ไม่ว่าจะไม่อยากเข้ามายืนอยู่หัวแถวของผู้กุมอำนาจจัดการประเทศจริงอย่างที่
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาพยายามยืนยันมาตลอดหรือไม่ก็ตาม
แต่การจัดการที่ผ่านมานับว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้ที่น่าเห็นใจอย่างยิ่งคนหนึ่ง
ประเทศไทยเราก่อนที่ คสช.จะทำรัฐประหาร ทุกคนทุกฝ่ายรู้กันว่าไม่มีทางออก
อื่นนอกจากทหารต้องยึดอำนาจ
การต่อต้าน คัดค้าน เป็นเพียงเรื่องของความคิดเรื่องของอุดมการณ์ที่ยืนแยก
จากทางออกที่เป็นจริงได้
แม้ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร ทุกคนต่างรู้ว่าที่สุดแล้วมีแต่วิธีนี้ที่ใช้ในการจัดการประเทศ
ดังนั้น แม้จะมีการต่อต้านอยู่บ้าง แต่รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์
ยังได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นการยอมรับอย่างท่วมท้นเสียด้วยซ้ำ
การเข้ามามีอำนาจของ คสช.ไม่มีปัญหา
ในเรื่องของการยอมรับไม่ต้องเป็นห่วงเป็นใย พล.อ.ประยุทธ์
แต่ที่ว่าน่าเห็นใจเป็นเรื่องการจัดการอำนาจ
ด้วยในความเป็นจริงของการยอมรับอำนาจนั้น นอกจากคนส่วนใหญ่มองไม่เห็นทางออก
อื่นแล้ว ความหวังว่า คสช.จะเข้ามาจัดการกับสาเหตุของความขัดแย้งให้เกิดความปรองดอง
เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญ
ทว่าสาเหตุของความขัดแย้งนั้นมีมุมมองที่หลากหลายยิ่ง
ฝ่ายหนึ่งมองไปที่ "ทุนสามานย์" ว่า "เข้ามาซื้อทุกอย่างเพื่อยึดครองอำนาจไป
แสวงประโยชน์แบบกินรวบ"
ขณะที่ฝ่ายหนึ่งมองว่าเกิดจาก "ความล้าหลังของระบบชนชั้น ที่ก่อการผูกขาด
ผลประโยชน์ของประเทศ เอารัดเอาเปรียบคนระดับล่างมายาวนาน แต่ไม่ยอม
เปลี่ยนแปลง ยังดิ้นรนฝืนยุคฝืนสมัยเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มตัวเองไว้
ขัดขวางการพัฒนาประเทศโดยใช้กลไกของความยุติธรรมสองมาตรฐานมาเป็น
อาวุธกดข่มคนส่วนใหญ่"
ทั้งสองฝ่ายเป็นกลุ่มความเชื่อที่มีปริมาณไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน และเป็นรากของ
ความขัดแย้งที่ต่างงอกงามเป็นกิ่งก้านในรูปขององค์กรขบวนการต่างๆ หรือกระทั่ง
เป็นพรรคการเมืองที่ต่อสู้กัน
ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้เอนเอียงไปกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ถูกการสู้รบที่อาศัย
การจัดตั้งด้วยวิธีจิตวิทยามวลชนให้โอนไปทางนั้นที ทางนี้ที ก่อความไม่สงบขึ้นในชาติ
จนถึงจุดที่ไร้ทางออกอื่นนอกจากกองทัพทำรัฐประหาร
ความน่าห่วงใยต่อ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ที่ความขัดแย้งระหว่างสองขั้วความคิดนั้นยังอยู่
ต่างยังอยู่อย่างหนักแน่นมั่นคงเสียด้วยซ้ำ
เพียงแต่ว่าสนามรบของสองความขัดแย้งนี้ไม่ได้อยู่ที่รัฐสภาหรือเคลื่อนไหวอยู่บน
ท้องถนนเหมือนที่ผ่านมา
เป้าหมายของทั้งสองฝ่ายมาอยู่ในจุดเดียวกันคือ หาทางชี้นำ คสช.ให้โอนเอียง
มาทางข้างตัวเองให้มากที่สุด
