ฟังชื่อแล้วอาจตกใจ "แก้ผ้านมัสการเทพ" คำนี้แปลตรงตัวจากคำภาษาญี่ปุ่นว่า 裸参り(Hadaka-mairi)
ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Naked Pilgrimage
แต่จริงๆแล้วก็ไม่ถึงกับแก้ผ้ากันเลยหรอกค่ะ นี่คือชุดของผู้ร่วมขบวนนมัสการเทพ นายแบบคือเพื่อนของจขกท.ที่กำลังจะออกไปร่วมพิธีเมื่อค่ำวันที่ 14 มค.ที่ผ่านมานี้เองค่ะ เดือนมค.ของญีปุ่นเป็นช่วงหน้าหนาว ที่เซนได อุณหภูมิข้างนอกราวๆ 3℃ เพื่อนคนนี้จะเดินจากหน้าสถานีเซนไดไปยัง Osaki Hachimangu ซึ่งเป็นเหมือนศาลเจ้าหลักเมืองของเซนได

คนจังหวัดมิยะกิ รวมทั้งชาวเมืองเซนไดเรียกเทศกาลนี้ว่า Dontosai จัดในตอนค่ำของวันที่ 14 มกราคมทุกปีที่ศาลเจ้าชินโตทั่วไปของจังหวัด
ที่ศาลเจ้าจะมีการก่อกองไฟศักดิ์สิทธิ์กองโตเพื่อให้ชาวเมืองนำเครื่องรางคุ้มครอง (O-mamori) เครื่องประดับวันปีใหม่ที่ใช้ในการต้อนรับเทพเจ้า หรือของต่างๆที่คิดว่าศักดิ์สิทธิ์ เช่นบทสวดมนต์ ลูกประคำมาเผา เห็นบางคนก็เอาของที่มีความหมายทางโลกวิญญานมาเผาด้วยเหมือนกัน เช่นตุ๊กตาแปลกๆ บัตรโรงพยาบาล (คงเป็นของสมาชิกครอบครัวที่ตายไปแล้ว)

จขกท.ก็รวบรวมเครื่องราง เครื่องประดับประตูบ้านวันปีใหม่เพื่อต้อนรับเทพไว้เผาในคืนนี้เช่นกัน

เนื่องจากไฟกองใหญ่มาก ต้องใช้แรงเหวี่ยงกันเต็มที่เพื่อให้ของเข้าไปในกอง จากนั้นก็ใช้มือโบกควันเข้าหาตัว เพราะเชื่อว่าควันศักสิทธิ์นี้จะช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง

ผู้ที่มีจิตศรัทธาแรงกล้าจะใส่ผ้าสีขาวผืนบางๆอย่างที่เห็นในรูปคือ ผู้ชายนุ่งผ้าเตี่ยวเท่านั้น ส่วนผู้หญิงก็นุ่งเพียงกางเกงขาวขาสั้นกับเสื้อขาวบางๆ มือหนึ่งถือกระดิ่ง อีกมีถือโคม ริมฝีปากเม้มคาบกระดาษขาวไว้เพื่อไม่ให้ตนเองพูดระหว่างการเดินจากในตัวเมือง เป็นขบวนไปจนถึงศาล รองเท้าที่ใส่เป็นรองเท้าฟางแบบโบราณ บางคนก็เดินเท้าเปล่า ท่ามกลางอุณหภูมิที่ต่ำใกล้ 0℃

การร่วมขบวน Hadaka mairi นี้ก็เป็นเหมือนการจารึกแสวงบุญวิธีหนึ่ง ผู้ร่วมต้องทำกายและใจบริสุทธิ์ ตั้งจิตให้แน่วแน่ มีสมาธิแรงกล้า เพื่อเดินระยะทางใกล้บ้างไกลบ้างมุ่งสู่ศาลเจ้า ใช้เวลาเดินโดยเฉลี่ย 1-2 ชั่วโมง ส่วนมากร่วมกันเดินเป็นกลุ่มตัวแทนของบริษัท ร้านค้า องค์กร มหาวิทยาลัย จึงมีป้ายที่ตนเองสังกัดถือไว้ด้วย

