สวัสดีครับ
จากกระทู้รีวิว Le Jules Verne(
http://pantip.com/topic/33040964) และ La Tour d'agent(
http://pantip.com/topic/33047809) ที่ได้รับความกรุณาจากเพื่อยสมาชิกให้ได้เป็นกระทู้แนะนำในห้องก้นครัวกับห้องบลู(แม้เพียงช่วงสั้นๆ) ขอขอบพระคุณมากครับ มาต่อกันด้วยร้านสุดท้ายส่งท้ายปี2014ของผมกันครับ
Le Chateau de Joel Robuchon หรือสั้นๆว่า Restaurant Joel Robuchon ที่ Ebisu Garden Place, Tokyo ครับ เป็นร้านของเชฟ Joel Robuchon ผู้ที่ได้รับดาวMichelinมากที่สุดในโลกจากร้านทั่วโลกของเค้าขณะนี้(28 ดวง) และที่เป็นข่าวว่าตอนนี้กำลังเตรียมเปิดร้านแรกของเค้าที่กรุงเทพต้นปีนี้ครับ
ที่ญี่ปุ่นนี่ Joel Robuchon เปิดหลายร้านมากครับมีตั้งแต่ Le Cafe ซึ่งเป็นเหมือนร้านกาแฟแล้วมีขนมปังกับเค้กสุดอร่อยเค้าอยู่, L'telier ซึ่งเป็น fine dining แบบสบายๆ(แต่ราคาก็ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่เพราะก็ยัง 2ดาว)เพราะลูกค้าจะนั่งตรงเค้าเต้อร์ดูเชฟทำอาหารโดยตรงไม่เคร่งเรื่องการแต่งตัว, La Table ซึ่งเป็นร้านที่เป็นทางการขึ้นมานิดแต่ก็ยังมีบรรยากาศสบายๆอยู่(2 ดาว) กับร้านที่เป็นเรือธงของเค้าคือ Restaurant Joel Robuchon(3 ดาว) ที่เป็นระดับทางการสุด คือขอความร่วมมือให้ใส่แจ๊คเก็ตตั้งแต่มื้อกลางวันกันเลยครับ
ขั้นแรกก็จองผ่านเวปกันก่อนตามลิ้งค์ร้านข้างล่างครับ
http://www.robuchon.jp/joelrobuchon-en
ผมเคยรีวิวร้านนี้ไปรอบนึงแล้วเมื่อปี2013 ตอนนั้นไปลองชุดคอรส์กลางวันวันธรรมดาเค้าตามลิ้งค์ข้างล่างครับ
http://pantip.com/topic/30583599
ตัวร้านอาหารที่สร้างเป็นปราสาทท่ามกลางตึกสูงในโตเกียว เป็นภาพแปลกตาที่จะได้เห็นถ้าเราลง JR Yamanote สถานี Ebisu แล้วเดินขึ้นทางเลื่อน Ebisu Skywalk มาจนสุดทางครับ
วันนี้ขออนุญาติกลับมารีวิวคอรส์ที่เป็น highlight มื้อกลางวันของเค้าคือ Plasir Menu ราคาคนละ 15,000เยนครับ ซึ่งเมนูนี้จะรวมอาหารจานเด่นของ Joel Robuchonไว้ให้เลยโดยเราเปลี่ยนไม่ได้ ต่างจากเมนูกลางวันวันธรรมดาเท่าไปที่จะให้เลือกจำนวนคอรส์ก่อนว่าจะเอา3, 5, หรือ 6 แล้วค่อยเลือกอาหารแต่ละจานอีกทีครับ
เนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งที่2แล้ว รูปบรรยากาศในร้านอาจมีไม่มาก รบกวนรับชมในกระทู้ของปี 2013 ตามลิ้งค์ข้างบนนะครับ
จานแรกครับ White Asparagus light foam served with orange jelly
