ท่านสมาชิกทุกคนย่อมเคยฝันมาแล้ว
ในเวลาที่ฝันนั้น เรื่องราวทั้งหลายนั้นมีทั้ง เป็นไปตามสัญญา เป็นไปตามเวทนา เป็นไปตามสังขาร และเป็นไปตามจิตคืออุปาทานในสันดานลึก.
ปัจจัยเหล่านี้เอง เป็นสิ่งอันนำพาเรา และสัตว์ทั้งหลายเป็นไป อันผู้มีสติจักตามรู้ตามเห็นได้
เรื่องนี้ออกจะเหนือจินตนาการเพราะ ตั้งใจจะพิมพ์ให้อ่านเล่นๆ ก็อ่านเล่นๆสนุกๆพาจิตพ้นโลกซักประเดี๋ยว
จะยกตัวอย่างการทำงานของจิตที่จะไปเกิดที่อาจจะได้ยินกันมาบ้าง เช่น
1
.เข้าไปในถ้ำแล้วพบแสงปลายทาง เพราะเหตุแห่งสัญญา คือกายนี้เป็นดังถ้ำ ครรภ์นี้เป็นดังถ้ำ จิตนี้อยู่ในถ้ำ
ผู้มีจิตอันข้องไปในถ้ำมืด เป็นดังท่อห่อหุ้มจิต แล้วพบแสงที่ปลายทางนั้น จักเป็นผู้กลับมาสู่ความอยู่ในครรภ์
ถ้ำอันตราย ถ้ำร้อน ถ้ำอันมีความลำบาก เหล่านี้เป็นอกุศลภาวะ เป็นความไปเกิดในครรภ์ อันน่าเดือดร้อนในภายหน้า
ส่วนถ้ำสะอาด ถ้ำเย็น ถ้ำสะดวกสบาย เป็นภาวะกุศล เป็นความไปเกิดในครรภ์ อันมีกุศลคือบุญเป็นเหตุ
2.
เดินไปยังที่โล่งกว้าง เพราะเหตุแห่งเวทนา คือตนมีความยึดมั่นในความรู้สึกอยู่
มีความรอคอยอารมณ์อันใคร่จะให้มาถึงดั่งผู้แสวงหาที่เปิดตาเปิดใจรอรับ จักเป็นผู้ได้ในเวทนา 2 คือ สุขหรือทุกข์
แดนสุขาวดีอันเป็นที่แห่งความเกษมสุข เป็นของผู้รอคอยด้วยกุศลจิต มีความแช่มชื่นในจิตด้วยอารมณ์อันตนประคองไว้
ส่วนผู้ร้อนรน จิตหวลกลับไปยึดมั่นในตราบาป อันทำให้เกิดความกลัว วิบากจักพัดพาไปสู่ความเดือดร้อนนั้น เป็นความไปเกิดของภูมิวิสัย
คือในนรกชั้นต้นๆหรือในสวรรค์ชั้นต่ำๆ ซึ่งจัดเป็นโอปปาติกะ
3.
ภูติ มีนิมิตมาหา คือความยึดมั่นอันตนมีในสังขาร ว่าตนมีตนเป็น
เรื่องนี้น่าจะได้ยินกันมากที่สุด ความสวัสดีหรือความน่าสะพรึงกลัว เป็นสิ่งอันตนใคร่สร้างไว้แล้วด้วยอำนาจอุปาทานด้วยความปรารถนา
คือในฉันทะ ในราคะ ในทิฏฐิ ในตัณหา หรือในพรหมวิหาร ในกุศลเมตตาธรรม ในจาคะ ในศีลพรต เหล่านี้เป็นต้น เป็นความเกิดของโอปปาติกะ
.....เป็นต้น..........................
แล้วทีคนไม่ฝันละ?
คนหลับไม่ฝันกีอยู่จริง ย่อมแสดงว่าจิตที่ไม่ได้ผูกพันหนักแน่นในขันธ์ 5 ในขณะนั้นก็มีอยู่จริง
(ในข้อนี้หมายถึง เป็นผู้ไม่ฝันจริงๆ ไม่เกี่ยวกับผู้ไม่มีสติ หรือเป็นผู้หลงลืม แล้วไม่รู้ตัวว่าฝันหรือไม่ฝัน)
บุคคลประเภทนี้ เป็นผู้เข้าสุญภาวะ ไม่มีความปรากฎในภพไหนๆ คือเมื่อจิตสุดท้ายของชีวิตขาดไปแล้ว ไม่ได้ยึดมั่นในอะไรๆอยู่
แต่เมื่อเวลาผ่านไป หากจิตนั้นเคลื่อนไปดุจละอองที่โดนลม คือไม่ได้เคลื่อนไปเอง แต่เคลื่อนเพราะกำลังของจิตตั้งมั่น กำลังจะหมดลง
ความปรากฏมีอะไรๆก็กลับมา ก็เพราะเป็นความปุถุชนยังมีอยู่พร้อม ความกลับมาเกิดจึงยังมีอยู่
แตกต่างกับพระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์ไม่ยึดมั่นแม้ในจิต เมื่อถึงจิตสุดท้ายในชีวิตแล้ว จิตเองจึงไม่มีกำลังอะไรไปฉุดเคลื่อนจิต
*สนุกบ้างมั้ยครับ*
อ่านประกอบ "จุติจิต ของพระอรหันต์"
http://pantip.com/topic/32998053/comment11
จิตในวาระสุดท้ายของชีวิต
ในเวลาที่ฝันนั้น เรื่องราวทั้งหลายนั้นมีทั้ง เป็นไปตามสัญญา เป็นไปตามเวทนา เป็นไปตามสังขาร และเป็นไปตามจิตคืออุปาทานในสันดานลึก.
