สวัสดี(ใกล้)ปีใหม่อีกแล้วนะครับ

วันนี้ผมเอารูปที่ได้ไปถ่ายจากนครสวรรค์มาฝากกันครับ
อันที่จริงภาพชุดนี้ถ่ายมาตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย. แล้วแต่ไม่มีเวลาทำ แหะๆ..(แต่ตอนเล่าขอเล่าตามฟิลจริงที่ไปมาแล้วกันนะครับ) ^-^
ประกอบกับใกล้จะปีใหม่แล้วก็อยากให้เป็นตัวเลือกสำหรับคนที่ปีใหม่อยากไปเที่ยวแต่เบื่อนั่งรถติดนานๆแบบผม ฮะๆๆ
ที่สำคัญไม่ไกลจาก กรุงเทพฯ มากนัก และบรรยากาศก็เหมือนกับภาคเหนือยังไงยังงั้น
ทริปนี้เป็นการไปเที่ยวแบบงงๆ เริ่มจากหัวหน้าผม คงเห็นผมเน็จเหนื่อยจากการทำงาน 55555 และได้รับคำชักชวนมาจากเพื่อนของหัวหน้าผมอีกทีโดยมีเป้าหมายเพื่อไปถ่ายรูปที่พักที่มีชื่อว่า Energy resort นครสวรรค์ ที่ตั้งอยู่บนถนนสายเอเชีย 1 ก่อนเข้าตัวเมืองนครสวรรค์
ที่สำคัญหัวหน้าผมบอกไปพักฟรี เที่ยวฟรี กินฟรี!! โดนไป 3 ฟรี!! นี่ทำเอาสติผมเลอะเลือนไปตลอดการเดินทางเลย อิอิ
นอกจากจะพาไปเที่ยวชมที่พักที่ชื่อว่า Energy resort แล้วยังมีสถานที่อื่นๆที่น่าสนใจในตัวเมืองและวิถีชีวิตของคนนครสวรรค์ รวมทั้งของอร่อยๆในละแวกนั้น มาแนะนำกันด้วยครับซึ่งใช้เวลา ประมาณ 3 วัน2คืน เนื่องจากออกเดินทางจากที่ทำงานในเย็นวันศุกร์และกลับกันในวันอาทิตย์ครับ
SR. Energy resort นครสวรรค์
มาเริ่มกันเลยดีกว่า!!
เริ่มจากขับรถส่วนตัว ออกจากที่ทำงานไปกับพี่ที่ทำงานและหัวหน้าผม ประมาณ 6 โมงเย็น ถึง ที่พักประมาณ 20.00 น. ครับ และเป็นการเดินทางที่สนุกมากเพราะผมหลับมาตลอดทางเลย 555555

พอลืมตาตื่นมาด้วยความเมาขี้ตาหรือเปล่าก็ไม่รู้ เราก็มาถึงที่พักของเรา Energy resort …ก็ตามฟอร์มครับเพิ่งตื่น ..เลยเก็บบรรยากาศที่พักมา 2-3 ใบ
ประกอบกับเพื่อนหัวหน้าผมที่เป็นเจ้าของที่พักได้เตรียมห้องพักไว้ให้แล้ว และบอกว่าพรุ้งนี้ จะพาไปถ่ายวิวที่หอชมวิวและที่พระจุฬามณีเจดีย์ ที่อยู่ใกล้กัน ในตอนเช้า แล้วต่อด้วยพิธีเปลี่ยนเครื่องทรง ลุยไฟ ของ ศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์-เจ้าแม่ทับทิม ที่ 100 ปีจะมีครั้ง พวกเราเลยรีบชาร์จพลังกันในทันที พร้อมรับงานลุยไฟที่จะมีในวันรุ่งขึ้น
ตื่นเช้ามา ที่นี่ บรรยากาศดีมากครับ แล้วก็มาซ้ำมุมนี้ที่เมื่อคืนค่อนข้างจะเบลอๆ อิอิ
บ้านหลังนี้เมื่อคืนผมมาพักเองครับ (เมื่อคืนลืมถ่าย) น่ารักไหมละ อิอิ
แล้วก่อนจะออกเดินทาง ก็ขอแนะนำ เฮียเพ้งและพี่จา เพื่อนหัวหน้าผมเองและเป็นเจ้าของรีสอร์ท ที่อาสาพาเราไปเที่ยวที่ นครสวรรค์ นี้กันครับ (ต้องบอกเลยว่าจำชื่อนี้ไว้ให้ดี “พี่จา&เฮียเพ้ง สโลแกน สปอร์ต ใจดี นครสวรรค์” 5555)
ออกจากที่พักไปยังจุดหอคอยชมเมือง (ไม่แน่ใจใช่ชื่อนี้ไหม) ปรากฏว่า...เราไปกันเช้าเกิน อิอิ
ที่นี้ดันเปิด 10 โมงเช้า เราเลยเปลี่ยนไปถ่ายวิวตอนเช้าที่ พระจุฬามณีเจดีย์ ที่อยู่ใกล้ๆกับหอคอยชมเมืองกัน
พี่จาขับพาเรามาจากหอคอยไม่กี่ร้อยเมตรก็มาถึง พระจุฬามณีเจดีย์