กีดกัน หาทางทำลายความคิดที่จะทำให้ คสช.เอนเอียงไปทางด้านตรงกันข้ามกับตัว
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์และ คสช.คิดว่าตัวเองเป็นผู้กระทำ กลับกลายเป็นว่า คสช.ที่นำ
โดย พล.อ.ประยุทธ์กลับถูกกระทำให้เป็น "สนามรบ" ของทั้งสองฝ่ายที่ต่างกดดันให้
พล.ประยุทธ์เอนเอียงไปทางฝ่ายตัวเอง ทำลายฝ่ายตรงกันข้ามด้วยสารพัดวิธี
นี่คือความน่าเห็นใจ เพราะการสู้รบไม่ว่าจะเป็นสงครามที่ไหนหรือครั้งใด ที่จะต้อง
เสียหายกลายเป็นซากปรักหักพังอย่างน่าเศร้าที่สุดคือ สถานที่สู้รบหรือสนามรบนั่นเอง
ทุกฝ่ายต่างมุ่งที่จะทำให้สนามรบเป็นความได้เปรียบของตัวเอง
สร้างบางส่วนที่เป็นกำบังให้ฝ่ายตัวขึ้นมา ทำลายส่วนที่จะเป็นที่กำบังฝ่ายตรงกันข้ามให้สิ้นซาก
"สมรภูมิไม่เคยมีชิ้นดี"
นี่คือความน่าเห็นใจ
นับวันยิ่งเห็นชัดว่า "สมรภูมิ" ที่ครั้งหนึ่งเคยย้ายจากรัฐสภา ซึ่งเป็นสนามของประชาธิปไตย
ไปยัง "ท้องถนนในย่านธุรกิจ" ซึ่งเป็นสนามของอนาธิปไตย ถึงวันนี้ดูเหมือนจะย้ายมาสู้กันใน
"คสช." ซึ่งเป็นสนามของเผด็จการแล้ว
ต่างฝ่ายต่างพยายามใช้ทุกกลยุทธ์เพื่อให้ คสช.ยืนอยู่ข้างตัวเอง
หากจัดการไม่ดี ที่จะพังคือ "สนาม" ขณะที่ความขัดแย้งไม่มีทางหมดไป
เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้น มีแต่จะต้องแตกต่าง
(ที่มา:มติชนรายวัน 4 มกราคม 2557)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1420391454
สุชาติ ศรีสุวรรณ : ที่สุด"ใครที่จะเสียหาย" คอลัมน์ ที่เห็นและเป็นไป ...มติชนออนไลน์..วันนี้เห็นใจนายกฯ /sao..เหลือ..noi
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาพยายามยืนยันมาตลอดหรือไม่ก็ตาม
แต่การจัดการที่ผ่านมานับว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้ที่น่าเห็นใจอย่างยิ่งคนหนึ่ง
ประเทศไทยเราก่อนที่ คสช.จะทำรัฐประหาร ทุกคนทุกฝ่ายรู้กันว่าไม่มีทางออก
อื่นนอกจากทหารต้องยึดอำนาจ
การต่อต้าน คัดค้าน เป็นเพียงเรื่องของความคิดเรื่องของอุดมการณ์ที่ยืนแยก
จากทางออกที่เป็นจริงได้
แม้ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร ทุกคนต่างรู้ว่าที่สุดแล้วมีแต่วิธีนี้ที่ใช้ในการจัดการประเทศ
ดังนั้น แม้จะมีการต่อต้านอยู่บ้าง แต่รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์
ยังได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นการยอมรับอย่างท่วมท้นเสียด้วยซ้ำ
การเข้ามามีอำนาจของ คสช.ไม่มีปัญหา
ในเรื่องของการยอมรับไม่ต้องเป็นห่วงเป็นใย พล.อ.ประยุทธ์
แต่ที่ว่าน่าเห็นใจเป็นเรื่องการจัดการอำนาจ
ด้วยในความเป็นจริงของการยอมรับอำนาจนั้น นอกจากคนส่วนใหญ่มองไม่เห็นทางออก
อื่นแล้ว ความหวังว่า คสช.จะเข้ามาจัดการกับสาเหตุของความขัดแย้งให้เกิดความปรองดอง
เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญ
ทว่าสาเหตุของความขัดแย้งนั้นมีมุมมองที่หลากหลายยิ่ง
