ขอเกริ่นก่อนว่า ผมไม่เชื่อเรื่องผี วิญญาณ ปอบ พญานาค เจ้าที่ เจ้าพ่อ ดวง ฯลฯ อะไรพวกนี้นะครับ
เพราะสัมผัสไม่ได้ งมงายไร้สาระ (พวกหลอกลวงต้มตุ๋นจะชอบอ้างเรื่องพวกนี้เพื่อหากิน)
สิ่งที่ผมไม่เชื่อ รวมไปถึงโน่นเลย อภินิหาร หรือสตอรี่ของศาสดาของทุกศาสนานั่นแหละ (แต่งกันจนเว่อร์)
แต่สิ่งที่ผมเชื่อในเรื่องไม่ควรเชื่อ มีเรื่องเดียว คือความฝัน(ศัพท์ทางพระเรียกว่า นิมิต รึเปล่า)
ความฝันนั้นมันดูเหมือนจะสัมผัสไม่ได้ แต่ก็ยังใช้จิตสัมผัสได้ (ไม่เกี่ยวอะไรกับ ริว จิตบำบัด นะครับ)
ผมว่ามันเหมือนมีเส้นแบ่ง ระหว่างความฝันตอนหลับกับความจริงตอนตื่นนะ ยังแยกไม่ออกเลยว่าอะไรจริงไม่จริง
สมัยเมื่อตอนวัยรุ่น อายุประมาณ 17-18 ปี (ปัจจุบัน 32 แล้ว) เคยจับได้ว่าตัวเองกำลังฝัน
เพราะตอนนั้นกำลังนอนหลับฝันอยู่ แล้วนาฬิกาปลุกดังขึ้น เลยสลึมสลือปิดนาฬิกาทันที (แต่ตาไม่ลืมนะ)
แล้วหลับต่อทันทีเลย ที่น่าเหลือเชื่อคือ ฝันต่อเนื่องกับเรื่องเดิม
(ผมคิดว่ามันเหมือนสนทนากับใครอยู่ แล้วอยู่ๆคู่สนทนาของเราเหม่อลอยไป แล้วพอเรียกก็กลับเข้าสู่โหมดสนทนาต่อ)
เพราะเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น เลยนึกได้ว่ามันต้องเป็นความฝันแน่ๆ
สิ่งที่เกิดขึ้น คือ สิ่งที่ในชีวิตจริงต้องกลัว ก็ไม่กลัว เช่น กระโดดหน้าผา แต่เหมือนต้องกล้าๆหน่อย โดดลงมาแล้วไม่ตาย
เห็นคนที่เคยตายไปแล้ว ก็เข้าไปถาม ไปพูดคุย (แต่รู้นะว่าเขาตายแล้ว เพราะตอนนั้นจะบอกกับตัวเองเสมอว่า เรากำลังฝัน ๆ ๆ อยู่นะ)
ก็มีการพูดคุยโต้ตอบกับคนตาย ซึ่งเราก็ถามประมาณว่าตายไปแล้วเป็นไงมั่ง
เขาก็ตอบกลับเราแบบงงๆ ว่าเขายังไม่ตายซะงั้น (เหมือนเขาเข้าใจว่าไม่ได้ตาย แล้วว่าเราน่ะบ้า ประมาณนั้น)
เมื่อคืนนี้ก็เป็นครั้งที่ 2 แล้ว ที่ผมสามารถรู้ตัวว่าฝัน เพราะฝันร้าย แล้วตกใจตื่นลืมตาขึ้นมา แล้วก็หลับต่อทันที
กลับไปฝันต่อเรื่องเดิม แล้วทีนี้ก็มีสติ เลยย้ำเสมอว่านี่คือความฝัน ๆ ๆ ๆ ก็ไม่ค่อยกลัวสิ่งที่เจอในความฝันเท่าไรแล้วทีนี้