ได้มาตอนแรกก็งงครับ แต่เหมือนบริกรจะบอกแค่ว่ามองถาดนี้แล้วตักให้ถึงก้นถ้วยแล้วทานเข้าไปเลยโดยไม่บอกว่ามันคืออะไร รสชาติหน่อไม้ฝรั่งขาวออกมาเต็มๆเหมือนกำลังกินต้นมันจริงๆอยู่ครับ หวานหอมเค็มนิดๆมีเยลลี่ส้มหอมเปรี้ยวบางๆมาตัด อร่อยทีเดียวครับ
จานที่2 Sea Urchin with a delicate crustacean jelly and a cualiflower cream
เป็นจานเด่นของเค้าจานนึงเลยครับ เปิดถ้วยมาด้านบนสุดเป็นครีมดอกกะหล่ำ ฟังดูไม่นานทานแต่หอมหวานมันสุดๆครับ ลงมันเป็นซูปเปลือกอะไรซักอย่างเอามาทำเป็นเยลลี่ได้รสอาหารทะเลเข้มข้นมากและชั้นล่างสุดเป็นไข่หอยเม่นชิ้นเป้งๆวางซ้อนกันอยู่หลายชิ้นเหมือนกันครับ เหมือนเดิมครับใช้ช้อนตักจนถึงก้นถ้วยแล้วทานมันพร้อมกันทั้ง3ชั้นเลย รสชาติไข่หอยเม่นหวานเค็มนิดๆกับกลิ่นทะเลเต็มในเยลลี่กับครีมดอกกะหล่ำหวานเข้ามาพร้อมกันนี่ อร่อยมากทีเดียวครับ
จานที่3 Sauteed Duck Liver served with parmesan cheese risotto
ไม่มีอะไรต้องพูดมากครับ หน้าตาดียังไงรสชาติดีกว่านั้น2เท่าครับ ฟัวกราส์ชิ้นหนากำลังดีทอดได้ผิวตึงกรอบด้านนอกข้างในนุ่มเหมือนละลายได้ทานกับรีซอตโต้ชีวพาร์เมซานเม็ดใสตึงไม่แข็งไม่นิ่ม อร่อยที่สุดเท่าที่ประสบการณ์น้อยๆของผมเคยกินมาแล้วครับ อยากจะแคนเซิลคอรส์นี้แล้วแลกกับจานที่เหลือทั้งหมดให้เป็นจานนี้เลย
จานที่4 Sea Bream served with a lemongrass emulsion and oil, stewed leek
เป็นปลาบรีมน่าขะpoached มานะครับ ทานกับโฟมและน้ำมันตะไคร้และต้นหอมญี่ปุ่น นี่เป็นเมนูที่ทำให้แฟนอยากมาทานร้านนี้อีกรอบหลังจากครั้งที่แล้วครับ ปลาทำมาสุกฉ่ำดีมากทานกับน้ำมันตะไคร้หวานมันนิดๆกับโฟมตะไคร้ซึ่งได้กลิ่นหอมเต็มๆ ไม่แรงเหมือนบ้านเรากับต้มหอมเคี่ยวมาหวานๆ ประทับใจใช้ได้เลยครับ ตะไคร้ฝอยข้างบนไม่รู้เค้าไปทำอีท่าไหนมากรอบอร่อยทานด้วยกันเยี่ยมครับ
จานที่5 Beef Fillet served with an artichoke coulis, mediterranean vegetables and gratinated chickpea
เป็นเนื้อสันในย่างมาชมพูทั้งชิ้นครับ ทานกับพวกซอส artichoke ปั่นละเอียดกับผักย่างครับ ทีเด็ดคือ gratinated chickpea ไอ้สี่เหลี่ยมทองๆนั่นครับ พอเอามีดตัดเปลือกกรอบมันลงไปข้างในเป็นchickpeaปั่นละเอียดมานุ่มๆหวานอร่อยสุดๆครับ
จานที่6 Avant Dessert ของล้างปากก่อนของหวานครับ
สารภาพว่าจำไม่ได้แล้วว่ามันคืออะไรแต่ เป็นเชอร์เบตซักอย่างกับโฟมผลไม้ให้รสตัดกันไว้ล้างปากให้สดชื่นพร้อมรับของหวานครับ