ความหมายของการจุดไฟนี้ก็เชื่อกันว่าเป็นการส่งเทพเจ้าที่มาเยือนโลกมนุษย์ในช่วงปีใหม่กลับสู่ถิ่นสถานของเทพค่ะ แล้วก็พร้อมกับเป็นการขอให้เทพเจ้าคุ้มครองให้ปลอดจากโรคภัยและบันดาลความอุดมสมบูรณ์ให้กับบ้านเมืองด้วยค่ะ หลังจากที่เราเผาเครื่องรางของปีเก่าแล้ว ก็จะซื้อเครื่องรางของปีใหม่กลับไป เครื่องรางญี่ปุ่นจะใช้กันปีต่อปี ไม่เก็บไว้ถาวร ไม่เหมือนพระเครื่องของไทยที่ยิ่งเก่าก็ยิ่งขลัง คงเป็นเพราะความเชื่อของชินโตว่าเทพเจ้าจะสถิตย์อยู่กับสิ่งที่ความสะอาด มีความใหม่ใสสด ในงานพิธีนี้มีร้านขายของกิน และเครื่องดื่มอุ่นๆเช่นสาเกหวานขายเหมือนงานเทศกาลทั่วไปของญี่ปุ่นค่ะ

เพื่อนๆสนใจไปร่วมก็ไม่ถึงกับต้องนุ่งน้อยห่มน้อยอย่างผู้จารึกแสวงบุญหรอกนะคะ แต่งตัวให้อบอุ่นเข้าไว้ สถานที่แนะนำให้ไปคือศาลเจ้า Osaki Hachiman-gu ซึ่งเปรียบเสมือนศาลหลักเมืองของเซนไดค่ะ

วันรุ่งขึ้น จขกท.อยากรู้ว่ากองไฟกองใหญ่นั้นจะมีสภาพอย่างไร จึงเดินออกไปดูที่ศาลใกล้ๆบ้าน พบว่ายังดับไม่หมดดี ยังมีคนที่เอาของมาเผาอยู่ คราวนี้ไม่ต้องใช้แรงเหวี่ยงเลยค่ะ นั่งยองๆแล้วพยายามหาจุดที่ยังมีไฟคุ เขี่ยๆให้ไฟปะทุหน่อยก่อนจะค่อยๆหย่อนของลงไป