แต่ต้องกล้าๆหน่อย เช่นปกติต้องวิ่งหนีสัตว์ร้าย ผมนี่ต่อสู้ด้วยมือเปล่าเลย แต่ต้องมีสติอยู่ตลอดว่ามันคือความฝัน
ผมนี่แทบจะท่องอยู่ตลอดเวลาเลยว่ามันคือฝัน มันคือฝัน ๆ ๆ ทำให้กล้าต่อสู้กับสิ่งที่มาทำร้ายเราได้
ทีนี้ผมก็ย้อนกลับมาคิด เอ๊ะ...หลายๆครั้งเราไม่รู้เลยว่าอะไรจริง อะไรฝัน
ถ้าเราคิดว่าในโลกที่เราใช้ชีวิตขณะตื่นอยู่ มันคือความฝันของอีกโลกที่รอเราตื่นล่ะ แล้วเราจะไปกลัวสิ่งต่างๆที่เจอทำไม
แต่ต้องกล้าๆหน่อย บ้าๆหน่อยก็พอ (มั๊ง) เพราะสิ่งที่เรากลัวมันไม่น่าจะทำร้ายเราได้จริง แบบในฝัน
คนที่ร่ำรวยก็อย่าคิดว่าตัวเองรวยอยู่นะ เพราะในโลกที่รอคุณตื่นอยู่ คุณอาจจะเป็นยาจกก็ได้
หรือคนที่ท้อแท้ก็อย่าไปกลัว ไปกังวล น้อยเนื้อต่ำใจอะไร เพราะโลกที่รอคุณตื่นอยู่ คุณอาจจะเป็นคนมั่งมีทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนี้น ผมว่ามันไม่น่าจะมีอะไรที่มีอยู่จริงเลย เพราะในโลกที่รอคุณตื่น อาจจะรอคุณตื่นอยู่อีกก็เป็นได้
ไม่มีอะไรมาก ก็แค่เพ้อเจ้อไปเรื่อย ปกติสถิตย์อยู่แต่ห้องรัชดา
ขอบคุณครับ
รู้ว่าตัวเองกำลังฝัน(ความจริง)ในขณะนอนหลับ กับรู้ถึงความเป็นจริง(ความฝัน) ในขณะตื่น ต้องใช้สติและความกล้าอย่างมาก
เพราะสัมผัสไม่ได้ งมงายไร้สาระ (พวกหลอกลวงต้มตุ๋นจะชอบอ้างเรื่องพวกนี้เพื่อหากิน)
สิ่งที่ผมไม่เชื่อ รวมไปถึงโน่นเลย อภินิหาร หรือสตอรี่ของศาสดาของทุกศาสนานั่นแหละ (แต่งกันจนเว่อร์)
แต่สิ่งที่ผมเชื่อในเรื่องไม่ควรเชื่อ มีเรื่องเดียว คือความฝัน(ศัพท์ทางพระเรียกว่า นิมิต รึเปล่า)
ความฝันนั้นมันดูเหมือนจะสัมผัสไม่ได้ แต่ก็ยังใช้จิตสัมผัสได้ (ไม่เกี่ยวอะไรกับ ริว จิตบำบัด นะครับ)
ผมว่ามันเหมือนมีเส้นแบ่ง ระหว่างความฝันตอนหลับกับความจริงตอนตื่นนะ ยังแยกไม่ออกเลยว่าอะไรจริงไม่จริง
สมัยเมื่อตอนวัยรุ่น อายุประมาณ 17-18 ปี (ปัจจุบัน 32 แล้ว) เคยจับได้ว่าตัวเองกำลังฝัน
เพราะตอนนั้นกำลังนอนหลับฝันอยู่ แล้วนาฬิกาปลุกดังขึ้น เลยสลึมสลือปิดนาฬิกาทันที (แต่ตาไม่ลืมนะ)
แล้วหลับต่อทันทีเลย ที่น่าเหลือเชื่อคือ ฝันต่อเนื่องกับเรื่องเดิม
(ผมคิดว่ามันเหมือนสนทนากับใครอยู่ แล้วอยู่ๆคู่สนทนาของเราเหม่อลอยไป แล้วพอเรียกก็กลับเข้าสู่โหมดสนทนาต่อ)
เพราะเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น เลยนึกได้ว่ามันต้องเป็นความฝันแน่ๆ
สิ่งที่เกิดขึ้น คือ สิ่งที่ในชีวิตจริงต้องกลัว ก็ไม่กลัว เช่น กระโดดหน้าผา แต่เหมือนต้องกล้าๆหน่อย โดดลงมาแล้วไม่ตาย
เห็นคนที่เคยตายไปแล้ว ก็เข้าไปถาม ไปพูดคุย (แต่รู้นะว่าเขาตายแล้ว เพราะตอนนั้นจะบอกกับตัวเองเสมอว่า เรากำลังฝัน ๆ ๆ อยู่นะ)
ก็มีการพูดคุยโต้ตอบกับคนตาย ซึ่งเราก็ถามประมาณว่าตายไปแล้วเป็นไงมั่ง
เขาก็ตอบกลับเราแบบงงๆ ว่าเขายังไม่ตายซะงั้น (เหมือนเขาเข้าใจว่าไม่ได้ตาย แล้วว่าเราน่ะบ้า ประมาณนั้น)
เมื่อคืนนี้ก็เป็นครั้งที่ 2 แล้ว ที่ผมสามารถรู้ตัวว่าฝัน เพราะฝันร้าย แล้วตกใจตื่นลืมตาขึ้นมา แล้วก็หลับต่อทันที
กลับไปฝันต่อเรื่องเดิม แล้วทีนี้ก็มีสติ เลยย้ำเสมอว่านี่คือความฝัน ๆ ๆ ๆ ก็ไม่ค่อยกลัวสิ่งที่เจอในความฝันเท่าไรแล้วทีนี้
แต่ต้องกล้าๆหน่อย เช่นปกติต้องวิ่งหนีสัตว์ร้าย ผมนี่ต่อสู้ด้วยมือเปล่าเลย แต่ต้องมีสติอยู่ตลอดว่ามันคือความฝัน
ผมนี่แทบจะท่องอยู่ตลอดเวลาเลยว่ามันคือฝัน มันคือฝัน ๆ ๆ ทำให้กล้าต่อสู้กับสิ่งที่มาทำร้ายเราได้
ทีนี้ผมก็ย้อนกลับมาคิด เอ๊ะ...หลายๆครั้งเราไม่รู้เลยว่าอะไรจริง อะไรฝัน
ถ้าเราคิดว่าในโลกที่เราใช้ชีวิตขณะตื่นอยู่ มันคือความฝันของอีกโลกที่รอเราตื่นล่ะ แล้วเราจะไปกลัวสิ่งต่างๆที่เจอทำไม
แต่ต้องกล้าๆหน่อย บ้าๆหน่อยก็พอ (มั๊ง) เพราะสิ่งที่เรากลัวมันไม่น่าจะทำร้ายเราได้จริง แบบในฝัน
คนที่ร่ำรวยก็อย่าคิดว่าตัวเองรวยอยู่นะ เพราะในโลกที่รอคุณตื่นอยู่ คุณอาจจะเป็นยาจกก็ได้
หรือคนที่ท้อแท้ก็อย่าไปกลัว ไปกังวล น้อยเนื้อต่ำใจอะไร เพราะโลกที่รอคุณตื่นอยู่ คุณอาจจะเป็นคนมั่งมีทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนี้น ผมว่ามันไม่น่าจะมีอะไรที่มีอยู่จริงเลย เพราะในโลกที่รอคุณตื่น อาจจะรอคุณตื่นอยู่อีกก็เป็นได้
ไม่มีอะไรมาก ก็แค่เพ้อเจ้อไปเรื่อย ปกติสถิตย์อยู่แต่ห้องรัชดา
ขอบคุณครับ