Tag มหาวิทยาลัย ปัญหาสังคม สุขภาพจิต เพราะเกี่ยว สจล
เรื่อง ผลกระทบต่อสังคมจากสื่อ ว่าด้วยการ Discrimination และ วาทกรรม “ความวิปริตทางเพศ”
เรียน ทีมข่าวอาชญากรรม ASTV
สิ่งที่แนบมาด้วย
1. ความผิดหวังต่อสื่อสาธารณะที่แสดงออกอย่างอคติจากทัศนคติที่บิดเบี้ยว
2. อนาคตของสื่อกับการแสดงความคิดเห็นอย่างจรรโลงและยกระดับสังคม
จดหมายฉบับนี้มาจากการอ่านคอลัมน์ “กระชากหน้ากาก “บิ๊กตุ๊ด” หัวหน้าแก๊งปล้นเงิน สจล. เป็นคนในมีรสนิยมอีแอบ” ประจำวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2558 ความรู้สึกครั้งแรกหลังจากอ่านชื่อคอลัมน์นี้เสร็จ คือ เกิดข้อสงสัยว่าทำไมบทความนี้ต้องระบุกลุ่มคำที่แสดง สภาพทางเพศถึง 2 ครั้ง ทั้งๆที่หัวข้อนั้น ใจความหลัก คือ “หัวหน้าขบวนการครั้งนี้เป็นคนใน” แต่ผู้อ่านเข้าใจได้ว่าต้องการกระตุ้นความน่าสนใจโดยใช้เรื่องเพศดึงดูด ซึ่งตัวผู้อ่านเองไม่ได้ติดใจเท่าใดนัก แต่สิ่งที่ทำให้ผู้อ่านชะงักนั่นคือ
“เชื่อเหตุผลสำคัญของการยักยอกแบบบ้าบิ่นใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เพราะความวิปริตทางเพศ ”!!!
ประโยคนี้เป็นการสื่อสารที่แย่มากจนไม่ทราบว่า ผู้เขียนมีทัศนคติแบบนี้จริงๆ หรือ เขียนเพราะความมันมือเท่านั้น ผู้เขียนคอลัมน์นี้ควรแยกแยะระหว่าง บุคคลที่กระทำความผิดกับเพศสภาพของบุคคลที่กระทำความผิด ออกจากกัน อีกสิ่งที่ผู้เขียนควรทำความเข้าใจคือ การรักร่วมเพศ ไม่ใช่ความวิปริตทางเพศ และการที่ นาย A หรือ นาย B เป็นคนรักร่วมเพศไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย การที่คนคนหนึ่งจะกระทำความผิดนั้น ล้วนขึ้นอยู่กับอุปนิสัยตัวตนของบุคคล ไม่ใช่เพราะ”เพศสภาพ” ดังนั้น ประโยคที่ผู้เขียนสื่อสาร จึงเป็นการยัดเยียดความผิดให้กับเพศที่ผู้เขียนมีอคติ ซึ่งไม่เป็นการต่อบุคคลกลุ่มหนึ่ง
นอกจากนี้แล้วยังมีข้อความที่เขียนว่า “แต่อะไรล่ะที่เป็นแรงกระตุ้นให้เกิดความกล้าบ้าบิ่นถ้าไม่ใช่ความโลภ กามารมณ์ และบทพิศวาสที่ติดอกติดใจกัน” จึงเกิดความสงสัยอย่างยิ่งว่าผู้เขียนทราบได้อย่างไรถึงเขียนว่า “บทพิศวาสที่ติดอกติดใจ” สิ่งที่ผู้เขียนเขียนมานั้นล้วนเป็นแต่ความคิดเห็นมาจากมุมมองของผู้เขียน ไม่ใช่ข้อเท็จจริงแต่ประการใด
สิ่งที่ต้องการแนะนำกับผู้เขียนก็คือ ผู้เขียนควรตระหนักทุกครั้งที่เขียนข่าวแต่ละข่าว ถึงผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง คนทุกคนล้วนมีมุมมองที่แตกต่าง นั้นเป็นเรื่องปกติ แต่การถ่ายทอดข้อคิดเห็นที่มากกว่าข้อเท็จจริง ย่อมส่งผลให้ผู้เสพสื่อที่ไม่มีวิจารณญาณอาจเชื่อตามผู้เขียนไปด้วย ซึ่งถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน เช่น ชาติพันธุ์ สีผิว เพศสภาพ ศาสนา ผู้เขียนย่อมควรระมัดระวังอย่างมาก
และอย่างสุดท้าย ผู้เขียนควรอ่านข้อคิดเห็นใต้บทความด้วย ผู้เขียนจะพบข้อความต่างๆว่า “พวกตุ๊ดเกย์นี่มันสวะขยะประเทศจริงๆ เลวๆๆๆ อยากฆ่ามันทุกตัว” ทัศนคติเชิงดูถูกที่ตัวสื่อเองค่อยๆโยนให้กับประชาชนอย่างช้าๆจนตกผลึกเป็นความคิดผิดๆให้กับประชาชน โดยสื่อเองไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น ผู้เขียนเองอาจเห็นตัวอย่างจาก Charlie Hebdo มาแล้ว ถึงความร้ายแรงของคำพูด แม้ว่าอาจไม่รุนแรงเท่าการกราดยิงดังตัวอย่าง แต่ คำพูดเหล่านั้นจะบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังแบบนี้ต่อไปรุ่นสู้รุ่น ไม่มีวันสิ้นสุด นี่คือสิ่งที่ผู้เขียนในฐานะสื่อสารมวลชนคาดหวังหรือ
ขอแสดงความไม่นับถือ
Cr.