ปัจจัยเหล่านี้เอง เป็นสิ่งอันนำพาเรา และสัตว์ทั้งหลายเป็นไป อันผู้มีสติจักตามรู้ตามเห็นได้
เรื่องนี้ออกจะเหนือจินตนาการเพราะ ตั้งใจจะพิมพ์ให้อ่านเล่นๆ ก็อ่านเล่นๆสนุกๆพาจิตพ้นโลกซักประเดี๋ยว
จะยกตัวอย่างการทำงานของจิตที่จะไปเกิดที่อาจจะได้ยินกันมาบ้าง เช่น
1.เข้าไปในถ้ำแล้วพบแสงปลายทาง เพราะเหตุแห่งสัญญา คือกายนี้เป็นดังถ้ำ ครรภ์นี้เป็นดังถ้ำ จิตนี้อยู่ในถ้ำ
ผู้มีจิตอันข้องไปในถ้ำมืด เป็นดังท่อห่อหุ้มจิต แล้วพบแสงที่ปลายทางนั้น จักเป็นผู้กลับมาสู่ความอยู่ในครรภ์
ถ้ำอันตราย ถ้ำร้อน ถ้ำอันมีความลำบาก เหล่านี้เป็นอกุศลภาวะ เป็นความไปเกิดในครรภ์ อันน่าเดือดร้อนในภายหน้า
ส่วนถ้ำสะอาด ถ้ำเย็น ถ้ำสะดวกสบาย เป็นภาวะกุศล เป็นความไปเกิดในครรภ์ อันมีกุศลคือบุญเป็นเหตุ
2.เดินไปยังที่โล่งกว้าง เพราะเหตุแห่งเวทนา คือตนมีความยึดมั่นในความรู้สึกอยู่
มีความรอคอยอารมณ์อันใคร่จะให้มาถึงดั่งผู้แสวงหาที่เปิดตาเปิดใจรอรับ จักเป็นผู้ได้ในเวทนา 2 คือ สุขหรือทุกข์
แดนสุขาวดีอันเป็นที่แห่งความเกษมสุข เป็นของผู้รอคอยด้วยกุศลจิต มีความแช่มชื่นในจิตด้วยอารมณ์อันตนประคองไว้
ส่วนผู้ร้อนรน จิตหวลกลับไปยึดมั่นในตราบาป อันทำให้เกิดความกลัว วิบากจักพัดพาไปสู่ความเดือดร้อนนั้น เป็นความไปเกิดของภูมิวิสัย
คือในนรกชั้นต้นๆหรือในสวรรค์ชั้นต่ำๆ ซึ่งจัดเป็นโอปปาติกะ
3.ภูติ มีนิมิตมาหา คือความยึดมั่นอันตนมีในสังขาร ว่าตนมีตนเป็น
เรื่องนี้น่าจะได้ยินกันมากที่สุด ความสวัสดีหรือความน่าสะพรึงกลัว เป็นสิ่งอันตนใคร่สร้างไว้แล้วด้วยอำนาจอุปาทานด้วยความปรารถนา
คือในฉันทะ ในราคะ ในทิฏฐิ ในตัณหา หรือในพรหมวิหาร ในกุศลเมตตาธรรม ในจาคะ ในศีลพรต เหล่านี้เป็นต้น เป็นความเกิดของโอปปาติกะ
.....เป็นต้น..........................
แล้วทีคนไม่ฝันละ?
คนหลับไม่ฝันกีอยู่จริง ย่อมแสดงว่าจิตที่ไม่ได้ผูกพันหนักแน่นในขันธ์ 5 ในขณะนั้นก็มีอยู่จริง
(ในข้อนี้หมายถึง เป็นผู้ไม่ฝันจริงๆ ไม่เกี่ยวกับผู้ไม่มีสติ หรือเป็นผู้หลงลืม แล้วไม่รู้ตัวว่าฝันหรือไม่ฝัน)
บุคคลประเภทนี้ เป็นผู้เข้าสุญภาวะ ไม่มีความปรากฎในภพไหนๆ คือเมื่อจิตสุดท้ายของชีวิตขาดไปแล้ว ไม่ได้ยึดมั่นในอะไรๆอยู่
แต่เมื่อเวลาผ่านไป หากจิตนั้นเคลื่อนไปดุจละอองที่โดนลม คือไม่ได้เคลื่อนไปเอง แต่เคลื่อนเพราะกำลังของจิตตั้งมั่น กำลังจะหมดลง
ความปรากฏมีอะไรๆก็กลับมา ก็เพราะเป็นความปุถุชนยังมีอยู่พร้อม ความกลับมาเกิดจึงยังมีอยู่
แตกต่างกับพระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์ไม่ยึดมั่นแม้ในจิต เมื่อถึงจิตสุดท้ายในชีวิตแล้ว จิตเองจึงไม่มีกำลังอะไรไปฉุดเคลื่อนจิต
*สนุกบ้างมั้ยครับ*
อ่านประกอบ "จุติจิต ของพระอรหันต์"
http://pantip.com/topic/32998053/comment11