จานที่7 Carioca - papaya coulis and guava mousse served with a black current sherbet
เป็นมะละกอปั่นละเอียดเย็นๆทานกับมูสลูกฝรั่งกับเชอร์เบตแบลคเคอร์เร้นท์ครับ เปรี้ยวสะใจผู้หญิงคงชอบมากเพราะคนตรงข้ามผมก็วิดเข้าปากใหญ่ไม่พูดไม่จาส่วนผมก็เปรี้ยวจี้ดๆไปครับ ใช้ได้
จานที่8 สุดท้ายครับ กาแฟ(อยู่ในชุด เย้!)กับพวก petit fours และเยลลี่ซากุระครับ สงสัยเอาให้เข้ากับเทศกาลที่ไปตอนนั้นพอดีเยลลี่ก็มีกลิ่นดอกซากุระนิดๆคงเอาสีมากกว่ารสชาติออกเปรี้ยวๆยิ่งไอ้ลูกแดงๆข้างบนนั่นยิ่งเปรี้ยวหนักเลย
ถึงเวลาแห่งความเป็นจริงครับ
เนื่องจากมันหลายเดือนมาละบิลเลยกลับบ้านเก่าไปแล้วแต่จำได้แม่นครับ Plasir Menu 2 คน หัวละ 15,000เยน บวก น้ำแร่2ขวด บวก service charge 12% สิริรวม 44,000เยนครับ ซึ่งถ้าเทียบกับที่ไปผจญมาที่ปารีสแล้วราคานี้ในร้านระดับนี้ได้อาหารแบบนี้ในที่อย่างโตเกียวผมว่าค่อนข้างโอเคนะครับ
ตอนกลับตามธรรมเนียมร้านพวกนี้จะมีการให้ขนมติดไม้ติดมือกลับมาด้วย คราวนี้เป็นขนมปังผิวส้มก้อนเบ้อเริ่มใส่ถุงอย่างดีมาซึ่งแฟนผมแย่งไปถือเองเรียบร้อยคงไม่ต้องบอกว่าอร่อยขนาดไหนนะครับ
สรุปความ
เป็นร้านที่ผมชอบที่สุดและคิดว่าจะกลับไปทานทุกครั้งที่มีโอกาสมาโตเกียวครับ คุณภาพบริการบรรยากาศอาหารระดับนี้กลางวันเริ่มต้นที่6,000เยนซึ่งผมว่าถ้ามีโอกาสน่ามาลองมากครับ เป็นร้าน3ดาวในโตเกียวที่น่าจะราคาเป็นมิตรมากที่สุดแล้ว แต่อาจจะต้องเตรียมการแต่งตัวนิดนึงอย่างที่เล่าครับ
อ้อ เกือบลืม ที่จั่วหัวไว้ว่า "ร้านอาจารย์ที่เขียน GTO ใช้ฉลองปิดเล่ม" มันเกี่ยวอะไรกับร้านนี้ฟะ ถ้าคุณมี GTO ฉบับรวมเล่มลองหยิบเล่มที่19แล้วดูที่หน้าที่6จากท้ายดูครับ นี่เป็นตอนพิเศษที่เค้าพูดถึงตอนได้ไปรับเลี้ยงฉลองปิดเล่มครับ ร้านแรกคือปู่จิโร่กับร้านที่2เคยร้านนี้ครับ ถึงแม้ชื่อร้านในเล่มจะไปคนละทิศคนละทางแต่เข้าใจว่าเพราะตอนที่แปลตอนนั้นภาษาญี่ปุ่นที่เรียกร้านนี้มันคงเรียกยาก แต่จริงๆคือ Joel Robuchon นี่ล่ะครับไม่ใช่ไทยูบังอะไรนั่น 555
ขอบพระคุณที่รับชมกันมานะครับ ประสบการณ์ที่ได้ไปที่เหล่านี้ก็เพราะมีผู้ให้หลายๆท่านในห้องก้นครัวกับห้องบลูคอยชี้คอยนำคอยแชร์ให้เลยอยากมาแบ่งปันประสบการณ์บ้างเผื่อมีใครกำลังตัดสินใจอยู่ เผื่อจะเป็นประโยชน์ได้บ้างครับ
ลากันด้วยลูกอมปิดท้ายของ Le Chateau de Joel Robuchon ครับ สวัสดีปีใหม่คร้าบ
[CR] ร้านที่อาจารย์ที่เขียน GTO ใช้ฉลองปิดเล่ม - Le Chateau de Joel Robuchon, Ebisu Garden Place, Tokyo (3 stars Michelin)