ฝ่ายหนึ่งมองไปที่ "ทุนสามานย์" ว่า "เข้ามาซื้อทุกอย่างเพื่อยึดครองอำนาจไป
แสวงประโยชน์แบบกินรวบ"
ขณะที่ฝ่ายหนึ่งมองว่าเกิดจาก "ความล้าหลังของระบบชนชั้น ที่ก่อการผูกขาด
ผลประโยชน์ของประเทศ เอารัดเอาเปรียบคนระดับล่างมายาวนาน แต่ไม่ยอม
เปลี่ยนแปลง ยังดิ้นรนฝืนยุคฝืนสมัยเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มตัวเองไว้
ขัดขวางการพัฒนาประเทศโดยใช้กลไกของความยุติธรรมสองมาตรฐานมาเป็น
อาวุธกดข่มคนส่วนใหญ่"
ทั้งสองฝ่ายเป็นกลุ่มความเชื่อที่มีปริมาณไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน และเป็นรากของ
ความขัดแย้งที่ต่างงอกงามเป็นกิ่งก้านในรูปขององค์กรขบวนการต่างๆ หรือกระทั่ง
เป็นพรรคการเมืองที่ต่อสู้กัน
ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้เอนเอียงไปกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ถูกการสู้รบที่อาศัย
การจัดตั้งด้วยวิธีจิตวิทยามวลชนให้โอนไปทางนั้นที ทางนี้ที ก่อความไม่สงบขึ้นในชาติ
จนถึงจุดที่ไร้ทางออกอื่นนอกจากกองทัพทำรัฐประหาร
ความน่าห่วงใยต่อ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ที่ความขัดแย้งระหว่างสองขั้วความคิดนั้นยังอยู่
ต่างยังอยู่อย่างหนักแน่นมั่นคงเสียด้วยซ้ำ
เพียงแต่ว่าสนามรบของสองความขัดแย้งนี้ไม่ได้อยู่ที่รัฐสภาหรือเคลื่อนไหวอยู่บน
ท้องถนนเหมือนที่ผ่านมา
เป้าหมายของทั้งสองฝ่ายมาอยู่ในจุดเดียวกันคือ หาทางชี้นำ คสช.ให้โอนเอียง
มาทางข้างตัวเองให้มากที่สุด
กีดกัน หาทางทำลายความคิดที่จะทำให้ คสช.เอนเอียงไปทางด้านตรงกันข้ามกับตัว
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์และ คสช.คิดว่าตัวเองเป็นผู้กระทำ กลับกลายเป็นว่า คสช.ที่นำ
โดย พล.อ.ประยุทธ์กลับถูกกระทำให้เป็น "สนามรบ" ของทั้งสองฝ่ายที่ต่างกดดันให้
พล.ประยุทธ์เอนเอียงไปทางฝ่ายตัวเอง ทำลายฝ่ายตรงกันข้ามด้วยสารพัดวิธี
นี่คือความน่าเห็นใจ เพราะการสู้รบไม่ว่าจะเป็นสงครามที่ไหนหรือครั้งใด ที่จะต้อง
เสียหายกลายเป็นซากปรักหักพังอย่างน่าเศร้าที่สุดคือ สถานที่สู้รบหรือสนามรบนั่นเอง
ทุกฝ่ายต่างมุ่งที่จะทำให้สนามรบเป็นความได้เปรียบของตัวเอง
สร้างบางส่วนที่เป็นกำบังให้ฝ่ายตัวขึ้นมา ทำลายส่วนที่จะเป็นที่กำบังฝ่ายตรงกันข้ามให้สิ้นซาก
"สมรภูมิไม่เคยมีชิ้นดี"
นี่คือความน่าเห็นใจ
นับวันยิ่งเห็นชัดว่า "สมรภูมิ" ที่ครั้งหนึ่งเคยย้ายจากรัฐสภา ซึ่งเป็นสนามของประชาธิปไตย
ไปยัง "ท้องถนนในย่านธุรกิจ" ซึ่งเป็นสนามของอนาธิปไตย ถึงวันนี้ดูเหมือนจะย้ายมาสู้กันใน
"คสช." ซึ่งเป็นสนามของเผด็จการแล้ว
ต่างฝ่ายต่างพยายามใช้ทุกกลยุทธ์เพื่อให้ คสช.ยืนอยู่ข้างตัวเอง
หากจัดการไม่ดี ที่จะพังคือ "สนาม" ขณะที่ความขัดแย้งไม่มีทางหมดไป
เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้น มีแต่จะต้องแตกต่าง
(ที่มา:มติชนรายวัน 4 มกราคม 2557)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1420391454