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9580000003572
ผลกระทบต่อสังคมจากสื่อASTV ว่าด้วยการ Discrimination และ วาทกรรม “ความวิปริตทางเพศ”
เรื่อง ผลกระทบต่อสังคมจากสื่อ ว่าด้วยการ Discrimination และ วาทกรรม “ความวิปริตทางเพศ”
เรียน ทีมข่าวอาชญากรรม ASTV
สิ่งที่แนบมาด้วย
1. ความผิดหวังต่อสื่อสาธารณะที่แสดงออกอย่างอคติจากทัศนคติที่บิดเบี้ยว
2. อนาคตของสื่อกับการแสดงความคิดเห็นอย่างจรรโลงและยกระดับสังคม
จดหมายฉบับนี้มาจากการอ่านคอลัมน์ “กระชากหน้ากาก “บิ๊กตุ๊ด” หัวหน้าแก๊งปล้นเงิน สจล. เป็นคนในมีรสนิยมอีแอบ” ประจำวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2558 ความรู้สึกครั้งแรกหลังจากอ่านชื่อคอลัมน์นี้เสร็จ คือ เกิดข้อสงสัยว่าทำไมบทความนี้ต้องระบุกลุ่มคำที่แสดง สภาพทางเพศถึง 2 ครั้ง ทั้งๆที่หัวข้อนั้น ใจความหลัก คือ “หัวหน้าขบวนการครั้งนี้เป็นคนใน” แต่ผู้อ่านเข้าใจได้ว่าต้องการกระตุ้นความน่าสนใจโดยใช้เรื่องเพศดึงดูด ซึ่งตัวผู้อ่านเองไม่ได้ติดใจเท่าใดนัก แต่สิ่งที่ทำให้ผู้อ่านชะงักนั่นคือ
“เชื่อเหตุผลสำคัญของการยักยอกแบบบ้าบิ่นใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เพราะความวิปริตทางเพศ ”!!!
ประโยคนี้เป็นการสื่อสารที่แย่มากจนไม่ทราบว่า ผู้เขียนมีทัศนคติแบบนี้จริงๆ หรือ เขียนเพราะความมันมือเท่านั้น ผู้เขียนคอลัมน์นี้ควรแยกแยะระหว่าง บุคคลที่กระทำความผิดกับเพศสภาพของบุคคลที่กระทำความผิด ออกจากกัน อีกสิ่งที่ผู้เขียนควรทำความเข้าใจคือ การรักร่วมเพศ ไม่ใช่ความวิปริตทางเพศ และการที่ นาย A หรือ นาย B เป็นคนรักร่วมเพศไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย การที่คนคนหนึ่งจะกระทำความผิดนั้น ล้วนขึ้นอยู่กับอุปนิสัยตัวตนของบุคคล ไม่ใช่เพราะ”เพศสภาพ” ดังนั้น ประโยคที่ผู้เขียนสื่อสาร จึงเป็นการยัดเยียดความผิดให้กับเพศที่ผู้เขียนมีอคติ ซึ่งไม่เป็นการต่อบุคคลกลุ่มหนึ่ง
นอกจากนี้แล้วยังมีข้อความที่เขียนว่า “แต่อะไรล่ะที่เป็นแรงกระตุ้นให้เกิดความกล้าบ้าบิ่นถ้าไม่ใช่ความโลภ กามารมณ์ และบทพิศวาสที่ติดอกติดใจกัน” จึงเกิดความสงสัยอย่างยิ่งว่าผู้เขียนทราบได้อย่างไรถึงเขียนว่า “บทพิศวาสที่ติดอกติดใจ” สิ่งที่ผู้เขียนเขียนมานั้นล้วนเป็นแต่ความคิดเห็นมาจากมุมมองของผู้เขียน ไม่ใช่ข้อเท็จจริงแต่ประการใด
สิ่งที่ต้องการแนะนำกับผู้เขียนก็คือ ผู้เขียนควรตระหนักทุกครั้งที่เขียนข่าวแต่ละข่าว ถึงผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง คนทุกคนล้วนมีมุมมองที่แตกต่าง นั้นเป็นเรื่องปกติ แต่การถ่ายทอดข้อคิดเห็นที่มากกว่าข้อเท็จจริง ย่อมส่งผลให้ผู้เสพสื่อที่ไม่มีวิจารณญาณอาจเชื่อตามผู้เขียนไปด้วย ซึ่งถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน เช่น ชาติพันธุ์ สีผิว เพศสภาพ ศาสนา ผู้เขียนย่อมควรระมัดระวังอย่างมาก
และอย่างสุดท้าย ผู้เขียนควรอ่านข้อคิดเห็นใต้บทความด้วย ผู้เขียนจะพบข้อความต่างๆว่า “พวกตุ๊ดเกย์นี่มันสวะขยะประเทศจริงๆ เลวๆๆๆ อยากฆ่ามันทุกตัว” ทัศนคติเชิงดูถูกที่ตัวสื่อเองค่อยๆโยนให้กับประชาชนอย่างช้าๆจนตกผลึกเป็นความคิดผิดๆให้กับประชาชน โดยสื่อเองไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น ผู้เขียนเองอาจเห็นตัวอย่างจาก Charlie Hebdo มาแล้ว ถึงความร้ายแรงของคำพูด แม้ว่าอาจไม่รุนแรงเท่าการกราดยิงดังตัวอย่าง แต่ คำพูดเหล่านั้นจะบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังแบบนี้ต่อไปรุ่นสู้รุ่น ไม่มีวันสิ้นสุด นี่คือสิ่งที่ผู้เขียนในฐานะสื่อสารมวลชนคาดหวังหรือ
ขอแสดงความไม่นับถือ
Cr.http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9580000003572