ที่นี่อากาศดีสุดๆ ไปเลยครับ
สร้างได้สวยงามมักๆ ดูยิ่งใหญ่อลังการ

รูปนี้ผมไม่ได้จะถ่ายคนเลย แต่นางบังเอิญเดินเข้ามาพอดี

วิวบนนี้สุดยอดจริงๆ ครับ อากาศดีๆ วิวดีๆ ที่ฉันปราถนา….

จากจุดสูงสุดของเจดีย์ มองเห็น หอคอยชมวิวใกล้แค่เอื้อมถึงตอนนี้...เราเลยลงเขา...เพื่อที่จะไปงานเปลี่ยนเครื่องทรงพิธีลุยไฟ ศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์-เจ้าแม่ทับทิมกันต่อครับ
ก่อนจะออกไปศาลเจ้าพ่อฯ เราก็แวะเติมพลังกันที่ ตลาดในตัวเมืองนครสวรรค์ กับร้าน ซุย เครื่องในหมู (ที่ต้องบอกเลยว่า ต้มเลือดหมูที่นี่ เด็ดมากๆ)น้ำซุปรสชาติกลมกล่องมากครับ เครื่องในไม่มีกลิ่นคาวเลย ที่สำคัญลูกชิ้นหมูสับนี่สุดๆ ของยอดภูผาสูงชัน แน่นอน ปกติผมจะต้องปรุงต้มเลือดหมูก่อนเกือบทุกร้านแต่ร้านนี้ ..ไม่ต้องปรุงครับ!!^-^
หลังเติมพลังเสร็จแล้วเราก็มาจุดข้ามแม่น้ำ ปากน้ำโพ ที่เป็นจุดบรรจบ ของแม่น้ำ สองสายแม่น้ำปิง และ แม่น้ำน่านเพื่อข้ามไปยัง ศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์-เจ้าแม่ทับทิม
มาถึงแล้วศาลเจ้าพ่อฯ ก็งงค้างกันเล็กน้อยเนื่องจากเรามากันแต่เช้า แต่พิธีลุยไฟจะเริ่มประมาณ ช่วงเย็นๆ (ตามพี่คนที่ โพสต์ท่าตรงกระถางต้นไม้ หน้าศาลเจ้าฯ บอก)

ไหนๆก็มาถึงแล้วแวะเข้าไปดูกันซักหน่อยดีกว่า..