มาถึงตอนนี้ ก็ได้เห็นภาพ "เทศกาลแก้ผ้านมัสการเทพ"ของชาวเซนไดบ้างแล้วนะคะ ว่าไม่ใช่อะไรน่าหวาดเสียวอย่างที่คิด หากจะแวะมาเที่ยวงานนี้ล่ะก้อ ใส่เสื้อผ้ามาให้อุ่นเต็มที่เลยนะคะ บางปีหนาวมากจริงๆ
“การแก้ผ้าไปนมัสการเทพ”ของชาวเซนได (ประเทศญี่ปุ่น)
ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Naked Pilgrimage
แต่จริงๆแล้วก็ไม่ถึงกับแก้ผ้ากันเลยหรอกค่ะ นี่คือชุดของผู้ร่วมขบวนนมัสการเทพ นายแบบคือเพื่อนของจขกท.ที่กำลังจะออกไปร่วมพิธีเมื่อค่ำวันที่ 14 มค.ที่ผ่านมานี้เองค่ะ เดือนมค.ของญีปุ่นเป็นช่วงหน้าหนาว ที่เซนได อุณหภูมิข้างนอกราวๆ 3℃ เพื่อนคนนี้จะเดินจากหน้าสถานีเซนไดไปยัง Osaki Hachimangu ซึ่งเป็นเหมือนศาลเจ้าหลักเมืองของเซนได
คนจังหวัดมิยะกิ รวมทั้งชาวเมืองเซนไดเรียกเทศกาลนี้ว่า Dontosai จัดในตอนค่ำของวันที่ 14 มกราคมทุกปีที่ศาลเจ้าชินโตทั่วไปของจังหวัด
ที่ศาลเจ้าจะมีการก่อกองไฟศักดิ์สิทธิ์กองโตเพื่อให้ชาวเมืองนำเครื่องรางคุ้มครอง (O-mamori) เครื่องประดับวันปีใหม่ที่ใช้ในการต้อนรับเทพเจ้า หรือของต่างๆที่คิดว่าศักดิ์สิทธิ์ เช่นบทสวดมนต์ ลูกประคำมาเผา เห็นบางคนก็เอาของที่มีความหมายทางโลกวิญญานมาเผาด้วยเหมือนกัน เช่นตุ๊กตาแปลกๆ บัตรโรงพยาบาล (คงเป็นของสมาชิกครอบครัวที่ตายไปแล้ว)
จขกท.ก็รวบรวมเครื่องราง เครื่องประดับประตูบ้านวันปีใหม่เพื่อต้อนรับเทพไว้เผาในคืนนี้เช่นกัน
เนื่องจากไฟกองใหญ่มาก ต้องใช้แรงเหวี่ยงกันเต็มที่เพื่อให้ของเข้าไปในกอง จากนั้นก็ใช้มือโบกควันเข้าหาตัว เพราะเชื่อว่าควันศักสิทธิ์นี้จะช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง
ผู้ที่มีจิตศรัทธาแรงกล้าจะใส่ผ้าสีขาวผืนบางๆอย่างที่เห็นในรูปคือ ผู้ชายนุ่งผ้าเตี่ยวเท่านั้น ส่วนผู้หญิงก็นุ่งเพียงกางเกงขาวขาสั้นกับเสื้อขาวบางๆ มือหนึ่งถือกระดิ่ง อีกมีถือโคม ริมฝีปากเม้มคาบกระดาษขาวไว้เพื่อไม่ให้ตนเองพูดระหว่างการเดินจากในตัวเมือง เป็นขบวนไปจนถึงศาล รองเท้าที่ใส่เป็นรองเท้าฟางแบบโบราณ บางคนก็เดินเท้าเปล่า ท่ามกลางอุณหภูมิที่ต่ำใกล้ 0℃
การร่วมขบวน Hadaka mairi นี้ก็เป็นเหมือนการจารึกแสวงบุญวิธีหนึ่ง ผู้ร่วมต้องทำกายและใจบริสุทธิ์ ตั้งจิตให้แน่วแน่ มีสมาธิแรงกล้า เพื่อเดินระยะทางใกล้บ้างไกลบ้างมุ่งสู่ศาลเจ้า ใช้เวลาเดินโดยเฉลี่ย 1-2 ชั่วโมง ส่วนมากร่วมกันเดินเป็นกลุ่มตัวแทนของบริษัท ร้านค้า องค์กร มหาวิทยาลัย จึงมีป้ายที่ตนเองสังกัดถือไว้ด้วย
ความหมายของการจุดไฟนี้ก็เชื่อกันว่าเป็นการส่งเทพเจ้าที่มาเยือนโลกมนุษย์ในช่วงปีใหม่กลับสู่ถิ่นสถานของเทพค่ะ แล้วก็พร้อมกับเป็นการขอให้เทพเจ้าคุ้มครองให้ปลอดจากโรคภัยและบันดาลความอุดมสมบูรณ์ให้กับบ้านเมืองด้วยค่ะ หลังจากที่เราเผาเครื่องรางของปีเก่าแล้ว ก็จะซื้อเครื่องรางของปีใหม่กลับไป เครื่องรางญี่ปุ่นจะใช้กันปีต่อปี ไม่เก็บไว้ถาวร ไม่เหมือนพระเครื่องของไทยที่ยิ่งเก่าก็ยิ่งขลัง คงเป็นเพราะความเชื่อของชินโตว่าเทพเจ้าจะสถิตย์อยู่กับสิ่งที่ความสะอาด มีความใหม่ใสสด ในงานพิธีนี้มีร้านขายของกิน และเครื่องดื่มอุ่นๆเช่นสาเกหวานขายเหมือนงานเทศกาลทั่วไปของญี่ปุ่นค่ะ
เพื่อนๆสนใจไปร่วมก็ไม่ถึงกับต้องนุ่งน้อยห่มน้อยอย่างผู้จารึกแสวงบุญหรอกนะคะ แต่งตัวให้อบอุ่นเข้าไว้ สถานที่แนะนำให้ไปคือศาลเจ้า Osaki Hachiman-gu ซึ่งเปรียบเสมือนศาลหลักเมืองของเซนไดค่ะ
วันรุ่งขึ้น จขกท.อยากรู้ว่ากองไฟกองใหญ่นั้นจะมีสภาพอย่างไร จึงเดินออกไปดูที่ศาลใกล้ๆบ้าน พบว่ายังดับไม่หมดดี ยังมีคนที่เอาของมาเผาอยู่ คราวนี้ไม่ต้องใช้แรงเหวี่ยงเลยค่ะ นั่งยองๆแล้วพยายามหาจุดที่ยังมีไฟคุ เขี่ยๆให้ไฟปะทุหน่อยก่อนจะค่อยๆหย่อนของลงไป
มาถึงตอนนี้ ก็ได้เห็นภาพ "เทศกาลแก้ผ้านมัสการเทพ"ของชาวเซนไดบ้างแล้วนะคะ ว่าไม่ใช่อะไรน่าหวาดเสียวอย่างที่คิด หากจะแวะมาเที่ยวงานนี้ล่ะก้อ ใส่เสื้อผ้ามาให้อุ่นเต็มที่เลยนะคะ บางปีหนาวมากจริงๆ