จากกระทู้รีวิว Le Jules Verne(http://pantip.com/topic/33040964) และ La Tour d'agent(http://pantip.com/topic/33047809) ที่ได้รับความกรุณาจากเพื่อยสมาชิกให้ได้เป็นกระทู้แนะนำในห้องก้นครัวกับห้องบลู(แม้เพียงช่วงสั้นๆ) ขอขอบพระคุณมากครับ มาต่อกันด้วยร้านสุดท้ายส่งท้ายปี2014ของผมกันครับ
Le Chateau de Joel Robuchon หรือสั้นๆว่า Restaurant Joel Robuchon ที่ Ebisu Garden Place, Tokyo ครับ เป็นร้านของเชฟ Joel Robuchon ผู้ที่ได้รับดาวMichelinมากที่สุดในโลกจากร้านทั่วโลกของเค้าขณะนี้(28 ดวง) และที่เป็นข่าวว่าตอนนี้กำลังเตรียมเปิดร้านแรกของเค้าที่กรุงเทพต้นปีนี้ครับ
ที่ญี่ปุ่นนี่ Joel Robuchon เปิดหลายร้านมากครับมีตั้งแต่ Le Cafe ซึ่งเป็นเหมือนร้านกาแฟแล้วมีขนมปังกับเค้กสุดอร่อยเค้าอยู่, L'telier ซึ่งเป็น fine dining แบบสบายๆ(แต่ราคาก็ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่เพราะก็ยัง 2ดาว)เพราะลูกค้าจะนั่งตรงเค้าเต้อร์ดูเชฟทำอาหารโดยตรงไม่เคร่งเรื่องการแต่งตัว, La Table ซึ่งเป็นร้านที่เป็นทางการขึ้นมานิดแต่ก็ยังมีบรรยากาศสบายๆอยู่(2 ดาว) กับร้านที่เป็นเรือธงของเค้าคือ Restaurant Joel Robuchon(3 ดาว) ที่เป็นระดับทางการสุด คือขอความร่วมมือให้ใส่แจ๊คเก็ตตั้งแต่มื้อกลางวันกันเลยครับ
ขั้นแรกก็จองผ่านเวปกันก่อนตามลิ้งค์ร้านข้างล่างครับ
http://www.robuchon.jp/joelrobuchon-en
ผมเคยรีวิวร้านนี้ไปรอบนึงแล้วเมื่อปี2013 ตอนนั้นไปลองชุดคอรส์กลางวันวันธรรมดาเค้าตามลิ้งค์ข้างล่างครับ
http://pantip.com/topic/30583599
ตัวร้านอาหารที่สร้างเป็นปราสาทท่ามกลางตึกสูงในโตเกียว เป็นภาพแปลกตาที่จะได้เห็นถ้าเราลง JR Yamanote สถานี Ebisu แล้วเดินขึ้นทางเลื่อน Ebisu Skywalk มาจนสุดทางครับ
วันนี้ขออนุญาติกลับมารีวิวคอรส์ที่เป็น highlight มื้อกลางวันของเค้าคือ Plasir Menu ราคาคนละ 15,000เยนครับ ซึ่งเมนูนี้จะรวมอาหารจานเด่นของ Joel Robuchonไว้ให้เลยโดยเราเปลี่ยนไม่ได้ ต่างจากเมนูกลางวันวันธรรมดาเท่าไปที่จะให้เลือกจำนวนคอรส์ก่อนว่าจะเอา3, 5, หรือ 6 แล้วค่อยเลือกอาหารแต่ละจานอีกทีครับ
เนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งที่2แล้ว รูปบรรยากาศในร้านอาจมีไม่มาก รบกวนรับชมในกระทู้ของปี 2013 ตามลิ้งค์ข้างบนนะครับ
จานแรกครับ White Asparagus light foam served with orange jelly