เก้าอี้นี้ทีแรกที่เห็นบอกตรงๆ ว่าดู ซาดิสมากๆ ทีแรกจะลองนั่งถ่ายรูปเอง แต่เห็นกระดาษเงินกระดาษทองมาแปะให้รู้ว่าคมจริง เลยต้องขอบาย
พอลงมาที่ท่าเรื่องก็ปรึกษากันว่าจะไปไหนกันต่อดี แล้วก็เหลือบไปเห็น อะไรที่ทุกวันนี้ใน กรุงเทพฯ ไม่ค่อยได้เห็นกันแล้ว (เห็นแล้วคิดถึงตอนผมเด็กๆ เสียเงินซื้อแล้ว ยังต้องเจ็บตัวตอนไปหาหมอฟันอีก 55555)
หลังจากตกลงกันได้แล้ว สรุปว่าจะล่องแม่น้ำ ถ่ายวิถีชีวิตคนริมแม่น้ำชิลๆ ก็รอเรือจ้างมารับ
จากท่าเรือหน้าศาลเจ้าพ่อฯ มองเห็นแม่น้ำสองสายที่ตัดกันได้ชัดเจน ซึ่งแบ่งเป็น 2 สี สีแดงและดำ
ระหว่างรอเรือมารับ พี่ชายที่ทำงานผมที่เป็นตรู๊ดๆ (เสียงรอสาย)
ก็อยากได้ภาพที่ดูดีเก๋กู๊ด ไว้ตบตาประชาชน ก็เลยจัดไป 1 ใบ!!
แล้วเรือที่เราจ้างไว้ก็มา พร้อมกับผู้โดยสารที่จะมางาน เปลี่ยนเครื่องทรง ลุยไฟ ที่ศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์-เจ้าแม่ทับทิม

แม่น้ำที่เราได้ล่องกันไป ซึ่งมีบ้านแพลอยน้ำของชาวบ้านตลอดสายแม่น้ำนี้เลยครับ

บรรยากาศ ของชาวบ้านริมแม่น้ำดูจะน่าอิจฉามาก เพราะอากาศก็ดี ลมเย็นๆ พัดผ่านตลอด ดูน่าจะชิล สุดๆ ไปเลย

หลังนี้สะดุดตาสุดครับ แพมลิวัลย์ ได้แค่แล่นผ่าน เพราะ ถ่ายใบนี้ไปเหมือน เจ้าของบ้านแกตะโกนบอกอะไรมาซักอย่าง ไม่ทันฟังเลยคิดว่าโดนดุ เลยรีบไปต่อ ฮะๆๆ

เธอรู้ไหมว่าฉันออกมารอเธอที่ท่าน้ำ ทุกวันเลยนะ... 555555

ผ่านมาเรื่อยๆ กับแม่น้ำ ก็เจอ ลุงคนนึงกำลังเช็คแหจับปลาอยู่ครับ ถ้าไม่ติดว่าว่ายน้ำไม่เป็นผมคงลงไปช่วยลุงเขาละ
ล่องแม่น้ำได้ซักประมาณ 15-20 นาที ได้บรรยากาศ ชิลๆ แล้วดูวิธีชีวิตชาวบ้านริมแม่น้ำ ยามเช้า ก็กลับมายังทางฝั่งท่าเรือปากน้ำโพ
เพื่อรอเวลาพิธีลุยไฟ ที่ศาลเจ้าพ่อฯ โดยจะแวะซื้อข้าวขาหมูและขนมกลับไปกินที่ ที่พัก เพราะแบ็ตผมและพี่ชายหมดไวมาก
เนื่องจากความล้าจากการทำงานทั้งอาทิตย์ เลยอยากจะกินอิ่มแล้วนอนหลับเลย ฮะๆๆ
จากท่าเรือปากน้ำโพพี่จาพาเรามาที่ ร้านกล้วยทอด/มันทอดแสนอร่อย เจ้าเก่า...ดั้งเดิม ของเมืองนครสวรรค์
ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ซอย สวรรค์วิธี 18 ครับ
แม่ค้ายิ้มแย้มน่ารักมากๆ ครับ ที่สำคัญน้ำมันที่ใช้ทอดใหม่มากๆ ด้วย ไม่รู้ว่าเพิ่งเปลี่ยนหรือเปล่า ลองถามแม่ค้าบอกเปลี่ยนทุกวัน!! (ใจจริงผมเองก็คิดว่าโม้แหละนะครับ 555)

แต่ที่สำคัญคือรสชาติ ขอบอกตรงๆ ว่าอร่อยเหาะ พ่ะยะค่ะ!!
และใกล้ๆกันนี้คือร้านข้าวขาหมู ในตำนาน ร้านข้าวขาหมู มยุรี ร้านนี้ผมชอบเป็นพิเศษเพราะเจ้าของร้านน่ารัก 5555

