“จาตุรนต์” เชื่อปรองดองสำเร็จยากแน่ เป้าหมายไม่ชัด หลัง “บิ๊กตู่”โยนให้ขึ้นอยู่กับรัฐบาลหน้า อัดโฆษกเวทีปรองดองด่วนสรุปคับแคบ โยนการเมืองต้นเหตุขัดแย้ง พร้อมชี้การอำนาจเบ็ดเสร็จมากเกินกำลังออกฤทธิ์
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการสร้างความปรองดองว่า การที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ออกมาระบุการปรองดองจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลหน้านั้น แสดงให้เห็นว่าการปรองดองครั้งนี้ มีการตั้งเป้าหมายความสำเร็จไม่ชัดเจน ถ้าจะเกิดการปรองดองนั้นหมายถึง มีการสร้างระบบกติกาสามารถรองรับความขัดแย้งต่างๆ ได้ รวมถึงจัดการรัฐบาลในอนาคตเมื่อเป็นปัญหา เช่น รัฐบาลลุแก่อำนาจ ทุจริตคอร์รัปชันมาก ระบบที่สร้างไว้ก็สามารถจัดการรัฐบาลนั้นได้ และสังคมสามารถอยู่ต่อไปได้ ไม่ใช่มาสร้างเงื่อนไขกันแต่ต้นว่า จะปรองดองได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับรัฐบาลหน้า ซึ่งนั้นหมายความว่า สิ่งที่ทำอยู่นี้ไม่สำเร็จแน่แล้ว
นายจาตุรนต์ กล่าวว่า รวมถึงดูจากการที่ พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดองในชุดคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ได้ประมวลสรุปความเห็นพรรคการเมืองที่ไปแสดงความเห็นเป็นระยะ และครั้งหลังนี้ได้บอกว่า หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า ปัญหาความขัดแย้งเกิดจากการเมือง หมายถึงพรรคการเมืองและนักการเมือง เป็นการด่วนสรุปที่คับแคบ เลือกที่จะพูดเฉพาะส่วนที่เป็นปัญหากับทางฝ่ายคสช.และกระทรวงกลาโหม ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนปัญหาว่า การกำหนดใครเป็นผู้รับฟัง และวิเคราะห์ความเห็นต่างๆ ไม่ถูกต้อง โดยรวมแล้วจึงเป็นปัญหาว่า กระบวนการที่ทำเรื่องปรองดองมีจุดอ่อนมากเกินไป
นายจาตุรนต์ กล่าวว่า นอกจากไม่กำหนดคนที่เป็นกลาง มีความรู้ มีความเชี่ยวชาญมาเป็นผู้รับฟังแล้ว ยังไม่ได้กำหนดให้ถูกต้องว่า ใครคือคู่ขัดแย้ง ไม่มีการพูดถึงปัญหาในอดีตอย่างเพียงพอ ซึ่งปัญหาในอดีตมีความจำเป็นต้องวิเคราะห์อย่างจริงจังว่า ความขัดแย้งในอดีตเกิดจากอะไร และจะหาทางป้องกันได้อย่างไรกับความขัดแย้งในอดีตควรรวมถึงทั้งก่อนและหลังรัฐประหาร โดยเฉพาะหลังรัฐประหารไม่ค่อยมีคนพูดถึง เพราะสร้างความขัดแย้งไม่น้อย และสะสมเงื่อนไขความขัดแย้งไว้มาก นอกจากนี้แล้ว บรรยากาศทางการเมืองยังไม่เปิดกว้างมากพอ ไม่แสดงความพร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็น เพราะฉะนั้นพรรคการเมืองที่จะไปให้ความเห็นอีก คงต้องไปชี้ให้เห็นกระบวนการในการสร้างความปรองดองที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร และถ้ากระบวนการที่ทำอยู่ไม่มีการปรับปรุงอย่างจริงจัง การสร้างความปรองดองอาจไม่เกิดผลใดๆ
เมื่อถามว่า สถานการณ์ปัจจุบัน รัฐบาลเผชิญปัญหาใหญ่ๆ ในหลายเรื่อง อย่างเรื่องวัดพระธรรมกายเป็นต้น นายจาตุรนต์ กล่าวว่า จะเกิดการสะสมปัญหาใหม่ๆ ก็จะทำให้การปรองดองเป็นไปได้ยาก ซึ่งปัญหาพื้นฐานอยู่ที่จัดการกับเรื่องต่างๆ ขาดการเปิดกว้างรับฟังความเห็น และเน้นการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมากเกินไป ซึ่งการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกับบางเรื่องที่ภาวะปกติทำไม่ได้ แต่เมื่อใช้อำนาจมากเกินไป ก็กลายเป็นดาบสองคม และในเวลานี้ คนที่เข้าหาตัวมันกำลังออกฤทธิ์อยู่ เลยทำให้การใช้อำนาจเบ็ดเสร็จกำลังสร้างปัญหาให้กับตัวเอง