ได้มาตอนแรกก็งงครับ แต่เหมือนบริกรจะบอกแค่ว่ามองถาดนี้แล้วตักให้ถึงก้นถ้วยแล้วทานเข้าไปเลยโดยไม่บอกว่ามันคืออะไร รสชาติหน่อไม้ฝรั่งขาวออกมาเต็มๆเหมือนกำลังกินต้นมันจริงๆอยู่ครับ หวานหอมเค็มนิดๆมีเยลลี่ส้มหอมเปรี้ยวบางๆมาตัด อร่อยทีเดียวครับ
จานที่2 Sea Urchin with a delicate crustacean jelly and a cualiflower cream
เป็นจานเด่นของเค้าจานนึงเลยครับ เปิดถ้วยมาด้านบนสุดเป็นครีมดอกกะหล่ำ ฟังดูไม่นานทานแต่หอมหวานมันสุดๆครับ ลงมันเป็นซูปเปลือกอะไรซักอย่างเอามาทำเป็นเยลลี่ได้รสอาหารทะเลเข้มข้นมากและชั้นล่างสุดเป็นไข่หอยเม่นชิ้นเป้งๆวางซ้อนกันอยู่หลายชิ้นเหมือนกันครับ เหมือนเดิมครับใช้ช้อนตักจนถึงก้นถ้วยแล้วทานมันพร้อมกันทั้ง3ชั้นเลย รสชาติไข่หอยเม่นหวานเค็มนิดๆกับกลิ่นทะเลเต็มในเยลลี่กับครีมดอกกะหล่ำหวานเข้ามาพร้อมกันนี่ อร่อยมากทีเดียวครับ
จานที่3 Sauteed Duck Liver served with parmesan cheese risotto
ไม่มีอะไรต้องพูดมากครับ หน้าตาดียังไงรสชาติดีกว่านั้น2เท่าครับ ฟัวกราส์ชิ้นหนากำลังดีทอดได้ผิวตึงกรอบด้านนอกข้างในนุ่มเหมือนละลายได้ทานกับรีซอตโต้ชีวพาร์เมซานเม็ดใสตึงไม่แข็งไม่นิ่ม อร่อยที่สุดเท่าที่ประสบการณ์น้อยๆของผมเคยกินมาแล้วครับ อยากจะแคนเซิลคอรส์นี้แล้วแลกกับจานที่เหลือทั้งหมดให้เป็นจานนี้เลย
จานที่4 Sea Bream served with a lemongrass emulsion and oil, stewed leek
เป็นปลาบรีมน่าขะpoached มานะครับ ทานกับโฟมและน้ำมันตะไคร้และต้นหอมญี่ปุ่น นี่เป็นเมนูที่ทำให้แฟนอยากมาทานร้านนี้อีกรอบหลังจากครั้งที่แล้วครับ ปลาทำมาสุกฉ่ำดีมากทานกับน้ำมันตะไคร้หวานมันนิดๆกับโฟมตะไคร้ซึ่งได้กลิ่นหอมเต็มๆ ไม่แรงเหมือนบ้านเรากับต้มหอมเคี่ยวมาหวานๆ ประทับใจใช้ได้เลยครับ ตะไคร้ฝอยข้างบนไม่รู้เค้าไปทำอีท่าไหนมากรอบอร่อยทานด้วยกันเยี่ยมครับ
จานที่5 Beef Fillet served with an artichoke coulis, mediterranean vegetables and gratinated chickpea
เป็นเนื้อสันในย่างมาชมพูทั้งชิ้นครับ ทานกับพวกซอส artichoke ปั่นละเอียดกับผักย่างครับ ทีเด็ดคือ gratinated chickpea ไอ้สี่เหลี่ยมทองๆนั่นครับ พอเอามีดตัดเปลือกกรอบมันลงไปข้างในเป็นchickpeaปั่นละเอียดมานุ่มๆหวานอร่อยสุดๆครับ
จานที่6 Avant Dessert ของล้างปากก่อนของหวานครับ
สารภาพว่าจำไม่ได้แล้วว่ามันคืออะไรแต่ เป็นเชอร์เบตซักอย่างกับโฟมผลไม้ให้รสตัดกันไว้ล้างปากให้สดชื่นพร้อมรับของหวานครับ