ผักดองรสชาติอ่อนโยน เค็มนิดหวานหน่อย อร่อยดี ขาหมูนุ่มๆ ละลายในปาก รสชาติที่เป็น ตำนาน ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก อิอิ
ก่อนกลับ พี่จาก็ขอแนะนำอีก 1 ร้าน ร้านกล้วยปิ้ง-คุณป้าทัศนีย์ ตรงซอย มาตุลี 17

คุณลุงกับคุณป้า กำลังปิ้งกล้วย แถวยาวน่ากิน

ปกติหากเรากินกล้วยปิ้งจะมีน้ำเชื่อมผสมกะทิราดอีกทีใช่ไหมครับ แต่ร้านนี้ ไม่มีน้ำราดนะจ๊ะ แต่ใช้วิธี ทาน้ำกะทิสูตรเฉพาะของทางร้าน
ทาลงบนกล้วยระหว่างที่ปิ้งให้ซึมเข้าไปถึงเนื้อในกล้วย เห็นลุงแกทากี่รอบไม่แน่ใจ แต่ลองชิมแล้วกลิ่นหอมกะทิและความหวานที่พอดี มันรวมอยู่ในนั้น เคี้ยวไปซักพักรสชาติของกล้วยก็จะผสมกับน้ำกะทิสูตรพิเศษ ที่อร่อย จนอยากจะขึ้นตะโกนบนยอดเขาหิมาลัยกันเลยทีเดียว
กลับที่พักมาด้วยความที่หิวหน้ามืดตาลาย เราก็จัดการกับเสบียงที่สั่งสมมากันจนหมดเกลี้ยง แต่กินอิ่มแล้วจะนอนเอาแรงเลยก็อาจจะไม่ดี
(แลดูเป็นคนรักสุขภาพ) เลยเดินเก็บบรรยากาศที่พักรอบๆ เพื่อย่อยอาหารกันหน่อย