JJNY : “จาตุรนต์” เชื่อปรองดองสำเร็จยากแน่ เป้าหมายไม่ชัด หลัง “บิ๊กตู่”โยนขึ้นอยู่กับรัฐบาลหน้า
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการสร้างความปรองดองว่า การที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ออกมาระบุการปรองดองจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลหน้านั้น แสดงให้เห็นว่าการปรองดองครั้งนี้ มีการตั้งเป้าหมายความสำเร็จไม่ชัดเจน ถ้าจะเกิดการปรองดองนั้นหมายถึง มีการสร้างระบบกติกาสามารถรองรับความขัดแย้งต่างๆ ได้ รวมถึงจัดการรัฐบาลในอนาคตเมื่อเป็นปัญหา เช่น รัฐบาลลุแก่อำนาจ ทุจริตคอร์รัปชันมาก ระบบที่สร้างไว้ก็สามารถจัดการรัฐบาลนั้นได้ และสังคมสามารถอยู่ต่อไปได้ ไม่ใช่มาสร้างเงื่อนไขกันแต่ต้นว่า จะปรองดองได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับรัฐบาลหน้า ซึ่งนั้นหมายความว่า สิ่งที่ทำอยู่นี้ไม่สำเร็จแน่แล้ว
นายจาตุรนต์ กล่าวว่า รวมถึงดูจากการที่ พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดองในชุดคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ได้ประมวลสรุปความเห็นพรรคการเมืองที่ไปแสดงความเห็นเป็นระยะ และครั้งหลังนี้ได้บอกว่า หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า ปัญหาความขัดแย้งเกิดจากการเมือง หมายถึงพรรคการเมืองและนักการเมือง เป็นการด่วนสรุปที่คับแคบ เลือกที่จะพูดเฉพาะส่วนที่เป็นปัญหากับทางฝ่ายคสช.และกระทรวงกลาโหม ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนปัญหาว่า การกำหนดใครเป็นผู้รับฟัง และวิเคราะห์ความเห็นต่างๆ ไม่ถูกต้อง โดยรวมแล้วจึงเป็นปัญหาว่า กระบวนการที่ทำเรื่องปรองดองมีจุดอ่อนมากเกินไป
นายจาตุรนต์ กล่าวว่า นอกจากไม่กำหนดคนที่เป็นกลาง มีความรู้ มีความเชี่ยวชาญมาเป็นผู้รับฟังแล้ว ยังไม่ได้กำหนดให้ถูกต้องว่า ใครคือคู่ขัดแย้ง ไม่มีการพูดถึงปัญหาในอดีตอย่างเพียงพอ ซึ่งปัญหาในอดีตมีความจำเป็นต้องวิเคราะห์อย่างจริงจังว่า ความขัดแย้งในอดีตเกิดจากอะไร และจะหาทางป้องกันได้อย่างไรกับความขัดแย้งในอดีตควรรวมถึงทั้งก่อนและหลังรัฐประหาร โดยเฉพาะหลังรัฐประหารไม่ค่อยมีคนพูดถึง เพราะสร้างความขัดแย้งไม่น้อย และสะสมเงื่อนไขความขัดแย้งไว้มาก นอกจากนี้แล้ว บรรยากาศทางการเมืองยังไม่เปิดกว้างมากพอ ไม่แสดงความพร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็น เพราะฉะนั้นพรรคการเมืองที่จะไปให้ความเห็นอีก คงต้องไปชี้ให้เห็นกระบวนการในการสร้างความปรองดองที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร และถ้ากระบวนการที่ทำอยู่ไม่มีการปรับปรุงอย่างจริงจัง การสร้างความปรองดองอาจไม่เกิดผลใดๆ
เมื่อถามว่า สถานการณ์ปัจจุบัน รัฐบาลเผชิญปัญหาใหญ่ๆ ในหลายเรื่อง อย่างเรื่องวัดพระธรรมกายเป็นต้น นายจาตุรนต์ กล่าวว่า จะเกิดการสะสมปัญหาใหม่ๆ ก็จะทำให้การปรองดองเป็นไปได้ยาก ซึ่งปัญหาพื้นฐานอยู่ที่จัดการกับเรื่องต่างๆ ขาดการเปิดกว้างรับฟังความเห็น และเน้นการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมากเกินไป ซึ่งการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกับบางเรื่องที่ภาวะปกติทำไม่ได้ แต่เมื่อใช้อำนาจมากเกินไป ก็กลายเป็นดาบสองคม และในเวลานี้ คนที่เข้าหาตัวมันกำลังออกฤทธิ์อยู่ เลยทำให้การใช้อำนาจเบ็ดเสร็จกำลังสร้างปัญหาให้กับตัวเอง