จานที่7 Carioca - papaya coulis and guava mousse served with a black current sherbet
เป็นมะละกอปั่นละเอียดเย็นๆทานกับมูสลูกฝรั่งกับเชอร์เบตแบลคเคอร์เร้นท์ครับ เปรี้ยวสะใจผู้หญิงคงชอบมากเพราะคนตรงข้ามผมก็วิดเข้าปากใหญ่ไม่พูดไม่จาส่วนผมก็เปรี้ยวจี้ดๆไปครับ ใช้ได้
จานที่8 สุดท้ายครับ กาแฟ(อยู่ในชุด เย้!)กับพวก petit fours และเยลลี่ซากุระครับ สงสัยเอาให้เข้ากับเทศกาลที่ไปตอนนั้นพอดีเยลลี่ก็มีกลิ่นดอกซากุระนิดๆคงเอาสีมากกว่ารสชาติออกเปรี้ยวๆยิ่งไอ้ลูกแดงๆข้างบนนั่นยิ่งเปรี้ยวหนักเลย
ถึงเวลาแห่งความเป็นจริงครับ
เนื่องจากมันหลายเดือนมาละบิลเลยกลับบ้านเก่าไปแล้วแต่จำได้แม่นครับ Plasir Menu 2 คน หัวละ 15,000เยน บวก น้ำแร่2ขวด บวก service charge 12% สิริรวม 44,000เยนครับ ซึ่งถ้าเทียบกับที่ไปผจญมาที่ปารีสแล้วราคานี้ในร้านระดับนี้ได้อาหารแบบนี้ในที่อย่างโตเกียวผมว่าค่อนข้างโอเคนะครับ
ตอนกลับตามธรรมเนียมร้านพวกนี้จะมีการให้ขนมติดไม้ติดมือกลับมาด้วย คราวนี้เป็นขนมปังผิวส้มก้อนเบ้อเริ่มใส่ถุงอย่างดีมาซึ่งแฟนผมแย่งไปถือเองเรียบร้อยคงไม่ต้องบอกว่าอร่อยขนาดไหนนะครับ
สรุปความ
เป็นร้านที่ผมชอบที่สุดและคิดว่าจะกลับไปทานทุกครั้งที่มีโอกาสมาโตเกียวครับ คุณภาพบริการบรรยากาศอาหารระดับนี้กลางวันเริ่มต้นที่6,000เยนซึ่งผมว่าถ้ามีโอกาสน่ามาลองมากครับ เป็นร้าน3ดาวในโตเกียวที่น่าจะราคาเป็นมิตรมากที่สุดแล้ว แต่อาจจะต้องเตรียมการแต่งตัวนิดนึงอย่างที่เล่าครับ
อ้อ เกือบลืม ที่จั่วหัวไว้ว่า "ร้านอาจารย์ที่เขียน GTO ใช้ฉลองปิดเล่ม" มันเกี่ยวอะไรกับร้านนี้ฟะ ถ้าคุณมี GTO ฉบับรวมเล่มลองหยิบเล่มที่19แล้วดูที่หน้าที่6จากท้ายดูครับ นี่เป็นตอนพิเศษที่เค้าพูดถึงตอนได้ไปรับเลี้ยงฉลองปิดเล่มครับ ร้านแรกคือปู่จิโร่กับร้านที่2เคยร้านนี้ครับ ถึงแม้ชื่อร้านในเล่มจะไปคนละทิศคนละทางแต่เข้าใจว่าเพราะตอนที่แปลตอนนั้นภาษาญี่ปุ่นที่เรียกร้านนี้มันคงเรียกยาก แต่จริงๆคือ Joel Robuchon นี่ล่ะครับไม่ใช่ไทยูบังอะไรนั่น 555
ขอบพระคุณที่รับชมกันมานะครับ ประสบการณ์ที่ได้ไปที่เหล่านี้ก็เพราะมีผู้ให้หลายๆท่านในห้องก้นครัวกับห้องบลูคอยชี้คอยนำคอยแชร์ให้เลยอยากมาแบ่งปันประสบการณ์บ้างเผื่อมีใครกำลังตัดสินใจอยู่ เผื่อจะเป็นประโยชน์ได้บ้างครับ
ลากันด้วยลูกอมปิดท้ายของ Le Chateau de Joel Robuchon ครับ สวัสดีปีใหม่คร้าบ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น