จากรูปบน นี่ด้านหลัง ขอบอกไว้ ณ ตรงนี้เลย ว่าพี่ผมเป็นผุ้ช๊าย ผู้ชาย
[SR] SR. Energy resort นครสวรรค์ "ปีใหม่...ฉันจะไป..นครสวรรค์"
วันนี้ผมเอารูปที่ได้ไปถ่ายจากนครสวรรค์มาฝากกันครับ
อันที่จริงภาพชุดนี้ถ่ายมาตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย. แล้วแต่ไม่มีเวลาทำ แหะๆ..(แต่ตอนเล่าขอเล่าตามฟิลจริงที่ไปมาแล้วกันนะครับ) ^-^
ประกอบกับใกล้จะปีใหม่แล้วก็อยากให้เป็นตัวเลือกสำหรับคนที่ปีใหม่อยากไปเที่ยวแต่เบื่อนั่งรถติดนานๆแบบผม ฮะๆๆ
ที่สำคัญไม่ไกลจาก กรุงเทพฯ มากนัก และบรรยากาศก็เหมือนกับภาคเหนือยังไงยังงั้น
ทริปนี้เป็นการไปเที่ยวแบบงงๆ เริ่มจากหัวหน้าผม คงเห็นผมเน็จเหนื่อยจากการทำงาน 55555 และได้รับคำชักชวนมาจากเพื่อนของหัวหน้าผมอีกทีโดยมีเป้าหมายเพื่อไปถ่ายรูปที่พักที่มีชื่อว่า Energy resort นครสวรรค์ ที่ตั้งอยู่บนถนนสายเอเชีย 1 ก่อนเข้าตัวเมืองนครสวรรค์
ที่สำคัญหัวหน้าผมบอกไปพักฟรี เที่ยวฟรี กินฟรี!! โดนไป 3 ฟรี!! นี่ทำเอาสติผมเลอะเลือนไปตลอดการเดินทางเลย อิอิ
นอกจากจะพาไปเที่ยวชมที่พักที่ชื่อว่า Energy resort แล้วยังมีสถานที่อื่นๆที่น่าสนใจในตัวเมืองและวิถีชีวิตของคนนครสวรรค์ รวมทั้งของอร่อยๆในละแวกนั้น มาแนะนำกันด้วยครับซึ่งใช้เวลา ประมาณ 3 วัน2คืน เนื่องจากออกเดินทางจากที่ทำงานในเย็นวันศุกร์และกลับกันในวันอาทิตย์ครับ
SR. Energy resort นครสวรรค์
มาเริ่มกันเลยดีกว่า!!
เริ่มจากขับรถส่วนตัว ออกจากที่ทำงานไปกับพี่ที่ทำงานและหัวหน้าผม ประมาณ 6 โมงเย็น ถึง ที่พักประมาณ 20.00 น. ครับ และเป็นการเดินทางที่สนุกมากเพราะผมหลับมาตลอดทางเลย 555555
พอลืมตาตื่นมาด้วยความเมาขี้ตาหรือเปล่าก็ไม่รู้ เราก็มาถึงที่พักของเรา Energy resort …ก็ตามฟอร์มครับเพิ่งตื่น ..เลยเก็บบรรยากาศที่พักมา 2-3 ใบ
ประกอบกับเพื่อนหัวหน้าผมที่เป็นเจ้าของที่พักได้เตรียมห้องพักไว้ให้แล้ว และบอกว่าพรุ้งนี้ จะพาไปถ่ายวิวที่หอชมวิวและที่พระจุฬามณีเจดีย์ ที่อยู่ใกล้กัน ในตอนเช้า แล้วต่อด้วยพิธีเปลี่ยนเครื่องทรง ลุยไฟ ของ ศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์-เจ้าแม่ทับทิม ที่ 100 ปีจะมีครั้ง พวกเราเลยรีบชาร์จพลังกันในทันที พร้อมรับงานลุยไฟที่จะมีในวันรุ่งขึ้น
ตื่นเช้ามา ที่นี่ บรรยากาศดีมากครับ แล้วก็มาซ้ำมุมนี้ที่เมื่อคืนค่อนข้างจะเบลอๆ อิอิ
บ้านหลังนี้เมื่อคืนผมมาพักเองครับ (เมื่อคืนลืมถ่าย) น่ารักไหมละ อิอิ
แล้วก่อนจะออกเดินทาง ก็ขอแนะนำ เฮียเพ้งและพี่จา เพื่อนหัวหน้าผมเองและเป็นเจ้าของรีสอร์ท ที่อาสาพาเราไปเที่ยวที่ นครสวรรค์ นี้กันครับ (ต้องบอกเลยว่าจำชื่อนี้ไว้ให้ดี “พี่จา&เฮียเพ้ง สโลแกน สปอร์ต ใจดี นครสวรรค์” 5555)
