้วน่าจะไม่ดี จึงส่งตัวไปให้ อาจารย์แพทย์ ดูแลต่อ โชคดีที่วันที่ไปตรวจอาจารย์ท่านนั้นลงตรวจพอดีจึงได้เจอเลย
เมื่อซักอาการ อาจารย์ท่านก็พุ่งประเด็นไปที่มะเร็งลำไส้ ข้อดีที่บางท่านอาจจะไม่ชอบของโรงพยาบาลนี้คือไม่ปิดบังผู้ป่วยว่าป่วยด้วยโรคอะไร อย่างกรณีนี้อาจารย์ท่านก็บอกเลยว่า เสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ จะขอนัดมาส่องกล้องเพื่อตรวจและตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ คือ จุดนี้ถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงนอยด์นะ เราแม่ลูกก็นอยด์ แต่ ด้วยความที่เราหาข้อมูลมาแล้วและด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง คุณแม่ท่านก็ พูดแล้ว ว่าท่านยอมรับกับทุกโรค และ พร้อมจะสู้
การส่องกล้อง ฟังดูง่ายๆ แต่มีพิธีรีตองพอสมควร อาจารย์ท่านก็นัดมาทำการแอดมิดก่อน 1 คืนก่อนทำหัตถการส่องกล้อง การมานอนรอก่อน 1 คืนเพื่อเตรียมความพร้อม เช่นทานยาเก็บกากอุจาระออกจะระบบขับถ่ายให้หมด ข้อเสียของยานี่คือ ถ่ายทั้งคืน คุณแม่แทบไม่ได้นอนเลย จนช่วงเช้าก็มีเจ้าหน้าทีเปล มารับคุณแม่ไปทำหัตถการส่องกล้อง อารมณ์มันช่างใกล้เคียงกับการผ่าตัดเลย เพราะมีการวางยาสลบด้วย เข้าใจว่าคงต้องเจ็บพอสมควร หลังจากผ่านไปสามชั่วโมงที่ผมนั่งรออยู่ที่บริเวณที่แผนกหัตถการส่องกล้องจัดไว้ให้ญาติรอ อาจารย์ท่านก็เดินเอาผลมาคุยด้วย มาชี้ภาพให้ดูว่ามีอาการแบบนี้นะ ค่อนช้างมีแนวโน้มมะเร็งนะ(แต่ท่านไม่ฟันธงนะครับ) แต่สุดท้ายต้องขอตรวจชิ้นเนื้อก่อนนะ แล้วจะนัดมาฟังผล
มีต่อนะครับ
เรื่องเล่าจากชีวิตผม : เมื่อคุณแม่ผมป่วยเป็นมะเร็ง
ย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 55 คุณแม่มีอาการเจ็บป่วย อย่างนึงที่ทำให้เราแม่ลูกกังวลใจ อันที่จริงท่านมีอาการมาสักพักแล้ว อาการที่เป็นสัญญาณเตือนที่ว่านั่นก็ คือ อาการลำไส้แปรปรวน เดี๋ยวท้องผูกเดี๋ยวท้องเสีย ผมก็คิดว่าคุณแม่ท่านทานผักน้อย และด้วยความที่ท่านเป็นพยาบาล ก็คิดว่าท่านน่าจะดูแลตัวเองได้ดี หากแต่หารู้ไม่ว่าท่านเองก็นอนใจไม่คิดว่าจะเป็นโรคร้าย จนกระทั่งคำเตือนสุดท้ายมาถึง คือคุณแม่มีอาการถ่ายไม่ออก ซึ่งน่าจะทำให้ท่านรู้สึกและยอมรับในความไม่ปกติ และ เอ่ยปากให้ผมพาท่านไปตรวจ
พอทราบอาการจากที่คุณแม่เล่าให้ฟัง เราแม่ลูกก็ต่างกังวล แต่เราไม่บั่นทอนกำลังใจซึ่งกันและกัน ผมเองก็โลกสวย ด้วยการหาข้อมูลบนอินเตอร์เนตแบบเข้าข้างตัวเอง เข้าข้างด้วยการหาข้อมูล โรคลำไส้แปรปรวน ทั้งๆที่รู้เต็มอกว่าคุณแม่เสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ แต่ก็เอาเถอะบางทีคนเราก็ไม่พร้อมจะรับเรื่องร้ายๆ การมองโลกสวยก็ช่วยทำให้เราพร้อมจะเจอเรื่องร้ายได้ดีขึ้น กลับมาที่เรื่องการไปตรวจ ผมให้เครดิตคุณแม่ในการเลือกโรงพยาบาลเอง โดยหากถ้าผมเลือก ผมคงเลือก โรงพยาบาลจุฬาฯ หรือ ศิริราช ด้วยว่ารู้จักอยู่เท่านั้น และก็คงเหมือนหลายๆคน ที่เชื่อว่าโรงพยาบาลทั้งสอง สุดยอดที่สุดแล้ว แต่คุณแม่ผมเลือก โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ฯ ซึ่งบอกตามตรงเอง ผมเองยังแอบหวั่นในมาตรฐานด้วยซ้ำในครั้งแรก แต่อย่างที่บอกในเมื่อเราให้เครดิตคุณแม่ ก็ต้องเคารพการตัดสินใจท่าน ซึ่งท่านก็คงเห็นว่าเหมาะสมแล้วเนื่องจากเราแม่ลูกน่าจะเดินทางมารักษาที่นี่ได้สะดวก เนื่องจากบ้านเราอยู่ที่พระนครศรีอยุธยา การเดินทางก็ประมาณ 40 กม. ไม่ไกลจนเกินไป
ไปหาหมอ
จุดแรกที่ผมเห็นข้อดีของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ คือคนไข้ไม่เยอะมากเหมือนโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ๆทั่วไป (ในปี 2555 นะครับ ปัจจุบันเริ่มเยอะแล้ว) โรงพยาบาลนี้แยกแผนกกลุ่มโรคชัดเจน ไม่เปะปะ ครั้งแรกคุณแม่ได้ผ่านการคัดกรองให้ไปพบแพทย์ ที่แผนกอายุรกรรม ครั้งแรกก็จะเจอแพทย์เด็กๆก่อน( ผมไม่แน่ใจว่าเรียก แพทย์ เอ็กซเทิร์น หรือเปล่าแต่ช่างเถอะ ไม่ใช่สาระ) พอแพทย์เด็กๆ ซักอาการแล้ว วิเคราะห์แล้วน่าจะไม่ดี จึงส่งตัวไปให้ อาจารย์แพทย์ ดูแลต่อ โชคดีที่วันที่ไปตรวจอาจารย์ท่านนั้นลงตรวจพอดีจึงได้เจอเลย
เมื่อซักอาการ อาจารย์ท่านก็พุ่งประเด็นไปที่มะเร็งลำไส้ ข้อดีที่บางท่านอาจจะไม่ชอบของโรงพยาบาลนี้คือไม่ปิดบังผู้ป่วยว่าป่วยด้วยโรคอะไร อย่างกรณีนี้อาจารย์ท่านก็บอกเลยว่า เสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ จะขอนัดมาส่องกล้องเพื่อตรวจและตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ คือ จุดนี้ถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงนอยด์นะ เราแม่ลูกก็นอยด์ แต่ ด้วยความที่เราหาข้อมูลมาแล้วและด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง คุณแม่ท่านก็ พูดแล้ว ว่าท่านยอมรับกับทุกโรค และ พร้อมจะสู้
การส่องกล้อง ฟังดูง่ายๆ แต่มีพิธีรีตองพอสมควร อาจารย์ท่านก็นัดมาทำการแอดมิดก่อน 1 คืนก่อนทำหัตถการส่องกล้อง การมานอนรอก่อน 1 คืนเพื่อเตรียมความพร้อม เช่นทานยาเก็บกากอุจาระออกจะระบบขับถ่ายให้หมด ข้อเสียของยานี่คือ ถ่ายทั้งคืน คุณแม่แทบไม่ได้นอนเลย จนช่วงเช้าก็มีเจ้าหน้าทีเปล มารับคุณแม่ไปทำหัตถการส่องกล้อง อารมณ์มันช่างใกล้เคียงกับการผ่าตัดเลย เพราะมีการวางยาสลบด้วย เข้าใจว่าคงต้องเจ็บพอสมควร หลังจากผ่านไปสามชั่วโมงที่ผมนั่งรออยู่ที่บริเวณที่แผนกหัตถการส่องกล้องจัดไว้ให้ญาติรอ อาจารย์ท่านก็เดินเอาผลมาคุยด้วย มาชี้ภาพให้ดูว่ามีอาการแบบนี้นะ ค่อนช้างมีแนวโน้มมะเร็งนะ(แต่ท่านไม่ฟันธงนะครับ) แต่สุดท้ายต้องขอตรวจชิ้นเนื้อก่อนนะ แล้วจะนัดมาฟังผล
มีต่อนะครับ