ออกจากที่พักไปยังจุดหอคอยชมเมือง (ไม่แน่ใจใช่ชื่อนี้ไหม) ปรากฏว่า...เราไปกันเช้าเกิน อิอิ
ที่นี้ดันเปิด 10 โมงเช้า เราเลยเปลี่ยนไปถ่ายวิวตอนเช้าที่ พระจุฬามณีเจดีย์ ที่อยู่ใกล้ๆกับหอคอยชมเมืองกัน
พี่จาขับพาเรามาจากหอคอยไม่กี่ร้อยเมตรก็มาถึง พระจุฬามณีเจดีย์
ที่นี่อากาศดีสุดๆ ไปเลยครับ
สร้างได้สวยงามมักๆ ดูยิ่งใหญ่อลังการ
รูปนี้ผมไม่ได้จะถ่ายคนเลย แต่นางบังเอิญเดินเข้ามาพอดี
วิวบนนี้สุดยอดจริงๆ ครับ อากาศดีๆ วิวดีๆ ที่ฉันปราถนา….
จากจุดสูงสุดของเจดีย์ มองเห็น หอคอยชมวิวใกล้แค่เอื้อมถึงตอนนี้...เราเลยลงเขา...เพื่อที่จะไปงานเปลี่ยนเครื่องทรงพิธีลุยไฟ ศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์-เจ้าแม่ทับทิมกันต่อครับ
ก่อนจะออกไปศาลเจ้าพ่อฯ เราก็แวะเติมพลังกันที่ ตลาดในตัวเมืองนครสวรรค์ กับร้าน ซุย เครื่องในหมู (ที่ต้องบอกเลยว่า ต้มเลือดหมูที่นี่ เด็ดมากๆ)น้ำซุปรสชาติกลมกล่องมากครับ เครื่องในไม่มีกลิ่นคาวเลย ที่สำคัญลูกชิ้นหมูสับนี่สุดๆ ของยอดภูผาสูงชัน แน่นอน ปกติผมจะต้องปรุงต้มเลือดหมูก่อนเกือบทุกร้านแต่ร้านนี้ ..ไม่ต้องปรุงครับ!!^-^
หลังเติมพลังเสร็จแล้วเราก็มาจุดข้ามแม่น้ำ ปากน้ำโพ ที่เป็นจุดบรรจบ ของแม่น้ำ สองสายแม่น้ำปิง และ แม่น้ำน่านเพื่อข้ามไปยัง ศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์-เจ้าแม่ทับทิม
มาถึงแล้วศาลเจ้าพ่อฯ ก็งงค้างกันเล็กน้อยเนื่องจากเรามากันแต่เช้า แต่พิธีลุยไฟจะเริ่มประมาณ ช่วงเย็นๆ (ตามพี่คนที่ โพสต์ท่าตรงกระถางต้นไม้ หน้าศาลเจ้าฯ บอก)
ไหนๆก็มาถึงแล้วแวะเข้าไปดูกันซักหน่อยดีกว่า..
เก้าอี้นี้ทีแรกที่เห็นบอกตรงๆ ว่าดู ซาดิสมากๆ ทีแรกจะลองนั่งถ่ายรูปเอง แต่เห็นกระดาษเงินกระดาษทองมาแปะให้รู้ว่าคมจริง เลยต้องขอบาย
พอลงมาที่ท่าเรื่องก็ปรึกษากันว่าจะไปไหนกันต่อดี แล้วก็เหลือบไปเห็น อะไรที่ทุกวันนี้ใน กรุงเทพฯ ไม่ค่อยได้เห็นกันแล้ว (เห็นแล้วคิดถึงตอนผมเด็กๆ เสียเงินซื้อแล้ว ยังต้องเจ็บตัวตอนไปหาหมอฟันอีก 55555)
หลังจากตกลงกันได้แล้ว สรุปว่าจะล่องแม่น้ำ ถ่ายวิถีชีวิตคนริมแม่น้ำชิลๆ ก็รอเรือจ้างมารับ
จากท่าเรือหน้าศาลเจ้าพ่อฯ มองเห็นแม่น้ำสองสายที่ตัดกันได้ชัดเจน ซึ่งแบ่งเป็น 2 สี สีแดงและดำ
ระหว่างรอเรือมารับ พี่ชายที่ทำงานผมที่เป็นตรู๊ดๆ (เสียงรอสาย)
ก็อยากได้ภาพที่ดูดีเก๋กู๊ด ไว้ตบตาประชาชน ก็เลยจัดไป 1 ใบ!!
แล้วเรือที่เราจ้างไว้ก็มา พร้อมกับผู้โดยสารที่จะมางาน เปลี่ยนเครื่องทรง ลุยไฟ ที่ศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์-เจ้าแม่ทับทิม
แม่น้ำที่เราได้ล่องกันไป ซึ่งมีบ้านแพลอยน้ำของชาวบ้านตลอดสายแม่น้ำนี้เลยครับ
บรรยากาศ ของชาวบ้านริมแม่น้ำดูจะน่าอิจฉามาก เพราะอากาศก็ดี ลมเย็นๆ พัดผ่านตลอด ดูน่าจะชิล สุดๆ ไปเลย
หลังนี้สะดุดตาสุดครับ แพมลิวัลย์ ได้แค่แล่นผ่าน เพราะ ถ่ายใบนี้ไปเหมือน เจ้าของบ้านแกตะโกนบอกอะไรมาซักอย่าง ไม่ทันฟังเลยคิดว่าโดนดุ เลยรีบไปต่อ ฮะๆๆ
เธอรู้ไหมว่าฉันออกมารอเธอที่ท่าน้ำ ทุกวันเลยนะ... 555555
ผ่านมาเรื่อยๆ กับแม่น้ำ ก็เจอ ลุงคนนึงกำลังเช็คแหจับปลาอยู่ครับ ถ้าไม่ติดว่าว่ายน้ำไม่เป็นผมคงลงไปช่วยลุงเขาละ
ล่องแม่น้ำได้ซักประมาณ 15-20 นาที ได้บรรยากาศ ชิลๆ แล้วดูวิธีชีวิตชาวบ้านริมแม่น้ำ ยามเช้า ก็กลับมายังทางฝั่งท่าเรือปากน้ำโพ
เพื่อรอเวลาพิธีลุยไฟ ที่ศาลเจ้าพ่อฯ โดยจะแวะซื้อข้าวขาหมูและขนมกลับไปกินที่ ที่พัก เพราะแบ็ตผมและพี่ชายหมดไวมาก
เนื่องจากความล้าจากการทำงานทั้งอาทิตย์ เลยอยากจะกินอิ่มแล้วนอนหลับเลย ฮะๆๆ
จากท่าเรือปากน้ำโพพี่จาพาเรามาที่ ร้านกล้วยทอด/มันทอดแสนอร่อย เจ้าเก่า...ดั้งเดิม ของเมืองนครสวรรค์
ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ซอย สวรรค์วิธี 18 ครับ
แม่ค้ายิ้มแย้มน่ารักมากๆ ครับ ที่สำคัญน้ำมันที่ใช้ทอดใหม่มากๆ ด้วย ไม่รู้ว่าเพิ่งเปลี่ยนหรือเปล่า ลองถามแม่ค้าบอกเปลี่ยนทุกวัน!! (ใจจริงผมเองก็คิดว่าโม้แหละนะครับ 555)
แต่ที่สำคัญคือรสชาติ ขอบอกตรงๆ ว่าอร่อยเหาะ พ่ะยะค่ะ!!
และใกล้ๆกันนี้คือร้านข้าวขาหมู ในตำนาน ร้านข้าวขาหมู มยุรี ร้านนี้ผมชอบเป็นพิเศษเพราะเจ้าของร้านน่ารัก 5555
ผักดองรสชาติอ่อนโยน เค็มนิดหวานหน่อย อร่อยดี ขาหมูนุ่มๆ ละลายในปาก รสชาติที่เป็น ตำนาน ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก อิอิ
ก่อนกลับ พี่จาก็ขอแนะนำอีก 1 ร้าน ร้านกล้วยปิ้ง-คุณป้าทัศนีย์ ตรงซอย มาตุลี 17
คุณลุงกับคุณป้า กำลังปิ้งกล้วย แถวยาวน่ากิน
ปกติหากเรากินกล้วยปิ้งจะมีน้ำเชื่อมผสมกะทิราดอีกทีใช่ไหมครับ แต่ร้านนี้ ไม่มีน้ำราดนะจ๊ะ แต่ใช้วิธี ทาน้ำกะทิสูตรเฉพาะของทางร้าน
ทาลงบนกล้วยระหว่างที่ปิ้งให้ซึมเข้าไปถึงเนื้อในกล้วย เห็นลุงแกทากี่รอบไม่แน่ใจ แต่ลองชิมแล้วกลิ่นหอมกะทิและความหวานที่พอดี มันรวมอยู่ในนั้น เคี้ยวไปซักพักรสชาติของกล้วยก็จะผสมกับน้ำกะทิสูตรพิเศษ ที่อร่อย จนอยากจะขึ้นตะโกนบนยอดเขาหิมาลัยกันเลยทีเดียว
กลับที่พักมาด้วยความที่หิวหน้ามืดตาลาย เราก็จัดการกับเสบียงที่สั่งสมมากันจนหมดเกลี้ยง แต่กินอิ่มแล้วจะนอนเอาแรงเลยก็อาจจะไม่ดี
(แลดูเป็นคนรักสุขภาพ) เลยเดินเก็บบรรยากาศที่พักรอบๆ เพื่อย่อยอาหารกันหน่อย
จากรูปบน นี่ด้านหลัง ขอบอกไว้ ณ ตรงนี้เลย ว่าพี่ผมเป็นผุ้ช๊าย ผู้ชาย